หลังจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Dunkirk ได้เข้ามาปลุกกระแสหนังสงครามให้ครึกครื้นในกระแสหลักไปเมื่อปี 2017 หนุ่ม ๆ ที่เป็นคอหนังแนวนี้ก็เตรียมผงาดกันได้เลย เพราะมกราคมปีหน้า ภาพยนตร์เรื่องใหม่ ‘1917‘ จะมาเขย่าวงการหนังสงครามกันอีกครั้ง! โดยเจ้าของผลงานครั้งนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้กำกับ Sam Mendes ชายผู้เคยแสดงฝีมือไว้ในหนังแฟรนไชส์ James Bond อย่าง Skyfall และ Spectre นั่นเอง อีกทั้งยังได้ Roger Deakins เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Blade Runner 2049 มาช่วยกำกับภาพให้อีกด้วย โดยเรื่องราวของ 1917 นี้ จะเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1917 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังระอุ เมื่อทหารอังกฤษสองนายต้องเสี่ยงชีวิตทำภารกิจเพื่อส่งสารยุติการโจมตีกับฝ่ายศัตรู หากพวกเขาทำพลาด กองทัพอาจสูญเสียกองกำลังกว่า 1,600 นาย และหนึ่งในนั้นคือพี่ชายของเขาเอง ฟังเผิน ๆ เหมือนจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปจากหนังสงครามเรื่องอื่น แต่ผู้กำกับมือทองระดับ Sam Mendes จะมาแบบธรรมดาได้อย่างไร เพราะเขาจะถ่ายทอดการปฏิบัติภารกิจของ 2
หากคุณเคยได้ยินประโยคที่กล่าวว่า “สู้กับใครก็ไม่ยากเท่าสู้กับตัวเราเอง” ดูเหมือนซีรีส์เรื่องใหม่ที่กำลังจะฉายทาง Netflix เรื่องนี้ จะเป็นเคสตัวอย่างของสถานการณ์นี้ได้ดีที่สุด จะเป็นอย่างไรหากมีตัวเราอีกคนอยู่บนโลก แถมมันยังเหนือกว่าเราไปเสียทุกเรื่องอีกต่างหาก! Living with Yourself (ชีวิตติดเซลฟ์) คือเรื่องราวของ ไมลส์ อิลเลียตต์ (รับบทโดย พอล รัดด์) ชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำของชีวิตทั้งการงาน และชีวิตคู่ เขาจึงเข้ารับทรีตเมนต์ที่สปาแห่งหนึ่งซึ่งอ้างว่า “จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่ดีขึ้น” หลังตื่นขึ้นมาเขาค้นพบว่าตัวเองมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็น ทุกสิ่งกำลังจะเป็นไปได้สวย แต่ปรากฏว่าตัวเขาคนเดิมกลับโผล่ขึ้นมาจากหลุมศพและพยายามกลับเข้ามาใช้ชีวิตอีกครั้ง! จนกลายเป็นว่ามี ไมลส์ อิลเลียตต์ สองคน หากแต่ใช้ได้เพียงหนึ่งชีวิตเดียว… สำหรับเรื่องราวในชีวิตติดเซลฟ์นี้ จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวตนแบบปัจเจก และกระตุ้นให้คิดต่อว่า คนเราอยากจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิมจริงหรือไม่? โดยมีความยาวทั้งหมด 8 ตอน ถ่ายทอดผ่านหลากหลายแง่มุม และเส้นเรื่องที่ทับซ้อนไปมา การันตีผลงานด้วยฝีมือการสร้างและเขียนบทโดย ‘ทิโมธี กรีนเบิร์ก’ เจ้าของ 2 รางวัล Emmy จาก The Daily Show with Jon Stewart อีกทั้งยังกำกับโดยโจนาธาน เดย์ตัน และวาเลอรี
The Man Who Fell To Earth คือหนัง Sci-Fi ปี 1976 ของผู้กำกับ Nicolas Roeg (คนเดียวกันกับที่กำกับ Castaway) สร้างโดยได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายชื่อเดียวกันของนักเขียนนาม Walter Tevis บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวผู้เดินทางมาเยือนโลก โดยมีจุดประสงค์ในการนำทรัพยากรจากโลกกลับไปช่วยเหลือดวงดาวที่แสนแห้งแล้งของตัวเอง เมื่อเขาลงมาใช้ชีวิตปะปนกับชาวโลก เขาได้ตั้งชื่อตัวเองใหม่ว่า ‘Thomas Jerome Newton” (รับบทโดย David Bowie) เขาก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีผู้ร่ำรวย เขามีความสัมพันธ์แปลกประหลาดกับหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งนามว่า Mary-Lou (รับบทโดย Candy Clark) เพราะถึงแม้จะตกลงปลงใจอยู่กินเฉกเช่นคนรัก แต่คนดูหนังอย่างเราก็ไม่อาจตอบได้เต็มปากว่ามนุษย์ต่างดาวอย่างเขาหลงรัก Mary-Lou จริง ๆ หรือไม่ The Man Who Fell To Earth จัดว่าเป็นหนัง Sci-Fi อีกเรื่องที่ขึ้นชื่อว่า ‘แปลกประหลาด’ เข้าใจยาก ต้องอาศัยการตีความเยอะ แถมยังใช้วิธีการตัดต่อที่ซับซ้อน จะเรียกว่าเป็นหนังดูยากก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นหนังสุดคลาสสิกที่มี
เข้าสู่หน้าฝนแล้ว แม้บรรยากาศรอบตัวจะเย็นสบายขึ้น แต่อากาศเย็น ๆ และเสียงฝนพรำ ๆ ก็คงทำให้ชาว UNLOCKMEN หลายคนที่ติดฝนอยู่บ้านรู้สึกเหงาใจอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน สำหรับวันนี้ UNLOCKMEN มีวิธีคลายเหงากับตัวช่วยชั้นยอดอย่าง Netflix ผู้นำด้านความบันเทิงบนอินเทอร์เน็ตระดับโลก ที่ไม่ต้องห่วงเลยว่าอยู่ที่ไหนเพราะสามารถรับชมได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านหน้าจออุปกรณ์ใดก็ได้ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ให้คุณได้เพลิดเพลินในฤดูฝนนี้ไปกับ 5 ซีรีส์ หนัง หลากสไตล์ที่จะเป็นเสมือนเพื่อนคู่ใจให้ทุกคนก้าวผ่านฤดูแห่งความเหงานี้ไปพร้อมกัน My First First Love เริ่มต้นกันด้วย My First First Love (วุ่นนัก รักแรก) ซีซั่น 2 ที่จะมาสานต่อเรื่องราวความสนุกสนานจากมิตรภาพและความรักของเหล่าวัยว้าวุ่น นำแสดงโดย จีซู จองแชยอน จินยอง ชเวรี และ คังแทโอ เรื่องราวของหนุ่มสาวที่มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน โดยในซีซั่น 2 นี้จะดำเนินเรื่องต่อจากซีซั่นแรก มาร่วมติดตามความสัมพันธ์อันคุกกรุ่นและอารมณ์ความรู้สึกทีอันสับสนของตัวละคร ซึ่งทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ความหมายว่า “รักแรก” ที่แท้จริงคืออะไร Queer Eye ต่อกันด้วย Queer Eye (เควียร์
ย้อนไปในปี 1986 ภาพยนตร์เรื่อง TOP GUN ได้สร้างตำนานให้กับจอเงินแบบที่คนทั่วทั้งโลกลืมไม่ลง ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ครบรสและถูกกับจริตแมน ๆ ของผู้ชายเราเป็นที่สุด นอกจาก TOP GUN จะทำให้ Tom Cruise แจ้งเกิดในวงการฮอลลีวูดอย่างเป็นทางการ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังอัดแน่นด้วยฉากแอ็กชันเอฟเฟกต์ผาดโผนบนอากาศ นำเครื่องบินรบและเรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ มาเข้าฉากลำเป็น ๆ ให้ได้เห็นกันเต็มสองตา แถมสไตล์ความเนี้ยบเท่ของพระเอก Maverick ที่รับบทโดย Tom Cruise ก็กลายเป็นกระแสนิยมของผู้ชายในยุคนั้นด้วย ทั้งการสวมแว่นตากันแดดทรงหยดน้ำ ขี่บิ๊กไบค์คันเท่ หรือแม้แต่ใส่แจ็คเก็ตหนังหล่อ ๆ ล้วนเป็นแฟชั่นอมตะแห่งยุค 80s ที่ยังคงมีให้เห็นจวบจนทุกวันนี้ TOP GUN (1986) ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงเรื่องราวของเสืออากาศรหัสลับ Maverick นักบินขับไล่ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงที่สงครามเหนือน่านฟ้าของอเมริกาและโซเวียตกำลังคุกรุ่น จนวันหนึ่งที่ Maverick ขับเครื่องบินขับไล่รุ่น F-14 Tomcat ทำภารกิจกับคู่หูตามปกติ แต่แล้วดันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้เข้าต้องเข้าร่วมการฝึกในศูนย์ฝึกสอนยุทธการทางอากาศ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ‘TOP GUN’ สุดยอดโรงเรียนที่เคี่ยวกรำเหล่านักบินขับไล่ให้เชี่ยวชาญการรบทางอากาศ ที่ Naval Air
หากกล่าวถึงนิยายสยองขวัญ เชื่อว่า Stephen King คงเป็นชื่อต้น ๆ ในใจของใครหลายคน แม้คุณจะไม่เคยอ่านหนังสือของเขามาก่อน ก็อาจจะเคยชมหรือรู้จักภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายของเขาอย่าง IT (โผล่จากนรก), The Shining (โรงแรมผีนรก) หรือ Pet Sematary (กลับจากป่าช้า) กันมาบ้าง ล่าสุด The Stand เรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่ถูกทำลายด้วยโรคระบาด หายนะจากการทดลองผลิตอาวุธเชื้อโรคของมนุษย์ อีกหนึ่งผลงานที่เคยตีพิมพ์ในปี 1978 ของเขาก็กำลังจะถูกนำไปสร้างเป็นมินิซีรีส์ลงช่อง CBS All Access และมีกำหนดออนแอร์ไว้ในปี 2020 ที่จะถึงนี้ ทว่าเรื่องที่น่าติดตามไม่แพ้พลอตหนังสนุก ๆ ของ Stepen ก่อนลงจอมาจาก Marilyn Manson พญาซาตานแห่งดนตรี Shock-Rock ที่เผยว่า เขาจะมีบทบาทในมินิซีรีส์เรื่องนี้อย่างแน่นอน สิ่งนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับทั้งฝั่งแฟนเพลงและแฟนซีรีส์เป็นอย่างมาก เพราะจะมีใครในโลกที่ทั้งเท่ ลึกลับ และน่าเกรงขาม เหมาะกับการอยู่ในซีรีส์แนวสยองขวัญไปมากกว่าเขาคนนี้ นอกจากคาแรกเตอร์ภายนอกที่ลงตัว Manson ยังเคยผ่านงานแสดงมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Wrong Cops (2013), Sons
คอเพลงหรือคอหนังหลายคน อาจจะเคยเห็นว่าบรรดาศิลปินชื่อดัง มักได้โอกาสรับงานด้านการแสดงในภายหลัง ตัวอย่างที่คนส่วนมากรู้จักกันดีอยู่แล้ว ได้แก่ David Bowie, Lady Gaga, Madonna, Eminem หรือถ้ายุคใหม่หน่อยก็ Machine Gun Kelly ข้อดีคือศิลปินมักจะมีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นอยู่แล้ว การนำพวกเขามารับงานแสดงจึงมีส่วนช่วยดึงดูดให้ผู้คนสนใจในตัวภาพยนตร์มากขึ้น ในทางกลับกัน นักแสดงที่ก้าวไปทำงานดนตรีบ้างกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร และใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จเรื่องนี้เหมือน Jared Leto ที่ถูกจดจำทั้งในฐานะนักแสดง และในฐานะฟรอนต์แมนจากวง Thirty Seconds to Mars นักแสดงบางคนเล่นหนังเรื่องไหนก็ดังเป็นพลุแตก แต่ก็ยังมีแฟนคลับอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นมีวงดนตรีหรือมีงานเพลงเป็นของตัวเอง! วันนี้เราเลยจะมาพูดถึงนักแสดงชื่อดังที่ทำงานควบกับสายดนตรีเหล่านั้นกัน คนที่ยังไม่ทราบเชิญรับเพลงใหม่ ๆ ไปแบ่งกันฟัง ส่วนคนที่รู้อยู่แล้วก็คิดเสียว่าเข้ามาอ่านเพลิน ๆ ส่วนจะมีใครบ้างเรามาดูกันเลยดีกว่า Keanu Reeves ในฐานะมือเบสวง Dog Star ช่วงกลางยุค 90 Keanu Reeves เคยเป็นมือเบสให้วงร็อกชื่อ Dogstar แต่ภายหลังด้วยตารางงานแสดงที่เริ่มแน่น บวกกับกระแสตอบรับวงไม่ค่อยดีนัก เขาจึงยอมถอนตัวออกจากวง ถึงเขาจะเป็นพระเอกหนุ่มระดับโลก แต่ในฐานะศิลปิน Keanu Reeves
รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้ว ใน Netflix ไม่ได้มีเฉพาะหนังและซีรีส์เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเสพดนตรีชั้นดีของคอเพลงอีกด้วย เพราะเขามีทั้งสารคดีรวมไปถึงหนัง Biopic เกี่ยวกับศิลปินมากมายให้เราเลือกชม พร้อมซับไตเติลภาษาไทยเสร็จสรรพพร้อมเสิร์ฟ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้เราจะมาแนะนำ 5 หนังสารคดีเกี่ยวกับศิลปินน่าสนใจที่คุณสามารถหาดูง่าย ๆ ได้ทาง Netflix! 27: Gone To Soon สารคดีที่จะเจาะลึกและนำเสนอแง่มุมใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่อง “27 Club” ทฤษฎีความเชื่อที่ว่าศิลปินอัจฉริยะมักจะจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 27 ปี (อย่างกะทันหันและไม่สมเหตุสมผล) ตัวอย่างศิลปินลำดับต้น ๆ ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เช่น Brian Jones (The Rolling Stones), Janis Joplin, Jimi Hendrix, Jim Morrison, Kurt Cobain และ Amy Winehouse เป็นต้น แม้เดิมทีเรื่อง 27 Club
หลังจากที่ทาง Netflix ได้ประกาศวันฉายซีซั่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการของ ‘Black Mirror’ ซีรีส์ Sci-Fi สุดล้ำที่จะมาเผยด้านมืดของเทคโนโลยีในแบบที่คุณไม่คาดคิด โดยปีนี้ก็เข้าสู่ซีซั่นที่ 5 เป็นที่เรียบร้อย แฟน ๆ ทั่วโลกสามารถรับชมพร้อมกันทั่วโลกได้ในวันที่ 5 มิถุนายน 2019 นี้ ซีซั่นล่าสุดนี้เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์หลายระลอกจากทาง Netflix ไม่ว่าจะเป็นการประกาศบทบาทนำแสดงโดยศิลปินสาว Miley Cyrus ที่เป็นแคสต์หลักของเรื่องในตอน ‘Rachel, Jack and Ashley Too’ หรือจะ Andrew Scott (มอร์ริอาตี้ จาก Sherlock) ที่มารับบทนำในตอนที่มีชื่อว่า ‘Smithereens’ ซึ่งความตื่นเต้นยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะในตอน Smithereens นั้นยังได้นักประพันธ์มือดีที่กวาดรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วนอย่าง ‘ริวอิจิ ซากาโมโตะ’ มาเป็นผู้สร้างสรรค์เพลงประกอบให้อีกต่างหาก หากใครยังไม่คุ้นชื่อ ‘ริวอิจิ ซากาโมโตะ’ ต้องเท้าความก่อนว่าเขาผู้นี้อยู่ในวงการดนตรีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เป็นสมาชิกวง Yellow Magic Orchestra จนต่อมาเขากลายเป็นคอมโพสเซอร์อัจฉริยะผู้อยู่เบื้องหลังซาวด์แทร็คของภาพยนตร์ดังหลากหลายเรื่อง เรื่องแรกที่ทำให้เขาแจ้งเกิดก็คือ ‘Merry Christmas, Mr. Lawrence’
หลังจากเปิดตัวภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่หญิงคนแรกของมาร์เวลอย่าง Captain Marvel ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน Marvel Cinematic Universe ก็ไม่รอช้าปล่อยตัวอย่างที่ 2 ของ Avengers: Endgame มาติด ๆ โดยเหล่าแฟนหนังไม่ยังไม่ได้พักหายใจ จากตัวอย่างครั้งนี้ก็มีฉากใหม่ ๆ กับคำถามที่ตามมาว่า Trailer นี้บอกข้อมูลอะไรกับเราบ้าง ? ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากบนโซเชียลมีเดียคือข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับชะตากรรมของโทนี่ สตาร์ค และเนบิวล่า ถ้าดูจากตัวอย่าง ทั้งสองคนสามารถกลับสู่โลกอย่างปลอดภัย อาจเป็นไปได้ว่าทั้งสองคนพบ Captain Marvel กลางทาง อย่างไรก็ตามประสบการณ์ที่เหล่าแฟนหนังเคยได้รับจากแฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวล คือ อย่าเพิ่งเชื่อทุกอย่างที่ Trailer บอก เพราะ MCU เคยสับขาหลอกคนดูด้วยตัวอย่างหนังมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ในเรื่อง Thor: Ragnarok จากตัวอย่างทำให้รู้ว่าธอร์เทพเจ้าสายฟ้าสามารถปลดล็อกตัวเองทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ทั่วทั้งตัวรวมถึงดวงตาทั้งสองข้าง แต่ในภาพยนตร์กลับไม่เหมือน Trailer เพราะว่าธอร์สูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่งจากการต่อสู้กับพี่สาว นอกจากนี้ Avengers: Infinity War ก็เคยหลอกแฟน ๆ เรื่องจำนวน Infinity Stone บนถุงมือของธานอส