สำหรับใครที่ยังไม่มีแผนจะเดินทางไปไหนในช่วงวันหยุดสงกรานต์นี้ ทีมงาน UNLOCKMEN มีช่องทางลัดหาเงินด่วนมาแนะนำคือการไปแคมป์รองเท้าพร้อมรอกดออนไลน์ เนื่องจากในวันที่ 14 เมษายนนี้จะมีสนีกเกอร์รุ่นโหด ๆ ที่สายคอลเลคเตอร์ต้องตกตะลึงวางจำหน่ายพร้อมกันถึง 4 รุ่นด้วยกัน หรือถ้าคุณสายสะสมต้องบอกว่าห้ามพลาด เพราะแต่ละคู่ที่กำลังจะวางขายล้วนโหดจนจิ้มไม่ถูกอยากจะคว้ามาไว้เสียแทบทุกคู่ #1 โดยคู่แรกจะเป็นการเปิดตัวรองเท้ารุ่น Air Jordan III “Free Throw Line” ซึ่งถือเป็นการครบรอบ 30 ปีของแบรนด์ ที่สำคัญโมเดล III ยังจัดว่าเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับสายนักสะสม เพราะมันมีเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าเป็นรองเท้าคู่ที่ทำให้ราชาดังค์ Michael Jordan สามารถคว้าแชมป์ Slamdunk Contest สมัยแรกได้ สำหรับหน้าตาของรองเท้าคู่นี้ หลายคนที่เป็นแฟน Jordan อาจจะสงสัยว่าทำไมมันช่างคล้ายกับรุ่น White/Cement เสียเหลือเกิน ไม่ต้องตกใจไปเพราะมันคือรุ่นเดียวเพียงแต่แบรนด์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อย ๆ เพื่อสื่อถึงการเฉลิมฉลองการคว้าแชมป์ของ Michael Jordan ไม่ว่าจะเป็นบริเวณลิ้นรองเท้าที่ใส่ตัวเลข 147 หรือสกอร์รวมการดังค์สามครั้งของ MJ รวมไปถึงบริเวณส้นเท้าที่จะมีปริ้นเลข 3.51 หรือเวลาที่ Jordan กำลังค้างตัว air
อาจจะเพราะ Louis Vuitton และ Supreme เคยร่วมงานกันมาก่อน แล้วประสบความสำเร็จทั้งด้านชื่อเสียงและยอดขาย ทำตัวเลขกำไรเพิ่มขึ้นเบา ๆ 23% จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นแบรนด์ในเครือ LMVH ออกมาจับมือ Collab กับ Supreme กันมากขึ้น โดยล่าสุด LVMH (Louis Vuitton Moet Hennessy) บริษัทที่มีแบรนด์ Luxury อยู่ในมือมากที่สุด ส่งแบรนด์ลูกรัก Rimowa กระเป๋าเดินทางสุดหรูที่ LVMH จ่ายเงินเป็นจำนวนถึง $719,000,000 หรือ 22,500,000,000 (สองหมื่นสองพันห้าร้อยล้านบาท) แลกหุ้น 80% จากมือ Mr. Dieter Morszeck, CEO ของ Rimowa และหลานของผู้ก่อตั้ง Mr. Paul Morszeck ในปี 1989 *FYI: หลายคนยังไม่รู้ นึกว่า LVMH จ่าย $500,000,000 ซื้อ Supreme
เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะเป็นวัยรุ่นยุค ’90s – 2000 กันมาก่อน… เปิดเรื่องมาแบบนี้เราไม่ได้มีเจตนาแซวว่าคุณกำลังเข้าสู่ช่วง ‘วัยรุ่น(ใหญ่)’ แล้ว แต่ทีมงาน UNLOCKMEN ตั้งใจจะบอกว่าถ้าใครที่เป็นวัยรุ่นยุคนั้นก็น่าจะเติบโตมาพร้อมกับเพลงแนว Disco, Soul, Funk จากผู้ชายที่ cool ที่สุดคนหนึ่งซึ่งก็คือ ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’ หรือ บุรินทร์ Groove Riders ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งเขาแจ้งเกิดในทันทีนับตั้งแต่อัลบัมแรกของวงที่ใช้ชื่อว่า DiscoVery ปล่อยออกมาเมื่อปี 2544 ทั้งงานเดี่ยวของเขา และกับวง Groove Riders ทำให้เราดิ้นกระจายมานาน และไม่ได้มีแต่เพลงแดนซ์มันโคตรเท่านั้น เพลงซึ้ง ๆ ก็ถูกนำไปใช้ในงานวิวาห์กันเป็นว่าเล่น ส่วนเพลงเศร้าทำน้ำตาร่วงก็ทำงานได้ดีเหลือเกิน ซึ่งเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ติดหูทุกคนก็คือเสียงร้องของคุณบุรินทร์ที่มีทั้งความนุ่มลึก mood & tone ที่เข้ากับแนวเพลง ยังไม่รวมลีลาบนเวทีและสไตล์การแต่งตัวที่จัดจ้าน สำหรับผลงานทางด้านดนตรีของเขากับ Groove Riders มีสตูดิโออัลบัม 3 ชุด ไล่มาตั้งแต่ DiscoVery (2544) , DiscoVery2 (2545) และ The Lift (2550)
นับว่าเป็นข่าวอิมแพคในวงการ High-Fashion เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกิดการโยกย้ายข้ามไปมาของกลุ่มผู้มีอิทธิพลและกำหนดทิศทางของแฟชั่นโลกหลาย ๆ คน เริ่มจาก Hedi Slimane ผู้ที่นำความเป็นไลฟ์สไตล์ดึงความเป็น youthful ใส่กลิ่นอายอารมณ์วัฒนธรรมร็อคลงไปจนทำให้แบรนด์ Saint Laurent โดดเด่นทั้งรันเวย์และท้องถนน แต่แล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Hedi Slimane ก็ได้ประกาศอำลาตำแหน่ง และย้ายไปนั่งแท่น artistic creative director ของ CÉLINE ดังนั้นคาดว่าทิศทางของแบรนด์น่าจะได้ความเป็น grunge rock aesthetic ของ Slimane มาเต็ม ๆ อย่างแน่นอน มาต่อกับอีกแบรนด์ที่น่าจะเสียศูนย์พอสมควรหลังจาก Riccardo Tisci ผู้ชุบชีวิตแบรนด์ GIVENCHY ให้กลับมาผงาดคืนชีพอีกครั้งด้วยซิกเนเจอร์ส่วนตัวสตรีทลักซ์ชัวรี่อย่าง Dark Romantic และ Animal Spirits ต่าง ๆ โดยเฉพาะ Rottweiler ประกาศลาออกเมื่อปีกลายก่อนจะไปจับโปรเจคกับ Versace อยู่แวบหนึ่งและเพิ่งได้ตอบตกลงรับตำแหน่ง chief creative officer
หากพูดถึงวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของโลกในปัจจุบันอย่าง Skate Culture ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจากกีฬาเอ็กซ์ตรีมธรรมดา เพราะแต่เดิมมันเป็นเพียงการเล่นผาดโผนที่แม้แต่ผู้ปdครองเองยังไม่ค่อยจะอนุญาต ก่อนที่จะค่อย ๆ ขยายตัวฝังลึกเข้าไปถึงแก่นสารของวัฒนธรรม ซึ่งแสดงออกผ่านทางการแต่งกาย รสนิยมการฟังเพลง รวมไปถึงสถานที่เที่ยว และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมาก ยิ่งในตอนนี้มันได้หลอมรวมกลายเป็น mainstream culture ชนิดที่เราเองยังแทบจะไม่รู้ตัว โดยหากต้องแตกประเด็นของเรื่องสเก็ตบอร์ดออกมาให้พูดเป็นวันก็คงจะไม่จบ แต่เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ได้เข้าใจที่มาวัฒนธรรมกระดานสี่ล้อเพื่อเป็นการวอร์มอัพก่อนสกู๊ปใหญ่ประจำเดือน เราจึงสรุปเรื่องราวความเป็นมาแบบคร่าว ๆ ของวัฒนธรรมสเก็ตบอร์ดมาเล่าให้ฟังในวันนี้ ย้อนกลับไปในปี 1950 กีฬา surfing ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับวัยรุ่นชาว California แต่นั้นไม่เพียงพอต่ออะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านพยายามหาอะไรที่สนุกสุดเหวี่ยงและต้องการความมันส์บ้าบิ่นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงเกิดไอเดียนำเอากล่องไม้มาดัดแปลงมาติดล้อโรลเลอร์สเก็ตลงไปและใช้ไถไปมาตามถนน ซึ่งในเวลานั้นยังคงไม่มีคำว่า skateboard ทว่าคนทั่วไปจะเรียกกลุ่มเด็กเหล่านี้ว่า sidewalk surfing ความนิยมของเจ้ากระดานล้อลื่นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งบริษัททำกระดาน surf ใน California ได้ติดต่อกับ Bill Richard เจ้าของธุรกิจ Chicago Roller Skate เพื่อประกอบกระดาษสเก็ตบอร์ดสำเร็จรูปขึ้น มาเป็นครั้งแรก โดยผู้เล่นต้องถอดรองเท้า แต่ในเวลาต่อมาได้เกิดโรงงานผลิตอีกนับไม่ถ้วน อาทิ
ข่าวนี้ทีมงาน UNLOCKMEN อยากจะฝากเตือนภัยสำหรับคนที่ชอบผูกระบบแอคเค้าท์ต่าง ๆ ไว้ที่เดียวกัน หรือ ตั้งค่าพาสเวิร์ดง่าย ๆ ที่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งล่อตาล่อใจมิจฉาชีพสายไอทีเสียเหลือเกิน จนเราอยากนำข่าวนี้มาเป็นอุทาหรณ์เตือนใจไม่ให้พลาดพลั้งเสียท่าให้กับผู้ไม่หวังดีเหล่านี้กัน เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการเปิดเผยว่า MyFitnessPal แอพพลิเคชั่นด้านสุขภาพและออกกำลังกาย ซึ่งเป็นของแบรนด์ชุดกีฬาชื่อดังจากอเมริกาอย่าง Under Armour ประกาศว่าฐานข้อมูลของตัวเองโดนแฮ็กระบบและมีข้อมูลของผู้ใช้งานรั่วไหลไปกว่า 150 ล้านราย แม้ว่าทาง Under Armour จะยืนยันหนักแน่นเหลือเกินว่าข้อมูลสำคัญของลูกค้าไม่มีการรั่วไหลไปไม่ว่าจะเป็น ประกันสังคม, บัตรเครดิต และใบขับขี่ เนื่องจากอ้างว่าถูกเก็บอยู่คนละที่กัน โดย Under Armour ระบุว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2018 แต่เพิ่งค้นพบเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ข้อมูลที่หลุดออกไปมีชื่อผู้ใช้ อีเมล และโชคดีที่รหัสผ่านส่วนใหญ่ถูกเข้ารหัสผ่าน bcrypt ไว้ ทว่าสิ่งที่ถูกแฮ็กไปคือ อีเมล และค่า Hash ของรหัสผ่าน อย่างไรก็ตามทาง Under Armour ได้แจ้งไปยังผู้ใช้งานทั้งหมดให้เร่งเปลี่ยนรหัสผ่านแล้ว พร้อมทั้งออกแจ้งเตือนผู้ใช้งานถึงเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นถัดไปคือเรื่องของ Phishing โดยแจ้งว่าอีเมลแจ้งเตือนในเหตุการณ์รั่วไหลของ MyFitnessPal นี้ไม่มีลิงก์หรือไฟล์แนบและไม่มีการร้องขอข้อมูลส่วนตัวใด ๆ
ถือว่าเป็นข่าวใหญ่สำหรับคนที่ชื่นชอบรองเท้าสนีกเกอร์ เพราะหลังจากหายหน้าหายตาไปถึง 2 ปี ล่าสุด Nike ประเทศไทยสามารถนำแบรนด์ยอดนิยมอย่าง Jordan กลับมาขายในไทยได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถือว่าลบฝันร้ายของแฟน Jordan เสียที เพราะก่อนหน้านี้หากอยากจะได้รองเท้ารุ่นอะไรต้องคอยฝากเพื่อนหิ้วจากต่างประเทศหรือไปโดนราคารีเซลมหาโหดจนถอดใจพลางบอกว่าไม่ใส่แม่งก็ได้วะ ทว่าหลังจากการกลับมา Nike และ Jordan ก็เรียกเสียงฮือฮาโดยการปล่อยหมัดเด็ดรุ่นฮิตอย่าง Air Jordan 11 เป็นคู่แรกอย่างเป็นทางการ สำหรับรองเท้าคู่แรกที่จะกลับมาวางขายทางร้านสโตร์ทั่วไปในบ้านเราก็คือ Air Jordan 11 “Easter” โดยเป็นการเอารองเท้ารุ่นที่ 11 ฉบับข้อต่ำหรือ “Low-Top” ของตระกูล Air Jordan มาสร้างสรรค์อีกเช่นเคย โดยรองเท้าคู่นี้ผ่านการดีไซน์โดย Tinker Hatfield สุดยอดปรมาจารย์นักออกแบบชื่อดังของ Nike ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องตัดหญ้านับว่าแปลกใหม่อย่างมาก รองเท้าคู่นี้ยังมีสตอรี่เกร็ดเล็กน้อยที่น่าสนใจอีกคือ ความตั้งใจเดิมของ Tinker Hatfield เมื่อคุยกับ Michael Jordan หลังจากเขารีไทร์(รอบแรก 1993 – 1994) ว่าต้องการรองเท้าที่สามารถใส่หล่อ ๆ ลำลองได้ ดังนั้นรองเท้าต้นแบบจึงมีกลิ่นอายความเป็นไลฟ์สไตล์มากกว่าใช้เล่นบาสเสียอีก ทว่าอยู่ดี
Converse ถูกจัดอยู่ในรองเท้าระดับตำนานที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใครอย่างน้อยต้องมีติดตู้สักหนึ่งคู่เหมือนกับยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งนอกเหนือจาก Chuck Taylor All Star หรือ Jack Purcell Converse ยังมีอีกหนึ่งโมเดลรองเท้าที่โดดเด่นอยู่คู่วงการสนีกเกอร์ตลอดมาไม่แพ้กันนั่นคือ One Star ถ้าหากย้อนเรื่องราวของรองเท้า One Star นั่นมีจุดเริ่มต้นในปี 1974 ที่กำเนิดจากการพัฒนารองเท้าบาสเกตบอลในรูปแบบ low-top ซึ่งเวลานั้นวัสดุที่ Converse เลือกใช้คือหนังกลับและชุดพื้นโฟม ทว่าน่าเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะมันถูกวางขายเพียงปีเดียวเท่านั้นก่อนจะถูกยกเลิกไลน์การผลิตไป อย่างไรก็ตาม One Star ไม่เคยหายไปจากหน้าวงการรองเท้าเลย โดยมันถูกใช้เป็นตัวแทนของดนตรีกรันจ์ใน Seattle ซึ่งภาพที่ทุกคนคงน่าจะจำได้เป็นอย่างดีคือ Kurt Cobain กำลังทุ่มกีต้าร์สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ จับคู่กับรองเท้า Converse One Star สุดคูล นอกเหนือจากนี้แล้วนักสเก็ตบอร์ดหลาย ๆ คนยังชื่นชอบที่จะนำมาใช้ เวลาเล่นสเก็ตจนเป็นที่มาของคำว่า Anti-Fashion ในปี 1993 One Star ถูกนำมาวางจำหน่ายอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้
ในยุคที่ทุกคนในประเทศไทยให้ความนิยมการสวมใส่เสื้อฮาวาย ( Hawaiian Shirt ) ถึงขนาดสามารถพบเห็นได้ทุกครั้งตอนออกจากบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงงานเทศกาลดนตรี แต่เราเคยรู้กันหรือเปล่าว่าก่อน Hawaiian Shirt จะกลายเป็น Pop-Culture สำหรับหมวดเครื่องแต่งกายอย่างเช่นในปัจจุบัน สิ่งนี้มีจุดกำเนิดมาจากที่ไหนและเคยได้รับความนิยมในยุคสมัยใดมาแล้วบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN ได้รวบรวมเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับ Hawaiian Shirt เอาไว้ให้แล้ว จุดเริ่มต้นการรวมกันของวัฒนธรรมเสื้อผ้า ย้อนกลับไปเมื่อปี 1880 ในสมัยรัฐฮาวายยังคงเป็นนิคมปกครองตนเองและมีการขยายตัวของธุรกิจต่าง ๆ บนเกาะเกิดขึ้น แน่นอนว่าเจ้าของกิจการทั้งหลายอยากได้แรงงานราคาถูก จึงมีผู้อพยพจากต่างถิ่นเข้ามามากมายไม่ว่าจะเป็นชาวจีน,โปรตุเกส เกาหลี แต่เห็นจะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่าใครเพื่อนคือ ชาวญี่ปุ่น แถมคนกลุ่มนี้ยังติดเอาผ้าพื้นเมืองของตัวเองข้ามน้ำข้ามทะเลมาอีกด้วย แรงงานส่วนใหญ่ถูกจ้างมาทำงานเกี่ยวกับเกษตรกรรม ทำให้ต้องการชุดสวมใส่สบาย ราคาไม่แพง จึงได้ผนวกรวมผ้าต่างถิ่นเข้ากับลายผ้าท้องถิ่นของฮาวายเรียกว่า Tapa แต่เสื้อที่ทำออกส่วนใหญ่มักเป็นแขนยาวและใช้กันเพียงในวงแคบ เท่านั้น นักประวัติศาสตร์หลายคนเห็นพ้องกันว่า Hawaiian Shirt ต้นแบบตัวแรก เกิดขึ้นในช่วงปี 1920 แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งเรื่องที่ว่าใครเป็นบิดาแห่งเสื้อฮาวายกันแน่ระหว่างสองคนนี้ คนแรกคือ Gordon Young จากมหาวิทยาลัยฮาวาย ว่ากันว่าเข้าได้ร่วมมือกับคุณแม่ของเรา ออกแบบและตัด
หากพูดถึงการปล้น วิ่งราว ชิงทรัพย์ แล้วส่วนใหญ่เรามักจะคิดถึงการขโมยของมีค่าที่สามารถนำไปขายต่อได้ราคาสูงอย่างเช่น ทองคำ นาฬิกาหรู หรือล้วงกระเป๋าเงินกันซึ่ง ๆ หน้า แต่นับว่าเป็นข่าวแปลกใหม่ของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะเทรนด์การปล้นช่วงหลัง ๆ เริ่มพุ่งเป้าหมายมายังสินค้าที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะกลายเป็นของล่อตาล่อใจโจรอย่าง รองเท้าสนีกเกอร์ ซะอย่างนั้น สืบเนื่องจากรายงานข่าวต่างประเทศ บอกว่าพนักงานคนหนึ่งของ UPS ผู้ให้บริการด้านการส่งพัสดุได้ทำการขโมยรองเท้าจากลูกค้าเสียเอง แต่โชคร้ายไม่ทันได้ใช้ตังค์ ก็มาถูกตำรวจจับกุมไปเสียก่อน ซึ่งจากการเปิดเผยของผู้ต้องหา Halif Bryant วัย 41 กล่าวว่าเขาได้ทำการขโมยรองเท้าจำนวน 3 คู่เพื่อนำไปขายต่อยังตลาดมืดและได้ราคาสูงถึง $1,100 USD (3x,xxx บาท) ก่อนถูกจับกุมตัว ซึ่งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ขโมยรองเท้ากันเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เมื่อปีกลายเพิ่งจะมีข่าวรถบรรทุกขนรองเท้า Nike ได้ถูกขโมยในรัฐ Tennessee และสูญเงินไปกว่า $14,000 USD และไหนจะข่าวการบุกงัดเข้าไปยังโกดังรองเท้าในย่าน LA ที่กลุ่มโจรได้กวาดรองเท้าจากคลังสินค้าไปจนเกลี้ยงโดยมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นราว ๆ $900,000 USD จึงนับว่าเทรนด์ของโจรใน พ.ศ. นี้ดูเหมือนจะพุ่งเป้าหมายมาที่รองเท้ามากขึ้น แต่ถ้าหากเราวิเคราะห์กันแบบเจาะลึกจะพบว่าไม่ใช่เรื่องน่าน่าแปลกใจ เพราะชั่วโมงนี้การขายสินค้าประเภทแฟชั่นโดยเฉพาะ limited item ทั้งหลาย สามารถทำกำไรได้มากกว่าขายทองหรือหุ้นเสียอีก เพียงแต่ในประเทศไทยวัฒนธรรมการแต่งตัวอาจจะยังไม่ได้เข้าถึงทุกคน