เดือนพฤษภาคมถือเป็นอีกเดือนที่อุดมไปด้วย “วันหยุด” ที่เราจะได้หยุดงานนอนตีพุงหรือไปเที่ยวไหนต่อไหนให้ชุ่มปอด แต่ COVID-19 ก็ทำให้โลกทัศน์วันหยุดเราต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง วันหยุดจำนวนมากแต่ไม่อาจออกไปไหนได้ (เพื่อความปลอดภัยของตัวเราและผู้อื่น) รวมถึงสถานที่หลายแห่งที่ยังต้องปิดตามมาตรการของรัฐและเคอร์ฟิว ทำให้วันหยุด (และวันธรรมดา) ของเดือนพฤษภาคม 2020 นี้ มีแต่บ้าน บ้าน บ้าน และบ้านเท่านั้น โชคดีที่เราอยู่ในโลกยุคที่บ้านยังมีทีวี อินเทอร์เน็ต และสตรีมมิงให้ได้ท่องเที่ยว เดินทางไปกับหนัง ซีรีส์ สารคดี ฯลฯ การอยู่บ้านจึงน่าเบื่อน้อยลง ดังนั้นพฤษภาคมนี้ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะใช้วันหยุดไปกับอะไร เราแวะเอาคอนเทนต์จาก NETFLIX มาให้เลือกสรร The Godfather ความดีงามของระบบสตรีมมิงคือการที่เราจะดูเมื่อใด หยุดเมื่อใดก็ได้ หนังทั้งเรื่องเป็นของเรา การได้ดูที่มีหลาย ๆ ภาคในวันหยุดยาวแบบฉ่ำใจจึงเหมือนเป็นการได้เสพของอร่อยเต็มอิ่มของคอหนัง โดยเฉพาะเมื่อหนังเรื่องนั้นเป็นหนังระดับตำนาน จะมีอะไรดีกว่านี้อีก? The Godfather คงไม่ใช่หนังใหม่อะไร (แต่เราเชื่อว่าหลายคนก็อาจยังไม่เคยดู) ใครที่เคยดูแล้วก็ถือเป็นโอกาสอันดีในช่วงเดือนที่วันหยุดเยอะได้ย้อนกลับมาดูหนังแก๊งสเตอร์ระดับตำนานเรื่องนี้อีกหน The Godfather เรื่องราวว่าด้วยครอบครัวมาเฟียที่ไม่ได้มุ่งไปที่อาชญากรรมโดยตรง แต่ให้ฟีลรุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง โคตรมาเฟียที่ไม่ต้องข้องแวะกับความเป็นอันธพาล แต่อหังการตราตรึงใจนักวิจารณ์และคนดูแม้เวลาผ่านมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วก็ตาม ความดีงามคือมาครบทั้ง
อยู่คนเดียวมากี่วันแล้ว? โดดเดี่ยวแค่ไหน? รู้สึกเดียวดายบ้างหรือเปล่า? สถานการณ์ COVID-19 บีบคั้นให้ใครหลายคนต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักอาศัยอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางลมหายใจลำพังนั้นบางครั้งเราเผลอพูดกับตัวเอง บางทีหัวเราะท้องแข็งกับโพสต์จากเฟซบุ๊กแล้วจะหันไปแชร์กับใครสักคน แต่ตรงนั้นกลับมีเพียงอากาศว่างเปล่า หรืออย่างร้ายวินาทีที่เครียด กดดัน ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าคืออะไร น้ำอุ่น ๆ เอ่อไหลออกจากตา อยากหาไหล่ใครสักคนไว้ซับความเศร้า ก็กลับพบเพียงตัวเองกับหมอนใบเดิม เราเลยตั้งใจเอา ‘6 หนังมนุษย์เดียวดาย’ มาอยู่เป็นเพื่อน ใช่ มันไม่ได้ทำให้โดดเดี่ยวน้อยลง (บางเรื่องอาจเข้าถึงแก่นความโดดเดี่ยวเป็นเท่าทวี) แต่ในทุกเรื่องนี้จะพาเราทุกคนไปสำรวจความหมายของลมหายใจลำพัง ชีวิตโดดเดี่ยว และแต่ละวันอันเดียวดาย ในรูปแบบที่อาจทำให้เรามองความเดียวดายรายวันของเราในอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นได้… Moon ความโดดเดี่ยวของใครหลายคนในวันนี้อาจชวนให้อึดอัด เพราะเราไม่รู้แน่ชัดว่าเราจะต้องกักตัวเดียวดายไปถึงเมื่อไร? มีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน? ในทางกลับกัน ถ้าเรารู้ว่าเราต้องโดดเดี่ยวเป็นเวลาเท่าไร และจะได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของทุกคนที่เรารักอย่างปกติ มันจะดีกว่ากันจริงหรือเปล่า? Moon คือหนังที่ว่าด้วยนักบินอวกาศที่ได้รับภารกิจสำรวจดวงจันทร์ หน้าที่ของเขาก็คือภารกิจ 3 ปีเต็มบนดวงจันทร์ตะปุ่มตะป่ำ แม้จะเดียวดาย แต่ก็รู้แน่ชัดว่าหลังจาก 3 ปี เขาจะได้คืนกลับมาตุภูมิ แต่ความลึกซึ้งของ Moon ไม่ได้พาเราไปสำรวจชีวิตประจำวันของนักบินอวกาศที่ต้องอาศัยอยู่คนเดียวเป็นเวลานานเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เราตะลึงพรึงเพริด และชวนให้ขบคิดเรื่องชีวิตของเรา ความเป็นมนุษย์ เทคโนโลยี
เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเราชาว UNLOCKMEN คุยกันเรื่องซีรีส์เรื่องหนึ่งที่กำลังฮิตติดลมบนอยู่ในเวลานี้อย่าง Kingdom ผลงานจากประเทศเกาหลีใต้ที่ฉายทางระบบสตรีมมิง Netflix พวกเราพูดถึงฉากแอกชันโคตรเดือดกับการตามกำจัดซอมบี้และช่วงชิงบัลลังก์ของเจ้าชาย แต่น่าแปลกบทสนทนาเกี่ยวกับหนังแทบจะไม่มีชื่อตัวละครหลุดออกมาจากปากใครเลย เรารับรู้เพียงแค่ว่าหนังสนุก พูดคุยถึงตัวละครในหนังกันอย่างออกรสทั้งพระเอกเป็นเจ้าชาย นางเอกเป็นหมอ ชายแก่เป็นอาจารย์ของพระเอกกับหมอหญิงอีกที ตัวร้ายคืออัครเสนาบดีกับลูกสาวที่เป็นพระมเหสี และคนต้มเล้งแซ่บ ซึ่งผลของบทสนทนาคือแทบไม่มีใครจดจำชื่อตัวละครทั้งหมดได้เลย เพราะไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าตัวละครแต่ละตัวมีชื่ออะไรกันบ้าง (ยกเว้นหมอหญิงซอบีที่ถูกเอ่ยชื่อบ่อยในเรื่อง) UNLOCKMEN จึงเกิดความสงสัยว่าเพราะอะไรคนส่วนใหญ่ถึงไม่สามารถจดจำใบหน้าหรือชื่อของตัวละครเท่าไหร่นัก? ยิ่งเข้าสู่ฉากช่วงกลางคืนด้วยแล้วแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร และความสงสัยทำให้เราอยากรู้เรื่องอาการนี้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่อง Kingdom เท่านั้นที่ทำให้ผู้ชมสับสนว่าใครเป็นใคร แต่สำหรับแฟนหนังจำนวนไม่น้อยมีอาการสับสนเวลาดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งไปสักพักและจำไม่ได้ว่าตัวละครมีชื่อว่าอะไร หรือเพราะในเรื่องมีคนหน้าตาท่าทางคล้ายกันจนทำให้ไม่มั่นใจว่าใครเป็นใคร บางครั้งงงหนักขึ้นไปอีกว่าตัวละครนี้มันโผล่มาอย่างไรแม้ตัวละครนี้มันเคยออกมาแล้วแต่เราลืมเอง แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะอาการทั้งหมดเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็สามารถเป็นได้ทั้งนั้น ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยยอร์กแห่งสหราชอาณาจักร (University of York) พบเจอกับปัญหานี้ไม่ต่างกับเรา พวกเขาจึงเริ่มหาเหตุผลว่าเพราะอะไรเราถึงลืมหน้าคนได้ง่าย ๆ ด้วยการให้กลุ่มตัวอย่างนึกถึงใบหน้าของพี่น้องหรือญาติสนิท และจดจำใบหน้าเหล่านั้นให้มากที่สุด จากนั้นดูหน้าตาของเหล่าคนมีชื่อเสียงจากหลายวงการทั้งนักแสดง นักร้อง นักข่าว นักการเมืองและคนทั่วไปที่ไม่เคยเข้ามาข้องเกี่ยวในชีวิตมาก่อน จากนั้นทำแบบสำรวจว่าแต่ละคนสามารถจดจำใบหน้าได้มากแค่ไหน ผลออกมาว่ามีคนจากกลุ่มตัวอย่างจำหน้าคนได้มากถึง 5,000 หน้า แม้จะมีคนจดจำใบหน้าได้มาก 5,000 หน้า แต่เมื่อถามลงไปว่าแต่ละคนที่จำได้เป็นใครมาจากไหนความแม่นยำจะลดลงเรื่อย ๆ คนส่วนใหญ่จดจำหน้าและชื่อของญาติตัวเองได้มากที่สุดเพราะคุ้นเคยมาหลายสิบปี รองลงมาคือกลุ่มคนมีชื่อเสียง หลงลืมชื่อกับใบหน้าของกลุ่มที่เป็นคนแปลกหน้าไม่มีชื่อเสียง
ถ้าเลือกได้ เราเชื่อว่าไม่มีใครต้องการให้ชีวิตตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก แต่เพราะชีวิตไม่ได้อยู่ในมือเราเสมอไป เราจึงต้องเผชิญสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างใจหวัง โดยเฉพาะห้วงเวลาที่วิกฤตไวรัสส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ต่อความเครียด และสภาพเศรษฐกิจ UNLOCKMEN เข้าใจดีว่าทุกคนกำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญ เราเองก็อยากอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ คุณเพื่อบอกว่าต่อให้ “ชีวิตมันเศร้า แต่เราจะไม่ยอมแพ้” เราจะผ่านมันไปด้วยกัน และถ้าแค่คำพูดมันไม่เพียงพอ เราอยากชวนดูหนัง 5 เรื่องที่จะให้เข้าใจความหมายของการ “ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา” เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ในบางชั่วขณะของชีวิต เราต้องหาบ่อน้ำแห่งความหวังมาปลอบโยนหัวใจที่กำลังเหนื่อยล้าไว้บ้าง และเราหวังว่าหนัง 5 เรื่องนี้จะช่วยให้หัวใจของทุกคนมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาได้บ้าง Unbroken ถ้าคุณเชื่อว่าชีวิตคือกราฟ ลงสุด และขึ้นสุดได้จากการไม่ยอมแพ้เพียงหนึ่งครั้ง คุณอาจต้องคิดใหม่ Unbroken คือหนังที่สร้างจากเค้าโครงชีวิตของหลุยส์ ลูอี้ แซมเพอรินี มนุษย์ผู้เริ่มจากศูนย์ พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุด ก่อนจะร่วงหล่น ทุกข์ทรมาน แล้วทะยานขึ้นไปได้ใหม่ เพราะหัวใจนักสู้ของเขาที่ไม่เคยหมดหวังที่จะก้าวสู่วันที่ดีกว่า หนังเล่าเรื่องราวของ หลุยส์ ลูอี้ แซมเพอรินี ตั้งแต่วัยเด็กที่มีพื้นเพเป็นผู้อพยพ และใช้ชีวิตแบบไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ลักเล็กขโมยน้อย จนกระทั่งเขาพบความฝันยิ่งใหญ่แห่งชีวิตคือการเป็นนักวิ่งลมกรด เขาไม่ฝันเปล่า ๆ แต่พยายามและไม่ยอมแพ้ จนเป็นนักกีฬาโอลิมปิกที่คว้าชัยชนะและทำให้ผู้คนทั่วโลกประหลาดใจในความสามารถเขามาแล้ว แต่กราฟชีวิตที่พุ่งสูงไม่ได้การันตีว่าชีวิตจะมีความสุขตลอดไปเช่นในนิทาน
หากคุณเป็นหนึ่งในที่แฟนตัวยงของ Jackass รายการของกลุ่มทีมงานใจถึงที่รวมตัวกันทำอะไรห่าม ๆ ทั้งโลดโผน หวาดเสียว ทะลึ่งตึงตัง และเจ็บตัว! อีกไม่นานเกินรอ เพราะความบ้าบิ่นเหล่านี้จะกลับมา ‘Jackkass 4’ จะกลับมาป่วนอีกครั้งในวันที่ 5 มีนาคม 2021 อย่างแน่นอน! Jackass คือรายการเรียลลิตี้ทีวีของ MTV ที่เคยโด่งดังมาก ๆ ในอเมริกา พวกเขาคือกลุ่มเพื่อนชายบ้าดีเดือดที่กระทำสารพัดความพิสดารที่ชาวบ้านเขาไม่ทำกัน เสี่ยงตายกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนโดยมี Johnny Knoxville เป็นตัวต้นคิดและเป็นแกนนำของกลุ่ม Jackass เริ่มฉายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2000 มีทั้งหมด 3 ซีซัน ถูกนำไปสร้างภาพยนตร์ถึง 3 ภาค อีกทั้งยังมีภาคพิเศษที่อุทิศแด่ Evel Knievel และมีภาพยนตร์เรื่อง Bad Grandpa ที่จัดเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ของพวกเขา นอกจากนั้น Jackass ยังถูกนำไปสร้างเป็นวิดีโอเกมต่าง ๆ ทำให้ทั้งหมดทั้งมวลในแฟรนไชส์ของพวกเขากวาดรายได้สูงถึง $355 ล้านดอลลาร์จากทั่วโลก หลังจากที่พวกเขาต่างคนต่างแยกย้าย และหลงเหลือเพียงบางคนที่ยังทำรายการที่คล้าย ๆ
หยุดยาวส่งท้ายปีนี้ไปเที่ยวไหนดี ? ใกล้ถึงเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี หลาย ๆ คนคงกำลังเตรียมแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวพักผ่อนบอกลาปี 2019 ที่กำลังจะผ่านไป แต่ไม่ว่าจะไปเที่ยวไหน หรือไปกับใคร อย่าลืม ! แพ็ค Netflix ติดกระเป๋าไปกับคุณด้วย ! เพราะ นอกจากจะเป็นเพื่อนยามเหงาที่บ้านแล้ว Netflix ยังเป็นเหมาะกับการเพื่อนคู่ใจยามท่องเที่ยวให้สายเที่ยวได้ฟีลกับการท่องเที่ยวแบบต่าง ๆ ไปกับคอนเทนต์มากมายหลากหลายสไตล์บน Netflix ที่จะทำให้การท่องเที่ยวของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น มาดูกันว่า 5 เรื่องที่เราคัดสรรมานี้จะถูกใจสายเที่ยวสายไหนกันบ้าง The Irishman อีกเรื่องที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globes 2020 สาขาภาพยนตร์ดราม่ายอดเยี่ยมเช่นเดียวกันก็คือ The Irishman (คนใหญ่ไอริช) หนังที่เล่าเรื่องราวองค์กรอาชญากรรมในอเมริกาช่วงหลังสงคราม โดยเรื่องราวดำเนินไปในช่วงระยะเวลา 10 ปีและตีแผ่ปริศนาที่ยังไม่มีการไขกระจ่างในประวัติศาสตร์อเมริกา พร้อมล้วงลึกองค์กรอาชญากรรมในด้านที่ไม่มีใครได้รู้มาก่อน กำกับโดยผู้กำกับอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี ที่ฝากผลงานไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น The Aviator, Hugo หรือ The Wolf of
ไม่บ่อยนักที่ทาง Marvel Studio จะยอมทำตามข้อเรียกร้องของเหล่าแฟนคลับ แต่ภาพยนตร์ “Black Widow” ในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกรณีที่ทางเบื้องบนรับฟังเสียงเรียกร้องของแฟน ๆ จนสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ในที่สุด สายลับรัสเซียสาว Natasha Romanoff (รับบทโดย Scarlett Johansson) คือหนึ่งในทีมอเวนเจอส์ยุคบุกเบิก ถึงแม้ที่ผ่านมาจะไม่มีหนังแยกของตัวเอง แต่บทบาทของเธอก็โดดเด่น แถมยังเป็นตัวแปรสำคัญในชัยชนะหลาย ๆ ครั้งของเหล่าอเวนเจอส์อีกด้วย ไม่แปลกที่คาแรกเตอร์นี้จะสามารถครองใจแฟน ๆ ทั่วโลกได้ทุกเพศทุกวัย และในที่สุดเทรลเลอร์แรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถูกปล่อยออกมาให้แฟน ๆ ทั่วโลกได้รับชมกันสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากได้ดูเทรลเลอร์แล้วก็เป็นอันเข้าใจตรงกันชัดเจนว่า Black Widow ไม่ใช่หนังเล่าจุดกำเนิดของ Natasha แต่เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนไทม์ไลน์ของ Avengers: Endgame โดยหนังเรื่องนี้มาพร้อมตัวละครใหม่ ๆ เช่น Yelena Belova (รับบทโดย Florence Pugh) และ Melina Vostokoff (รับบทโดย
หลังจากโลกจดจำจุดสิ้นสุดของมหาสงครามซูเปอร์ฮีโร่ครั้งยิ่งใหญ่ของปี 2019 กับภาพยนตร์เรื่อง Avengers: End Game (2019) เราก็ห่างหายจากหนังฮีโร่กันไปพักใหญ่ ทั้งค่าย Marvel และ DC ที่มีฮีโร่อยู่ในสังกัดมากมายต่างซุ่มเตรียมปล่อยโปรเจกต์ใหญ่สำหรับปี 2020 และในตอนนี้ก็มีแววว่าโลกของเรากำลังจะมีซูเปอร์ฮีโร่คนใหม่อีกครั้งในบทบาทของ Superman ที่เป็นชายผิวสี ไอเดียที่ว่าค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Warner Bros. อยากสร้างความสดใหม่ให้กับวงการหนังซูเปอร์ฮีโร่รายงานมาจากเว็บไซต์บันเทิงชื่อดัง Varity ว่า ผู้บริหารของค่ายหนังเรียกโปรดิวเซอร์แนวหน้าของวงการฮอลลีวูดเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับทิศทางใหม่ โดยรายชื่อผู้กำกับที่ว่าคือ J.J. Abrams ผู้เคยฝากผลงานไว้มากมายทั้งการกำกับทีวีซีรีส์เรื่อง Lost (2004) หนังอวกาศเรื่อง Star Trek Into Darkness (2013) รวมถึงภาพยนตร์มหากาพย์สงครามในตำนานอย่าง Star Wars: The Force Awakens (2015) และภาคล่าสุดกับ Star Wars: The Rise Of Skywalker (2019) ก่อนหน้านี้ J.J. Abrams เพิ่งจะหมดสัญญากับค่าย
หลังจากที่ Netflix ประสบความสำเร็จในการสร้าง Original Content ของตัวเองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ สารคดี การ์ตูน ไปจนถึงรายการโชว์ ส่วนของภาพยนตร์เองก็ไม่น้อยหน้า กำลังเติบโตและเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Roma, Bird Box, To All the Boys I’ve Loved Before, Set It Up และ Okja ล้วนได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลก ล่าสุดพวกเขากำลังจะปล่อยหนังเรื่องใหม่จัดเต็มโปรดักชั่นยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาให้พวกเราได้ชมกันกับ ‘The King’ (เดอะ คิง) ภาพยนตร์แนวพีเรียดที่สร้างจากวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ของ วิลเลียม เชกสเปียร์ เรื่องราวของกษัตริย์เฮนรีที่ 5 แห่งราชวงศ์อังกฤษ อดีตเจ้าชายหนุ่มผู้ไม่ปรารถนาจะสืบทอดราชบัลลังก์ แต่กลับต้องขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างกะทันหันหลังพระราชบิดาผู้เหี้ยมโหดสิ้นพระชนม์ เรื่องย่อ เจ้าชายฮัล (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเมต์) ผู้ไม่เคยใส่ใจกับการรับช่วงต่อราชบัลลังก์ เขาจำต้องขึ้นครองราชย์เป็น ‘พระเจ้าเฮนรีที่ 5’ หลังการตายของพระบิดาอย่างไม่ทันตั้งตัว กษัตริย์หนุ่มจึงต้องหาทางรับมือกับการแก่งแย่งชิงดี เขาต้องต่อสู้กับภาระอันหนักอึ้งของมงกุฏ ในช่วงที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
สิ้นสุดการรอคอยสำหรับสาวก Oasis และ Liam Gallagher ชาวไทยทั้งหลาย เพราะในที่สุดหนังสารคดี LIAM GALLAGHER: AS IT WAS ก็มีกำหนดการฉายในบ้านเราแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยจะเข้าฉายพร้อมกันทั่วประเทศ (แต่ต้องเช็กนิดนึงว่าโรงไหนมีบ้าง) ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ก่อนอื่นทาง UNLOCKMEN ก็ต้องขอบคุณทาง Lido Connect เป็นอย่างยิ่งที่เชิญทีมงานเราไปดูก่อนใครในรอบสื่อมวลชน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้เราก็จะมารีวิวหนังสารคดีของร็อกสตาร์ฝีปากกล้าเรื่องนี้ให้หนุ่ม ๆ ทุกคนได้อ่านเป็นน้ำจิ้มก่อนจะไปดูของจริงในโรงภาพยนตร์ โดยทางเราขอยืนยันว่าจะไม่มีการสปอยล์ใด ๆ ที่จะทำให้เสียอรรถรสอย่างแน่นอน มาเริ่มกันเลย! จุดเริ่มต้นวันฝันสลาย “Oasis แยกวง” หากจุดเริ่มต้นของ Oasis อยู่ในสารคดี Oasis: Super Sonic จุดจบของ Oasis ก็คือจุดเริ่มต้นของสารคดี Liam Gallagher: As It Was เรื่องราวของหนังจะเริ่มต้นตั้งแต่วันมหาวิปโยคที่เทศกาล Rock en Seine กรุงปารีส ปี