เท่าที่พอจำความได้มีวงดนตรีเพียงไม่กี่วงที่ถูกบรรจุในความทรงจำวัยเด็กของเรา และยังแน่วแน่ทำเพลงใหม่อย่างไม่เคยหมดมุขหรือเหน็ดเหนื่อยจนถึงปัจจุบัน แล้วคงพูดได้เต็มปากว่า ‘Scrubb’ (สครับ) เป็นหนึ่งในไม่กี่วงนั้น Scrubb คือวงดนตรีป๊อปร็อกอายุ 20 ปี ของ บอล – ต่อพงศ์ จันทบุบผา และ เมื่อย – ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ คู่หูต่างชั้นปีจากรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน พวกเขาสร้างสรรค์ดนตรีหลากสไตล์ กลั่นกรองคำร้องและท่วงทำนองที่บางครั้งก็อบอุ่นฟังสบาย แต่บางทีก็ลึกซึ้งราวกับพาเราดำดิ่งไปสัมผัสอารมณ์โคตรเศร้าที่เป็นหนึ่งส่วนของความสัมพันธ์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่โตมากับเพลงเธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ ฟังเพลงกลัวและผ่านไปแล้วตอนเศร้าหม่น เปิดเพลงใกล้และรอยยิ้มฟังเพลิน ๆ ตอนแอบชอบใครสักคน หรือเคยใช้เพลงคู่กัน คนนี้ และเข้ากันดีมอบให้แฟนคนใดคนหนึ่ง เราอยากให้คุณรู้จักและหลงรัก Scrubb อีกครั้ง ผ่านบทสนทนาของสองหนุ่มต่างสไตล์ที่โลดแล่นบนเส้นทางดนตรีมา 20 ปี ซึ่งสิ่งที่เหมือนกันและยังทำมาจนถึงทุกวันนี้คือ ‘การทำเพลง’ หลายคน ‘ยังอยากรู้’ ว่าจุดเริ่มต้นของ Scrubb เกิดขึ้นตอนไหน? เมื่อย: เราเจอกันในมหาวิทยาลัยศิลปากร อยู่ในชมรมดนตรีเหมือนกัน จนวันนึงอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง เลยพยายามไปเสนอค่าย แต่ก็ไม่มีใครเอา (หัวเราะ) ก็เลยลองทำเพลงใต้ดินกันเอง มีเครื่องอัดสี่แทร็ก
ในการทำงานแต่ละวันของชาว UNLOCKMEN พวกเรามักจะเปิดเพลงคลอไปกับการทำงานอยู่เสมอโดยไม่เกี่ยงประเภทเพลง บางวันเป็นเพลงร็อก เพลงสากล เพลงอินดี้ แต่จะมีเพลงของวงวงหนึ่งที่ UNLOCKMEN จะต้องเปิดอยู่เกือบทุกวัน ซึ่งเพลงของวงนั้นคือ Telex Telexs และในที่สุดในวันนี้เราก็ได้พูดคุยกับพวกเขาตัวเป็น ๆ สมาชิกของวง Telex Telexs ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน ปิ้ว (คีย์บอร์ด), นาว (กีตาร์), กร (เบส) และสมาชิกหญิงเพียงคนเดียวของวงอย่าง ออม (ร้องนำ) เมื่อเราได้พูดคุยด้วยบทสนทนาที่ไหลไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เห็นว่านอกจากดนตรีโดน ๆ ที่ได้ยินเกือบทุกวัน ยังมีแนวคิดอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจซ่อนอยู่หลังเมโลดี้และเสียงร้องอันมีเอกลักษณ์นั้น จุดเริ่มต้นของ Telex Telexs เด็กวิศวะและดุริยางคศิลป์ กับดนตรีที่ทำให้เราหลงรัก เด็กต่างคณะต่างมหาวิทยาลัยมารวมตัวกันตั้งวงดนตรีได้ยังไง ? ปิ้ว : ผมกับกรเคยมีวงดนตรีด้วยกันแล้วล้มไป แต่ว่าพวกเรายังอยากเล่นดนตรีกันต่อเลยตั้งโปรเจกต์ขึ้นมาก่อน ตอนนั้นยังไม่มีชื่อเลยไปเปิดดิกชันนารีดูแล้วเจอคำว่า Telex ที่แปลว่าโทรเลขแล้วเราชอบ ก็เลยใช้คำนี้พร้อมกับเบิ้ลคำแล้วเติม s วงมี 4 คน
ในช่วงปีที่ผ่านมา ซีนอินดี้บ้านเราได้เห็นปกอัลบั้มแรกของ Zweed n’ Roll แม้จะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของวงหรือ Single ของพวกเขามาสักพักแล้ว แม้เพลงจะฮิตติดชาร์ตขนาดไหน เชื่อไหมว่าพวกเขายังไม่มีอัลบั้มแรกกันเลยด้วยซ้ำ (เพิ่งมามีกันเมื่อปีที่แล้วนี่แหละ) อัลบั้มแรกของพวกเขามาในปกที่แสนสะดุดตากับภาพที่ “พัด” นักร้องนำของวง ทอดแผ่นหลังอยู่บนกระโปรงรถ พร้อมสีหน้าพริ้ม ที่พอจะเดาออกว่ามันมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์สีทองในมือ ในอัลบั้มบรรจุไปด้วยเพลง Mood หม่น ๆ จนเสียน้ำตากันไปบ้าง เราอาจมองเพลงของพวกเขาเป็นเพลงเศร้าหนึ่งเพลง เป็นเพลงอกหัก ที่มันทิ่มแทงความรู้สึก ไม่ของคนแต่งก็ของคนฟังอย่างเราเองนี่แหละ ทว่าทุกเพลงที่ร้อยเรียงขึ้นมา ไม่ได้เป็นแค่ผลงานที่พวกเขาภูมิใจในความสามารถทางดนตรีเท่านั้น แต่ความภูมิใจของพวกเขามันอยู่ที่ผลงานเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เยียวยาทั้งตัวเขาและคนฟัง จนเป็นเพลงที่มีค่าในตัวเอง มาฟังเรื่องราวของพวกเขา ในการเรียงร้อยเรื่องราวออกมาให้ Impact กับคนฟัง สมาชิกในวงได้แก่ พัด นักร้องนำ, ปูน กีต้าร์, มิน กีต้าร์, นิว เบส และ แทน กลอง นั่งเตรียมความพร้อมกันที่สวนชั้นล่างของร้าน ด้วยการอัดบุหรี่ตัวแล้วตัวเล่า พ่นควันขาวฟุ้งขึ้นไปในอากาศ ราวกลับต้องการปลดปล่อยความประหม่าทั้งหมดทิ้งไป เพื่อเตรียมตัวเล่น Live Session ให้กับรายการ Garage
เวลาเราเห็นวงดนตรีไหนห่างหายไปจากวงการ เรามักเข้าใจว่าพวกเขาต่างแยกย้ายกันไปทำธุระตามเรื่องราวของตัวเอง เลยมักเรียกช่วง Gap นั้นว่าการพักวง Abuse The Youth เองก็เป็นอีกวงที่มี Gap นั้น แต่ Gap ของพวกเขาไม่ได้เป็นการพักวงอย่างที่พวกเราเข้าใจ เพราะช่วงที่หายไปเกือบ 5 ปีนั้น พวกเขายังคงทำเพลง ซ้อมดนตรี พบเจอกันอยู่ตลอด เพียงแค่จังหวะมันยังไม่เหมาะที่จะปล่อยเพลงเท่านั้นเอง และตอนนี้ ปี 2019 นี้ คือช่วงเวลาที่พวกเขาเลือกแล้วว่าเหมาะสมที่จะปล่อยเพลงใหม่อย่าง We Meet Again ภายใต้บ้านหลังใหม่อย่าง What The Duck ความร้ายกาจคือใน MV เพลงนี้ระยะเวลาเพียงสามนาทีกว่า สามารถ Tie-In กิจการส่วนตัวของสมาชิกในวงได้ครบทุกคน จะมีอะไรบ้างต้องลองไปตามดูกันเอง เรามีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขาในบรรยากาศสบาย ๆ ถึงเรื่องราวการกลับมาครั้งนี้ของพวกเขา หัวเราะร่วนไปกับมุกตลกที่ยิงใส่กันเองอย่างไม่หยุดหย่อน ภายใต้กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟในร้าน Red Diamond To Be Continue เรามักจะคุ้นเคยเพลงของ Abuse The Youth ในยุคแรกที่เป็นเพลงภาษาอังกฤษ ต่อจากนั้นก็เป็นเพลงไทยเพลงแรกอย่าง คืนสุดท้ายของแสงไฟ และได้ฐานแฟนเพลงเพิ่มไปเต็ม ๆ จากเพลงประกอบซีรีส์
วงการดนตรีในแต่ละยุค มีจุดวัดความสำเร็จที่เปลี่ยนไปตามยุคนั้น ตั้งแต่ยุคล้านตลับจนมาถึงยุคล้านวิว ความสำเร็จที่เปลี่ยนแปลงหน้าตาอยู่เสมอทำให้เราไม่อาจมีสิ่งชี้วัดตายตัว สำหรับกลุ่มคนดนตรีอย่าง Summer Dress ผู้มองว่าตัวเองไม่ได้ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจเอาเสียเลย แต่ก็พอใจที่ตัวเองประสบความสำเร็จในด้านศิลปะแล้ว มีอัลบั้มของตัวเอง มีแฟนเพลงที่ร้องเพลงตามได้ มาพูดคุยกับพวกเขาในเรื่องราวเหล่านี้ไปพร้อมกันกับเรา เพราะบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนในวันนั้น เราจึงต้องนั่งพูดคุยกันในบ้านหนึ่งในสมาชิกของวง บ้านที่เป็นทั้งพื้นที่รวมตัว พูดคุย ทำกิจวัตรประจำวันและซ้อมดนตรีที่ห้องซ้อมด้านบน เราเลือกนั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น สมาชิก Summer Dress นั่งพิงโซฟาตัวยาว ที่พอจะนั่งได้เกือบทั้งวง เรียงกันตั้งแต่ แน็ต กีต้าร์, โป้ว เบส, แปม กลอง, เต๊น ร้องนำ กีต้าร์ และ ปอนด์ คีย์บอร์ด แล้วเราเริ่มพูดคุยกันท่ามกลางเสียงหยาดฝนโปรยปรายและ Lullaby อ้อยอิ่งตามแรงลม About Summer Dress สมาชิกทั้งหมดเริ่มต้นวงดนตรีเหมือนวัยรุ่นคนอื่นที่อยากจะมีวงดนตรีเป็นของตัวเอง รวมตัวกันตั้งแต่สมัยเรียน ทำให้พวกเขามีความสนิทสนมในอินเนอร์ของเพื่อนที่เป็นเพื่อนในชีวิตจริง ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน หรือสมาชิกในวง (สังเกตได้จากการกวนตีนกันเองตลอดการพูดคุย) พวกเขายังคงชื่นชอบและรักในงานอดิเรกนี้ เพลงแพ้ทอมคงจะเป็นเพลงแรกที่เราได้ยินชื่อของพวกเขา จนกำเนิดอัลบั้มมาให้พวกเราได้ฟังแล้วถึงสองอัลบั้ม และกำลังจะมีอัลบั้มที่สามตามมาเร็ว ๆ นี้ โป้ว: เล่นด้วยกันมานานตั้งแต่สมัยเรียนดุริยางค์ ศิลปากรด้วยกัน ตอนแรกมีเต๊น มีผม มีแน็ต แล้วก็เพื่อนอีกคน
ในเวลาที่สังคมรอบตัวเราเริ่มมีบรรยากาศที่ทำให้เกิดภาวะกระอักกระอ่วนที่จะดำเนินชีวิตไปแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เราคงอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้มันกลายเป็น “สังคมที่น่าอยู่” ในอุดมคติ ใกล้เคียงที่สุดที่เราพอจะนึกออกคงเป็นคำว่า “ยูโทเปีย” ที่ใครต่างก็อยากมี กลุ่มคนดนตรีอย่าง “ศรีราชาร็อกเกอร์” ได้ลงมือสร้างสรรค์ดนตรีที่กระตุ้นให้สังคมเกิดความตระหนักรู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันมีปัญหาอะไรผ่านเพลงของพวกเขาที่เรามักจะคุ้นเคยในความเจ็บแสบของเนื้อหากันดี เพราะพวกเขาเชื่อว่าเพลงของพวกเขาจะเป็นอีกพลวัตในการเปลี่ยนแปลงสังคม มาดูกันว่ากลุ่มคนดนตรีสีเขียวกลุ่มนี้มีของดีอะไรที่จะมาช่วยเยียวยาสังคมนี้ กว่าจะเป็นหนึ่งเพลง Process การทำเพลงแบบสีชา กว่าจะได้เพลงหนึ่งเพลง เป็นยังไงบ้าง ? วิน: อันนี้เป็นสมาชิก Gen ที่ 3 ของวงแล้วครับ กระบวนการของศรีราชาตั้งแต่แรกเริ่มมา เป็นผมที่ทำเป็น Acoustic เขียนเนื้อเพลงออกมา ทำเป็นเมโลดี้ 2-3 คอร์ด แล้วก็อัดใส่โทรศัพท์มาให้คนในวงช่วยกันฟัง แล้วก็คิดกัน ผมก็ส่งให้มือเบสช่วยกันคิดไลน์ที่ชอบกัน ทั้งผมและเค้าชอบ มือกลองก็คุยกันว่าตียังไงดีวะ มาใช้เวลาในห้องซ้อม แต่ก่อนเราจะไม่ค่อยมีเวลาในห้องซ้อมเท่าไหร่ อย่างอัลบั้มใหม่จะเจอกันไม่บ่อย แต่ว่าเข้มข้น สุมหัวกันว่าเราจะเล่นยังไง เพราะผมจะมีคำถามมากมายว่าเล่นแบบไหนดีกว่า แบบไหนจะดีที่สุด เราให้การบ้านแต่ละคน ไปอัดอันนี้มานะ เพลงนี้ ใครอยากเพิ่มเติมอะไร ลองไปคิดมาสิ แล้วก็มารวมกันทำให้ชัดเจน และมีคุณค่าขึ้นทีละนิด พอเปลี่ยน Gen มีสมาชิกหน้าใหม่ พอมาทำงานหรือมาซ้อมด้วยกัน มีช่วงสะดุดหรือจูนไม่ติดบ้างไหม ? วิน: