ใจคนเรายากแท้หยั่งทำ ดูจะเป็น Cliche ที่ได้ยินกันมาตั้งแต่พระเจ้าเหาจนถึงตอนนี้ แต่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงได้เพราะมันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเราทุกคน ชีวิตเราต้องเจอ Mind Game จากคนรอบตัว หรือแม้แต่ตัวเราเองที่ชอบเล่นเกมนี้กับคนอื่นอยู่เสมอ ลองเปลี่ยนชีวิตจริงมาดู Mind Game จากภาพยนตร์ที่ UNLOCKMEN อยากแนะนำกันบ้าง กับ PSYCHOLOGICAL THRILLER 5 เรื่อง ที่เราพยายามเลือกเรื่องที่ไม่ได้เป็นหนังกระแสหลักมากนักมาให้ได้ดูกัน ไม่งั้นคงเบื่อแย่ที่เปิดลิสต์หนังเว็บฯไหนก็มีแต่เรื่องเดิม ๆ บอกไว้ก่อนว่าลิสต์นี้เป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนหนังกันเท่านั้น ไม่ได้เป็นการจัดอันดับหนังดีใจดวงใจ ไม่ต้องน้อยใจไปหากหนังในใจของคุณไม่อยู่ในลิสต์นี้ Perfume: The Story of a Murderer (2006) Director : Tom Tykwer เรื่องราวของฆาตกรหนุ่มที่จบชีวิตลงด้วยโทษประหารที่สังคมมองว่ามันสมควรแก่การกระทำของเขาแล้ว Grenouille หนุ่มที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการรับกลิ่น และสัมผัสสุดพิเศษที่เขาได้มาเป็นเหมือนพรจากพระเจ้า แต่เขากลับนำมันมาใช้ในทางที่ผิด เมื่อวัตถุดิบในการทำน้ำหอมของเขานั้นพิสดารขึ้นไปเรื่อย ๆโดยพื้นหลังของเรื่องเกิดขึ้นในกรุงปารีส แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองน้ำหอม แต่ภาพยนตร์จะเผยอีกด้านที่ไม่ได้สวยงามนักให้เราได้เห็นกัน The Killing of a Sacred Deer (2017) Director : Yorgos
นับว่าเป็นซีรีส์สุดฮิตอีกเรื่องนึงบน Netflix ที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม สำหรับ ‘The End of the F**king World’ ซีรีส์หลายรสแนว Dark Comedy Drama ที่สร้างจากนิยายของ Charles Forsman เรื่องราวของคู่รักวัยรุ่นที่อาจจะไม่ค่อยปกติทางความคิดมากนัก จากจุดเริ่มต้นที่ James (Alex Lawther) พระเอกอายุ 17 ปีที่มีความอยากฆ่าทุกอย่างรอบตัว รวมถึง Alyssa (Jessica Barden) นางเอกขวางโลกสุดโต่ง การผจญภัยที่ไปไกลจนไม่สามารถย้อนกลับได้ และสุดท้ายกลับกลายเป็นความรักถึงขนาดยอมตายเพื่อเธอ แม้จะมีความยาวเพียง 8 ตอน แต่กระแสตอบรับที่มีทั้งด้านลบ ไม่ได้รับความนิยมมากนักใน UK บ้านเกิด และเกือบจะไม่ได้ถูกนำมาฉายด้วยซ้ำ แต่ในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยกลับมีเสียงบอกว่าดีเยี่ยม ทำให้วันนี้มีข่าวดีจาก Official Twitter ว่าเตรียมพบกับ ‘The End of the F**king World Season 2’ บน Netflix ได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าความดาร์คปนโรแมนติกจะเปลี่ยนไป เพราะทั้งคนเขียนบท Charlie Covell และทีมผู้กำกับชุดเดิมอย่าง
หากให้แนะนำหนังดีที่ควรดูสักเรื่องหลายคนและหลาย Page Facebook กูรูคอหนังต่าง ๆ “INCEPTION” ของผู้กำกับสติเฟื่องอย่าง Christopher Nolan ต้องติดอยู่ในลิสต์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แน่ล่ะ เพราะหนังมันช่างล้ำเกินกว่าจะดูรอบเดียวจบได้ ต้องมีซ้ำเก็บรายละเอียด บวกกับพล็อตเรื่องชวนพิศวงตามสไตล์ของโนแลน ยิ่งทำให้เรื่องนี้ถูกพูดถึงอยู่เรื่อย ๆ และหนึ่งในนั้นคือตอนจบของเรื่อง ที่ยังคงถกเถียงกันตลอดมาว่ามันจบอย่างไรกันแน่ ฟังความเห็นจากกูรูหนังกันมาเยอะแล้ว วันนี้ UNLOCKMEN จะบอกว่าจริง ๆ แล้วนักแสดงในเรื่องอย่าง Michael Caine ที่รับบทเป็นพ่อของ Dom Cobb ตัวเอกในเรื่องที่รับบทโดย Leonardo DiCaprio แอบเฉลยให้เรารู้ไว้ตั้งนานแล้ว! Spoil Alert !! เนื้อหาในบทความนี้ มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์บางส่วน ใครที่ยังไม่ได้ดู กลัวเสียอรรถรส แนะนำให้ดูก่อนแล้วค่อยมาอ่านทีหลังก็ยังไม่สาย ตอนจบของภาพยนตร์ดังอย่าง Inception ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงตั้งแต่เข้าโรงจนถึงทุกวันนี้ก็เกือบสิบปีแล้ว ว่าสุดท้ายแล้วตัวเอกของเรื่องของ Dom Cobb (Leonardo DiCaprio) กำลังติดอยู่ในความฝันหรือว่าภาพที่เห็นนั้นคือเรื่องจริงของเขา ซึ่งคือภาพของเขาอยู่กับลูก ๆ อย่างมีความสุข และตัดมาที่ Totem
กิจกรรมสุดคลาสสิกในวันหยุดยาวของหนุ่มสายชิลล์คงไม่พ้นการนอนดูหนังดี ๆ สักเรื่องอยู่บ้าน และวันหยุดยาวที่ใกล้จะถึงนี้ ลองเพิ่มความพิเศษด้วยการชวนคุณแม่มาดูหนังด้วยกัน กระชับความสัมพันธ์ในครอบครับ กับ 5 หนังเกี่ยวกับแม่ที่ UNLOCKMEN คัดมาให้แล้วว่าครบรส ทั้งความมันส์ และสตอรี่เกี่ยวกับแม่ ที่อาจจะเรียกน้ำตาของผู้ชายแมน ๆ อย่างเราได้เหมือนกัน The Blind Side (2009) Director: John Lee Hancock เค้าโครงจากชีวิตจริงของ Michael Oher นักอเมริกันฟุตบอล ที่มีชีวิตอีกด้านที่ไม่ได้ราบรื่นนัก กว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องผ่านอะไรมามากมาย โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ในภาพยนตร์จะเป็นเรื่องของเขาในช่วงวัยรุ่น ที่ได้รับการอุปการะจากครอบครัวบุญธรรมของเขา ให้ชีวิตใหม่ ให้การศึกษา และสิ่งที่เขาไม่เคยได้มาก่อนอย่างความเป็นครอบครัว ในเรื่องเราจะได้เห็นความโอบอ้อมอารี อินเนอร์ของความเป็นแม่ ที่หวังจะฟูมฟักให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพแบบที่เด็กคนหนึ่งควรจะได้แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ก็ตาม มาดูกันว่า กว่าเขาจะมาถึงตรงนี้ได้ นอกจากความพยายาม พรสวรรค์ด้านกีฬาของเขาแล้ว อีกแรงผลักดันสำหรับเขาคือ “แม่” ที่เลือกจะอุปการะเขาในวันนั้น คอยซัพพอร์ตในทุกสิ่งที่เขาต้องการ ความเหน็ดเหนื่อยของคนเป็นแม่ แม้จะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวได้
งานอดิเรกของหนุ่ม ๆ ในสายตาผู้หญิงค่อนข้างเป็นอะไรที่จำกัด อาจจะมีอยู่ไม่กี่อย่างที่เธอนึกออก ดนตรี กีฬา รถ เกมส์ ตัวเลือกเหล่านี้คงจะผุดขึ้นมาในหัวของสาว ๆ เป็นอันดับต้น ๆ แน่นอน แต่จริง ๆ แล้วหนุ่มอย่างเรามีหลายมิติที่สาว ๆ อาจจะคาดไม่ถึง กิจกรรมหลายอย่างที่เราชื่นชอบจนหยิบเอามาเป็นงานอดิเรกแม้จะขัดกับลุคของเราก็ตาม อย่างการทำอาหารก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่สาว ๆ จะคาดไม่ถึงเท่าไหร่ว่าผู้ชายจะสนใจในเรื่องนี้ (หรือคิดว่าคงมีแค่ส่วนน้อย) แต่เชื่อเถอะว่ายังมีหนุ่มอีกจำนวนมากที่หลงใหลในการปรุงแต่งรสชาติ การเลือกวัตถุดิบชั้นดี สร้างสรรค์เมนูอาหาร UNLOCKMEN อยากจะชวนหนุ่ม ๆ ที่มีใจรักในการทำอาหารมาดูหนัง 5 เรื่องนี้ที่เราคัดมาให้แล้ว รับรองว่าต้องน้ำลายไหล เหมือนได้กลับไปอ่านยอดกุ๊กแดนมังกรในวัยเด็กยังไงอย่างงั้น The Lunchbox (2013) Director : Ritesh Batra ลืมหนังอินเดียยกตลาดมาเต้น ร้องเพลงข้ามภูเขาไปได้เลย เรื่องนี้ถือเป็นอีกเรื่องที่เป็นตัวแทนของหนังอินเดียสมัยใหม่ เรื่องราวจะยึดอยู่กับการส่งข้าวกล่องในอินเดีย ที่เราจะต้องทึ่งกับวัฒนธรรมนี้แน่นอน เรื่องเริ่มจากแม่บ้านคนหนึ่งที่ระหองระแหงกับสามีมาระยะหนึ่ง เธอหวังว่าฝีมือการทำอาหารที่เธอตั้งใจใส่ความรู้สึกลงไปด้วยนี้ จะช่วยดึงสามีเธอให้กลับมาสนใจเธออีกครั้ง แต่ข้าวกลางวันกล่องนั้นกลับส่งไปไม่ถึงสามีของเธอ แต่ดันไปส่งที่ Fernandes หนุ่มออฟฟิศที่ใกล้เกษียณ ใช้เวลาไปกับการนั่งเสียใจเรื่องภรรยาที่จากไปของเขา จนวันหนึ่งที่เขาได้ข้าวกล่องที่ส่งผิด เขาเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
นับตั้งแต่ Mission: Impossible ภาคปฐมบทเข้าฉายในปี 1996 จนถึงวันนี้เวลาก็ล่วงเลยมากว่า 22 ปีแล้วแต่สายลับมาดเท่นาม Ethan Hunt ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะวางมือจากวงการง่าย ๆ เพราะตอนนี้ Mission: Impossible – Fallout ภาพยนตร์ลำดับที่ 6 ในซีรีส์นี้กำลังจะเข้าฉายให้เหล่าสาวกได้ตื่นเต้นไปกับภารกิจสุดระห่ำที่เป็นไปไม่ได้อีกครั้ง นักแสดงที่มารับบทเป็น Ethan Hunt ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Tom Cruise เจ้าเก่าเจ้าเดิมที่ถึงแม้อายุจะปาไป 56 กะรัตแล้วแต่ก็ยังฟิตปั๋งอยู่ แต่ในส่วนผู้กำกับของภาคนี้มีการเปลี่ยนคอนเซ็ปต์นิดหน่อยเพราะโดยปกติซีรีส์ MI จะเปลี่ยนตัวผู้กำกับทุกภาค ไม่เคยใช้ผู้กำกับซ้ำกัน แต่ในภาคนี้ผู้รับหน้าที่กุมบังเหียนกำกับคือ Christopher McQuarrie คนเดิมจากภาค Mission: Impossible – Rogue Nation เมื่อดู Trailer แล้วในภาคนี้ความระห่ำของ Ethan Hunt ก็ยังจัดหนักจัดเต็มไม่แพ้ภาคก่อน ๆ ดังนั้นก่อนที่เราจะไปสนุกกับ Mission: Impossible – Fallout UNLOCKMEN ขอพาไปย้อนดูในภาคก่อน ๆ ว่าพ่อหนุ่ม Ethan Hunt เคยผ่านการเสี่ยงตายอะไรกันมาบ้าง
พอเปิดประเด็นหนังปราบผีขึ้นมา หลายคนคงคิดว่าจะมีแต่คุณพ่อหน้าตาเฉิ่ม ๆ เนิร์ด ๆ ในชุดบาทหลวงเต็มยศ มาพร้อมของคู่ใจอย่าง ประคำไม้กางเขนและน้ำมนต์ ออกมายืนอ่านคัมภีร์งึมงัม ๆ ไม่แปลกหรอก เราเองก็เคยชินกับภาพแบบนั้นเหมือนกัน แต่ UNLOCKMEN อยากจะชวนมาเปลี่ยนความคิดชุดนั้นออกไป มาเจอกับ 5 หนังปราบผี-ปีศาจแบบคนมาดเท่เขาทำกัน เอาความคูลมาขับไล่วิญญาณร้ายไปพร้อมกับพระเอกหน้าหล่อเหล่านี้พร้อม ๆ กัน Constantine (2005) Director : Francis Lawrence ความเท่ของการปราบผีระดับตำนาน เรื่องราวของ John Constantine (Keanu Reeves) เขาไม่ได้เป็นนักบุญ แต่เขาคือผู้ที่เคยผ่านความตาย และมีพรสวรรค์ในการเห็นสิ่งใด ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาใช้ชีวิตเพื่อกำจัดพวกเกเรกลับนรกไม่ให้เหลือซาก จนเขาได้ไปเจอกับตำรวจสาวที่ขอร้องให้เขาช่วยสืบเกี่ยวกับคดีการฆ่าตัวตายของน้องสาวฝาแฝดของเธอ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อความตายของสาวคนนั้นเป็นเพียงปมเล็ก ๆ ของเรื่องราวอันยุ่งเหยิงระหว่างปีศาจ ลูกตัวแสบของลูซิเฟอร์ที่อยากจะขึ้นมาป่วนโลกนี้แบบเต็มที ใครที่ชื่นชอบปีศาจแบบตามศาสนา ไม่ใช่ผีแบบ Ghost ล่ะก็ แนะนำเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ เพราะเรื่องนี้จะเต็มไปด้วย ปีศาจ ศาสนา ลูซิเฟอร์ นรก
กระแสเรื่องโทษประหารถูกเอากลับมาพูดถึงอีกครั้งอย่างเข้มข้น หลังจากที่ประเทศไทยมีการประหารชีวิตอีกครั้งหลังจากเว้นห่างมา 9 ปี โดยฟากที่บอกว่าไม่สนับสนุนโทษประหารก็ยกเหตุผลเป็นงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ว่าโทษประหารไม่ได้ช่วยให้อาชญากรรมในสังคมลดลง รวมถึงเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่มีช่องโหว่ โครงสร้างสังคมที่บีบให้คนกลายเป็นอาชญากร และหลักการด้านสิทธิมนุษยชน ด้านที่สนับสนุนว่าโทษประหารต้องมีต่อไปก็ยกเหตุผลว่าคนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ สังคมไทยจะเอาไปเทียบกับหลายประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้ เพราะโครงสร้างสังคมเรายังไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้าน ที่สำคัญประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศก็ยังมีโทษประหารชีวิตอยู่อย่างสหรัฐอเมริกาหรือญี่ปุ่น การถกเถียงกันเป็นไปอย่างดุเดือด ถ้าอ่านแล้วกรองเอาเหตุผลของแต่ละฝ่ายก็จะเห็นว่ามีฐานคิดที่ต่างกัน แต่ถ้าอ่านไปเจอซีนอารมณ์ที่ต้องบอกให้คนในครอบครัวโดนฆ่าเสียก่อนถึงจะเข้าใจ หรือต้องให้คนในครอบครัวเป็นแพะแล้วโดนประหารก่อนถึงจะรู้ ก็ปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว UNLOCKMEN ไม่มีคำตอบให้ว่าคิดแบบไหนถูก คิดแบบไหนผิด แต่อยากชวนมาดูหนัง 5 เรื่องเกี่ยวกับการประหาร โทษประหาร นักโทษประหาร เพื่อสำรวจและตั้งคำถามกับวิธีคิดของตัวเราเองไปพร้อม ๆ กัน The Green Mile เวลารวมลิสต์หนังดีตลอดกาลทีไร ชื่อ The Green Mile ก็มักติดโผมาตลอด ใครที่ยังไม่มีโอกาสได้ดูหนัง (ที่ใคร ๆ ก็ว่า) โคตรดีเรื่องนี้ ถือเป็นโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะหาหนังเรื่องนี้มาดูในวันที่กระแสโทษประหารกลับมาอีกครั้ง โดย The Green Mile เป็นหนังที่สร้างมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Stephen King ว่าด้วยเรื่องราวของนักโทษประหารซึ่งเป็นชายผิวสีร่างยักษ์ที่ถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรมเด็กหญิง
สัญชาตญาณที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของผู้ชายทุกคนมักตะโกนบอกให้เราบุกตะลุยไปสัมผัสสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้ได้สักครั้งในหนึ่งชีวิต ไม่ว่าจะบุกปาฝ่าดงเพื่อไปดูวิวที่สวยที่สุดในโลกก่อนตาย ไม่ว่าจะทุ่มเททำงานแบบ Work Hard Play Hard เพื่อสัมผัสขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะพยายามปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ด้วยการใช้ชีวิตแบบสุดขั้ว ฯลฯ แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายสุดขีดในแบบไหน UNLOCKMEN ก็ขอกระซิบบอกว่าในหนึ่งชีวิตสุดขีดจำกัดนี้ คุณควรพาตัวเองไปสัมผัสวัฒนธรรมมการดูโชว์ที่อัดแน่นไปด้วยการแสดง เนื้อหา และแสงสีเสียง ดังนั้นคุณจึงไม่ควรพลาดการดูโชว์สร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเพื่อปลดล็อกความท้าทายใหม่ ๆ ให้ตัวเองให้ได้ก่อนตาย ถ้าจะพูดถึงโชว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่ผู้ชายทุกคนควรสัมผัสเพื่อเข้าถึงวัฒนธรรมแห่งการดูโชว์ UNLOCKMEN มั่นใจว่า CIRQUE DU SOLEIL (เซิร์ค ดู โซเลย์) คือชื่อที่โดดเด่นขึ้นมาและเราไม่ควรพลาดที่จะทำความรู้จักกับพวกเขาด้วยประการทั้งปวง CIRQUE DU SOLEIL : ความยิ่งใหญ่ระดับโลกที่ผู้ชายทุกคนต้องสัมผัส จุดเริ่มต้นการแสดงของ CIRQUE DU SOLEIL คือคนทำงานเพียง 73 คนในปี 1984 แต่ด้วยการฟันฝ่าและพิสูจน์ความสามารถแห่งความสร้างสรรค์อย่างล้นเหลือ ปัจจุบัน CIRQUE DU SOLEIL จ้างพนักงานทั่วโลกถึง 4,000 คน โดยการสื่อสารผ่านการแสดงของ CIRQUE DU SOLEIL เต็มไปด้วยความหลากหลายเพราะพนักงานและศิลปินขององค์กรมีมากกว่า 50 สัญชาติและใช้ภาษาแตกต่างกันถึง 25
ทุกวันนี้วิวัฒนาการด้านการถ่ายภาพมันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หากย้อนกลับไปวันที่พวกเราเป็นแค่เด็กชายที่ทำได้เพียงเต๊ะจุ๊ยยิ้มอยู่หน้ากล้องตอนพ่อแม่เรียก หลายคนคงไม่คิดว่าจากกล้องฟิล์มกระดาษที่เคยใช้ป๊อกแป๊ก วันหนึ่งการถ่ายภาพจะเปลี่ยนจากฟิล์มไปเมมโมรี่ในกล้อง compact, DSLR, mirrorless จนถึงกล้องมือถือที่ความละเอียด จับชัตเตอร์สปีดไม่ทิ้งกล้องตัวใหญ่ แถมภาพเคลื่อนไหวก็บันทึกได้คมชัดพร้อมตัดต่อ ทว่าระหว่างการพัฒนาระดับความเร็วแสงที่นับวันจะแข่งกันมาให้เลือกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จู่ ๆ มันก็ดันมีปรากฏการณ์ Come back ของการ “สะพายกล้องฟิล์ม” กลับมาอีกครั้ง UNLOCKMEN จึงตัดสินใจไปตามหาผู้รู้ช่วยไขคำตอบเหล่านี้กันที่ LUCKROOM แล็บครอบจักรวาลด้านการถ่ายภาพที่เพิ่งเปิดเซอร์วิสล้างสแกนฟิล์มน้องใหม่แกะกล่องผุดขึ้นมาในย่านลาดพร้าว ซึ่งมีเจ้าของเป็นแก๊งหนุ่มช่างภาพต่างคาแรคเตอร์ทั้ง 4 คน ซึ่งหนึ่งใน 4 คนนี้ยังเป็นช่างภาพมือเก๋าของพวกเราทีม UNLOCKMEN ด้วย (หนนี้ยอมมาเผยตัวหน้ากล้องกับเขาสักที) WHAT THE LUCK(ROOM)? ก่อนจะไปถามกันมันส์ ๆ ให้เกียรติป้ายกระจกที่แปะสติ๊กเกอร์หน้าร้านว่า “LUCK” สักเล็กน้อย ว่าชื่อนี้มีที่มาจากไหน “มาจากคำว่า Lucky ครับ ผสมกับคำว่า Luck ในภาษาอังกฤษมันพ้องเสียงกับคำว่า ‘รัก’ ภาษาไทย จะเอามาวางหน้าคำไหนก็ได้ความหมายดี เรา 4 คนเลยตกลงกันว่าจะใช้คำนี้” การจะจับช่างภาพ