หลังจากที่เราทำคอนเท้นท์เกี่ยวกับเรื่องสไตล์มาอย่างมากมาย แต่เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนก็ยังคงตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใด UNLOCKMEN จึงต้องมานั่งพูดเรื่องสไตล์การแต่งตัวกันนักหนา รวมถึงมันมีความสำคัญอย่างไร ทำไมจะต้องแต่งตัวให้มันดูยุ่งวุ่นวายใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาก็พอแล้ว แต่เคยมีคำกล่าวของชาวตะวันตกที่บอกว่า “คุณมีโอกาสแค่ครั้งเดียวที่จะทำให้คนอื่นประทับใจใน first impression ซึ่งคุณสามารถทำได้ผ่านการแต่งกาย” ดังนั้นลองมาดูกันว่าเพราะเหตุใดชาว UNLOCKMEN ถึงควรใส่ใจการแต่งตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อโอกาสดี ๆ ที่จะตามมา การแต่งตัวช่วยเพิ่มความสนใจในแง่บวกเมื่อครั้งแรกพบ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่ามนุษย์มักตัดสินคนอื่นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะประเมินจากรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งเสื้อผ้าก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เราถูกนำมาตัดสินอย่างเลี่ยงหลีกไม่ได้ แม้ว่าอันที่จริงแล้วเราไม่ควรตัดสินคนอื่นจากเพียงแค่ เสื้อผ้า การแต่งตัวก็ตาม เราขอยกตัวอย่างการตัดสินใจคนจากภายนอก และสามารถเห็นได้ชัดที่เคสหนึ่ง อย่างเช่น ตอนสัมภาษณ์งานลองคิดดูเวลาที่ไปสมัครงานระหว่างคนที่ไม่สนใจเรื่องของเสื้อเลยกับอีกคนที่แต่งกายสุภาพเรียบร้อยแบบไหนดูภาษีจะได้รับงานมากกว่ากัน แม้ว่าอันที่จริงแล้วคนที่ไม่แต่งตัวอาจจะทำงานเก่งกว่าก็เป็นได้ การแต่งตัวแสดงออกถึงวุฒิภาวะ การที่คุณรู้จักแต่งตัวให้เหมาะสมนอกจากจะช่วยในเรื่องความน่าเชื่อถือแล้ว ยังแสดงออกถึงความมีวุฒิภาวะอีกด้วย ลองคิดภาพผู้ชายที่ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ลากรองเท้าแตะหรือผ้าใบเก่า ๆ ไม่ว่าจะไปงานใดก็ตาม กับผู้ชายอีกคนที่รู้จักว่างานประเภทไหนควรจะแต่งกายอย่างไรให้เข้ากับสถานการณ์ มีการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างชุด Formal และ Casual แบบไหนที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ และน่าได้รับการเคารพยอมรับมากกว่ากัน การแต่งตัวช่วยบ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่รักตัวเอง หลายคนที่มองข้ามประเด็นการแต่งตัว และคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสละสำคัญอะไรในชีวิต แต่เราอยากจะบอกว่าการที่คุณใส่ใจแม้แต่เรื่องเสื้อผ้าการแต่งกายนั่นสะท้อนให้เห็นว่าคุณเป็นคนที่ใส่ใจตัวเองแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย อีกทั้งยังแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์รู้จักที่จะพลิกแพลง มีชั้นเชิงในการทำตัวเองให้ออกมาดูดี การแต่งตัวช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเอง มีบทวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ชัดว่าการแต่งตัวช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินราคาแพงเพื่อซื้อของแบรนด์เนมหรือวิ่งตามแฟชั่นให้มันเหนื่อยแล้วหมายถึงการแต่งตัวดี
ถือว่าเป็นเมกาโปรเจคตั้งแต่ต้นปี เมื่อ adidas ประกาศว่าจะปล่อยคอลเลคชั่นรองเท้าสุดพิเศษ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับการ์ตูนในตำนานอย่าง Dragonball โดยก่อนหน้านี้ทีมงาน UNLOCKMEN ก็มีการนำเสนอภาพตัวอย่างรองเท้า 3 รุ่นที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการไปแล้วบางส่วน และกระแสตอบถือว่าดี ๆ มาก จนหลายคนที่แม้จะไม่ใช่ sneakerheads เองต่างอยากรู้ว่าบรรดาโมเดลที่เหลือจะเป็นงาน collab ระหว่างตัวละครอะไร ล่าสุด adidas original ก็ได้คอนเฟิร์มรองเท้าทั้ง 8 รุ่นเป็นที่เรียบร้อยว่าจะใช้โมเดลรุ่นใดบ้าง ดังนั้นในวันนี้เราจะขอนำภาพหน้าตาของแต่ละรุ่นที่เปิดตัวออกมาให้ทุกท่านได้ดูกันแบบครบเซ็ท Goku – ZX 500 RM ถือว่าผิดคาดเล็กน้อย เพราะตอนแรกหลาย ๆ ฝ่ายต่างคิดว่าตัวละครพระเอกของเรื่องอย่าง โงกุน จะต้องได้โมเดลรองเท้ารุ่น hype อย่าง NMD แต่กลับกลายเป็นว่า adidas ได้เลือกรองเท้าวิ่งรุ่นเก๋าอย่าง adidas ZX 500 มาใช้ในการ collab นี้ ซึ่งตัวรองเท้าก็จะมีการเล่นสีประจำตัวอย่าง ส้ม น้ำเงิน แดง พร้อมตัดสลับด้วยพื้นกลางสีขาวที่ดูแล้วเหมือนจะเป็นวัสดุ boost
เป็นประจำทุกปีที่บริษัท Pantone ผู้ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสี และสิ่งพิมพ์รายใหญ่ของโลก จะประกาศเทรนด์สีประจำปี หรือ Color of the Year เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดเทรนด์สีสำคัญของในแต่ละปี โดยพวกเขาจะใช้ค่าสีที่เป็น Spot Color เพื่อบ่งบอกความพิเศษของเฉดต่าง ๆ และมีรหัสที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน และในปีนี้ Pantone ได้ประกาศเลือกให้สีม่วงประกายฟ้า Ultra Violet รหัส 18-3838 เป็นสีหลักประจำปี 2018 นี้ เหตุหลักใจความสำคัญของการเลือกสี Ultra Violet ก็มาจากเพราะมันเป็นสีที่สะท้อนถึงจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และยังสื่อไปถึงความลึกลับของท้องฟ้าในยามค่ำคืน อีกทั้งยังทำให้นึกถึงความเร้นลับของจักรวาลอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขตอีกด้วย ซึ่งผู้อำนวยการของ Pantone ยังกล่าวเสริมถึงเหตุผลที่เลือกสี Ultra Violet มาเป็นสีแห่งปี 2018 อีกว่า สีม่วงประกายฟ้า คือสีที่สะท้อนถึงความก้าวหน้า ไฮคลาส และบ่งบอกถึงความล้ำสมัยทางเทคโนโลยี ซึ่งเหมาะกับโลกแห่งอนาคตที่พวกเราทุกคนกำลังอาศัยอยู่ในทุกวันนี้ นอกเหนือจากนี้สี Ultra Violet ยังเป็นสีประจำตัวของศิลปินมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Prince นักกีต้าร์ชื่อดังผู้ล่วงลับ และ Jimi Hendrix ราชา
แบรนด์นาฬิกาคลาสสิกที่สร้างชื่อเสียงจากการผลิตนาฬิกาชั้นนำมาตั้งแต่แรกเริ่มอย่าง ลองจินส์ (Longines) สำหรับหลายคนอาจยังไม่ทราบประวัติความเป็นมาของ แบรนด์นาฬิกาคลาสสิกนี้ ลองจินส์ (Longines) แบรนด์นาฬิการะดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นที่เมือง แซงต์ อิมิเยร์ เมื่อปีค.ศ. 1832 เชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกาที่มีดีไซน์ สง่างาม เปี่ยมไปด้วยมาตรฐานด้านคุณภาพ และการทำงานทรงประสิทธิภาพ นับตั้งแต่อดีต ลองจินส์ได้รับเลือกให้เป็นผู้จับเวลาการแข่งขันกีฬาระดับโลกมากมาย รวมถึงเป็นพันธมิตรกับสมาพันธ์กีฬานานาชาติ ทำให้ชื่อของลองจินส์เป็นส่วนหนึ่งของโลกกีฬามาโดยตลอด นอกจากนี้ ลองจินส์ ยังเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท สวอทช์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำระดับโลก ที่โดดเด่นในด้านการสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีความสง่างาม ดังตราสัญลักษณ์รูปนาฬิกาทรายพร้อมปีกสยายของแบรนด์ที่ยืนยงมานานกว่า 150 ปี และยังคงเป็นแบรนด์นาฬิกาที่ได้รับความไว้วางใจและคงอยู่ในกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่อง Longines Master Collection คือภาพสะท้อนของความร่วมสมัยของแบรนด์ ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2005 ผสมผสานความสง่างามแบบคลาสสิกและความเป็นเลิศในการผลิต ซึ่งล่าสุดลองจินส์ได้นำเสนอ Longines Master Collection หน้าปัดเฉดสีใหม่เพิ่มเติม นั่นคือ เฉดสีน้ำเงิน เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่หลงใหลในนาฬิกาคุณภาพได้เลือกกัน นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2005 Longines Master Collection ก็กลายเป็นคอลเลกชั่นขายดีของแบรนด์ โดยประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายและครองความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการผลิตนาฬิกาคุณภาพของลองจินส์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาลองจินส์ได้เพิ่มตัวเรือนขนาดต่าง
Vans old skool รองเท้าที่ต้องมีติดบ้านไว้อย่างน้อย 1 คู่
ไม่ปล่อยให้รอนาน หลังจากเปิดโปรเจ็คต์ adidas x Dragonball Z พร้อมภาพโปรโมตรองเท้าสองรุ่นก่อนหน้านี้อันได้แก่ Frieza edition และ Cell edtion ออกมายั่วน้ำลายสาวกการ์ตูนปล่อยพลังคลื่นเต่าสุดฮิตในช่วงทศวรรษที่ 80s – 90s ล่าสุดพวกเขาก็ได้ส่งรองเท้ารุ่นใหม่ออกมากระหน่ำให้แฟน ๆ ได้ฮือฮากันอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ ‘Dragon Ball Z’ x adidas Kamanda “Majin Buu” โดยรองเท้ารุ่นดังกล่าวเป็นการนำคาแรคเตอร์ตัวร้ายคนสุดท้ายของ Dragon Ball ภาค Z อย่างจอมมารบู มาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการผลิตรองเท้ารุ่นพิเศษนี้ โดยจากภาพโปรโมตก็จะเห็นได้ว่า ทาง adidas ได้ทำการนำรองเท้ารุ่น Stan Smith มาปรับเปลี่ยนบริเวณลิ้นรองเท้า และ Outsole ใหม่ให้มีความแตกต่าง จากรุ่นปกติ อีกทั้งพวกเขาได้ใช้จุดเด่นจากสีของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น ชมพู ม่วง เหลือ ดำ มาเล่นลวดลายสลับกันไปตามบริเวณส่วนต่าง ๆ ซึ่งพอดูแล้วก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือคาแรกเตอร์ของตัวละครจอมมารบูที่เราคุ้นเคย ซึ่งทาง
เรียกว่าเป็นปีทองแห่งการ Collab ของแบรนด์ Street Fashion โดยแท้จริง ความคืบหน้าของข่าวช่วงปลายเดือนธันวาคม ที่มีเสืองลือว่า adidas จะทำ Dragon Ball Z collection ออกมาให้ผู้ชายวัย 30+ อย่างพวกเราต้องเก็บสะสมอย่างไม่มีทางเลือก พร้อมเปิดเผยว่าจะทำออกมาทั้งหมด 7 รุ่น เพื่อ represent Dragon Ball 7 ลูก แต่วันนี้มีความคืบหน้าจาก SneakerNews ออกมาเพิ่ม ทำให้เรารู้ว่ารองเท้า adidas x Dragon Ball Z นั้นจะมีทั้งหมด ‘8 รุ่น’ ไม่ใช่ 7 รุ่นอย่างที่รายงานก่อนหน้านี้ เป็นการแทน 8 ตัวละครหลักในการ์ตูนความยาวสามชาติเรื่องนี้ ด้วยการเปิดตัว Frieza edition และ Cell edition ออกมาพร้อม ๆ กัน คู่แรก Frieza edition
หลังจากอภิมหาคอลเลคชั่นแห่งปีอย่าง SUPREME x Louis Vuitton ดูเหมือนว่าแฟชั่นโอต์กูตูชั้นสูงที่ดูเหมือนจะเข้าถึงยาก จะเริ่มโอนอ่อนผ่อนตามกระแสสตรีทแฟชั่นที่มาแรงจนไม่อาจต้านทานไหวอีกต่อไป เพราะอะไรที่ไม่เคยทำ ก็ยอมลดราวาศอก เพื่อเดินทางมาบรรจบกันที่ตรงกลางของเทรนด์โลกในปัจจุบัน สำหรับสิ่งที่ Kim Jones อาร์ติส ไดเรคเตอร์ของ Louis Vuitton ได้เรียนรู้จากคอลเลคชั่น SUPREME x Louis Vuitton ถือว่ามีไม่น้อย เพราะเขาได้ปฎิวัติอุตสาหกรรมแฟชั่นไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ปล่อยให้กระแสที่ตัวเองสร้างขึ้นผ่านเลยไปเพียงแค่หนึ่งซีซั่นโดยเปล่าประโยชน์ เพราะหลังจากการร่วมงานในครั้งนั้น Kim Jones หัวเรือใหญ่ของแบรนด์กูตูร์ระดับตำนานของฝรั่งเศส ยังคงดำเนินรอยตามวิถีของสตรีทแวร์ส่งผลงานที่เป็นคอลเลคชั่นเสื้อผ้าออกมาเอาใจคนหมู่มากกว่าที่เคย จึงไม่น่าแปลกใจหากในตอนนี้ Louis Vuitton จะเป็นแบรนด์ที่ร้อนแรงที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก โดยใน spring /summer 18 ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ Kim Jones และLouis Vuitton เตรียมสร้าง Pop-up shop ซึ่งเป็นกลยุทธ์เดียวกับที่แบรนด์สตรีทแวร์ชอบทำกัน เพื่อเดินทางไปขายสินค้า limited edition ตามสถานที่ต่าง ๆ ในรูปแบบ Traveling Pop-up
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า นอกจากเจนีวาแล้ว เมืองเบียล ก็เป็นอีกต้นกำเนิดแห่งวิถีประเพณีดั้งเดิมแห่งการประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตเรือนเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ก้าวแรกของแบรนด์นาฬิกาอิสระอย่าง Azimuth ก็เริ่มต้นขึ้นที่นี่เช่นกัน ด้วยคอนเซ็ปต์ในการเป็นนาฬิการูปแบบเฉพาะตัวที่ผสานดีไซน์อันยอดเยี่ยม นวัตกรรมอันทันสมัย และประเพณีดั้งเดิมแห่งการประดิษฐ์เรือนเวลาของสวิส เข้าด้วยกันอย่างลงตัว สำหรับใครที่รู้สึกว่าชื่อแบรนด์ไม่ค่อยคุ้นหู ที่จริงแล้วเรือนเวลาแบรนด์นี้มีประวัติและเทคโนโลยีการผลิตที่ละเอียดอ่อนไม่แพ้แบรนด์ไหนในโลก แม้จะเป็นนาฬิกาสวิส แต่ผู้ให้กำเนิดแบรนด์และก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกา Azimuth ขึ้นที่เมือง เบียล ตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 เป็นต้นมานั้น ไม่ใช่ชาวสวิส แต่เป็นชายผู้หลงใหลในเครื่องบอกเวลาชาวเอเชีย 2 ท่าน Alvin Lye กับ Christopher Long ทั้งสองท่านนี้เป็นผู้คร่ำหวอดมากประสบการณ์ในวงการนาฬิกา ทั้งในแง่ของการสะสม และการเป็นผู้จำหน่าย ซึ่งไม่เพียงพอสนองความต้องการที่แท้จริงของเขาทั้งคู่ได้ เพราะทั้งสองต่างประสงค์ที่จะสร้างนาฬิกาในอุดมคติขึ้นมาเอง ด้วยความที่ไม่มีนาฬิกาแบรนด์ใดตอบโจทย์คุณสมบัติที่พวกเขาต้องการให้มีได้ โปรเจ็คต์การก่อตั้งแบรนด์และโรงงานนาฬิกาของพวกเขาจึงก่อกำเนิดขึ้นโดยเลือกคำว่า Azimuth ซึ่งเป็นชื่อเรียกระยะคำนวณของเส้นขอบฟ้าจากตำแหน่งใด ๆ บนโลก มาเป็นชื่อแบรนด์ ด้วยเป็นความหมายแห่งการแสวงหาความรู้ทางปัญญาของมนุษย์ อีกทั้งคำนี้ยังมาจากรากศัพท์ภาษาอารบิก ที่หมายถึงเส้นทางที่นักเดินทางข้ามผ่านซึ่งก็เป็นความหมายที่โดนใจพวกเขาเช่นกัน ส่วนโลโก้ของแบรนด์มาจากลักษณะของแฮร์สปริง ที่เปรียบได้กับการเต้นของหัวใจแห่งกลไกจักรกล ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นในการผลิตแต่เพียงนาฬิกาจักรกลได้อย่างตรงประเด็นที่สุด ความต้องการสร้างสิ่งที่แตกต่างนั้น คือวัตถุประสงค์หลักในการสร้างนาฬิกา Azimuth ดังนั้นนาฬิกาจาก Azimuth จึงแตกต่างจากนาฬิกาที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไป พวกเขาให้อิสระกับทีมออกแบบ
การเลือกโทนสีเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิวนั้น เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญในการแต่งตัวออกมาให้ดูดี เพราะถ้าเกิดคุณเป็นคนผิวขาวมาก ๆ และยิ่งใส่เสื้อผ้าที่ทำให้ดูซอฟ์ทลง อาจจะเป็นการเน้นย้ำความขาวจนออกไปทางซีด ให้คนอื่นพาลคิดได้ว่าคุณกำลังป่วยอยู่หรือเปล่า ซึ่งจริง ๆ แล้ววิธีการเลือกโทนเสื้อผ้านั้นไม่ใช่เรื่องยากสลับซับซ้อนอะไรอย่างที่คิด เพียงแค่คุณต้องรู้จักพิถีพิถันใส่ใจกับไอเทมต่าง ๆ สักนิดหนึ่ง โดยก่อนอื่นต้องมาสำรวจร่างกายว่าอยู่ในลักษณะใด แต่ถ้าใครเกิดยังไม่รู้ต้องเลือกยังไง วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN หาวิธีการเลือกสีของเสื้อผ้าเพื่อให้เหมาะกับสีผิวตัวเองมากที่สุดมาฝากกัน สีผิวนั้นส่งผลกับการแต่งตัวในระดับหนึ่ง มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะมีสีผิวขาวสว่าง หรือจะผิวเข้มขนาดไหน แต่มันคือการที่เรารู้จัก Balance สีผิวโทนเย็น และโทนอุ่นของตัวเรา ซึ่งการแต่งกายก็เหมือนกับการถ่ายภาพ เพราะอารมณ์จากสีเสื้อผ้าพอมันมาตกอยู่กับผิวก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป เหมือนสีของภาพถ่ายที่โทนเปลี่ยน อารมณ์ก็เปลี่ยน สังเกตเส้นเลือดบริเวณข้อมือ ก่อนอื่นเราจะต้องทำความรู้จักกับสีผิวของตัวเองเสียก่อน ซึ่งหลายครั้งเราอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกแบบเหมารวมอย่างเช่น ผิวขาว ผิวเหลือง ผิวเข้ม โดยอันที่จริงแล้ววิธีการเรียกแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง 100 % เนื่องจากการแบ่งแยกตามนี้มักจะมีข้อโต้เถียงมากมาย ขาวแบบไหน คล้ำประมาณไหน ดังนั้นตามหลักแล้วสีผิวของมนุษย์เราสามารถแบ่งออกได้เพียงสามเฉดดังต่อไปนี้ Cool tone หรือเรียกว่าคนผิวโทนเย็น วิธีการให้เราสังเกตที่บริเวณเส้นเลือดใหญ่ของข้อมือจะมีสีน้ำเงิน และสีม่วง โดยผิวของคนผิวโทนเย็นจะเป็นสี ชมพู แดง ซึ่งผิวแบบนี้ไม่ค่อยมีในผู้ชายไทยเท่าไหร่นัก ใครมีถือว่าเป็นแรร์ไอเทมมาก ๆ Warm Tone หรือสีโทนอุ่น