The Who คือวงดนตรีในปี 1964 จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เริ่มต้นจากเด็กหนุ่ม 4 คน Roger Daltrey (ร้องนำ) / Pete Townshend (กีตาร์) / John Entwistle (เบส) / Keith Moon (กลอง) พวกเขาเป็นวงดนตรีที่มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมของชาว Mods (Modernism) และผูกพันกับภาพของ Lambretta มากที่สุดเท่าที่วงดนตรีวงหนึ่งเคยมีมา และความผูกพันนั้นถูกบันทึกผ่านเสียงเพลงที่ส่งต่อเป็นวัฒนธรรมจากสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ของวง ที่มีรูปเด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้นคร่อมสกู๊ตเตอร์ด้วยแฟชั่นอิตาเลียนสไตล์ Parkas ของ Mods แต่บอกก่อนเลยว่ามันไม่ใช่แค่ภาพเอาเท่เฉย ๆ ในบทความนี้เราจะมาเล่าเส้นทางระหว่าง The Who กับสกู๊ตเตอร์อิตาเลียนสไตล์คันนี้กัน อัลบั้ม Quadrophenia ถูกวางเพลงเอาไว้เป็นแบบที่เรียกว่า “Concept Album” สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้ มันคือการทำอัลบั้มแบบที่ทุกเพลงจะเล่าเรื่องเพียงเรื่องเดียวจากคอนเซปต์ที่ถูกวางเอาไว้ อาจจะเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้น เป็นเหตุการณ์จากประวัติศาสตร์จริง หรือเป็นอะไรก็ตาม แต่สำหรับ The
ชื่อของ Lambretta กว่าจะถูกแปะอยู่ในวัฒนธรรมหลัก Pop Culture เป็น Scooter สัญชาติ Italian จากเมือง Milan สไตล์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครได้อย่างทุกวันนี้ต้องบอกว่าเป็นการเดินทางที่ยาวไกลมาก และย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1947 นู่นเลย แล้วเป็นการเดินทางที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียง Subculture ทางเลือกนอกกระแสคนขี่มาก่อนด้วยซ้ำ บทความนี้จะพาชาวเลือดกรุ๊ปแลมทุกคนไปรีแคปเส้นทางการเดินทางส่วนหนึ่งของ Lambretta ให้เห็นว่ารถจากอิตาลีคันนี้วิ่งผ่านเส้นวัฒนธรรมย่อยเข้าสู่วัฒนธรรมหลักได้อย่างไร เพื่อให้เข้าใจความสัมพันธ์ของแลมกับชีวิตของผู้คนอย่างจริงจัง ไปด้วยกัน หมุดหมายแรกของ Lambretta ในเรื่องเล่าของเรา มาเริ่มต้นเล่าเรื่องนี้กันตรงที่มาทบทวนคำศัพท์กันก่อนดีกว่า และคำเดียวที่คุณจะต้องรู้ก็คือคำว่า ‘ม็อด (Mods)’ ที่หมายถึง ‘สมัยใหม่นิยม (Modernism)’ เป็นคำซึ่งใช้นิยามคนกลุ่มหนึ่งจากเมืองผู้ดีกรุงลอนดอน (London) ในยุค 1950s ที่แน่นอนว่ามี Lambretta เป็นพาหนะเดินทาง เป็นสัญลักษณ์ และเป็นแพชชั่นของชีวิต Mods คือกลุ่มวัยรุ่นที่ฐานะอยู่ในระดับชนชั้นกลาง มีความคิดเห็นต่างต่อบรรทัดฐานของสังคมเพื่อที่จะแสดงถึงความอิสระของตัวเอง และสิ่งที่แสดงออกถึงความเป็นหนุ่มสาวชาว Mods ได้ดีที่สุดคือการคัสตอม Lambretta ที่มีกระจกข้างยุบยับเต็มรอบส่วนหน้าของรถ คำถามที่ว่า “ทำไม?” คำตอบก็คือพวกเขาทำเพื่อประชดรัฐบาลอังกฤษ ณ ช่วงเวลานั้น
คุณคิดว่า ‘ความหลงใหล’ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะพาใครสักคนไปได้ไกลแค่ไหน? คำตอบของคำถามนี้อาจมีได้หลากหลาย และคงไม่มีอะไรเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่สำหรับ ‘กอล์ฟ – อัษฎา อบรมทรัพย์’ หรือที่ชาวแลมรู้จักในชื่อ ‘กอล์ฟ 70 CLUB’ เขาได้พบกับคำตอบของปลายทางแห่งความหลงใหล ด้วยความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับสกู๊ตเตอร์ Lambretta ที่เขาหลงรัก และยังเป็นเหมือน “แลม… บันดาลใจ” ต่อยอดสู่อาชีพหล่อเลี้ยงชีวิต กับธุรกิจขายอะไหล่แลมวินเทจ ที่ยังคงสานต่อตำนานความเก๋ากว่า 77 ปี มาให้ได้สัมผัสในยุคปัจจุบัน เรื่องราวจุดเริ่มต้นเส้นทางที่มี Lambretta เคียงข้างจนเป็นกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ‘กอล์ฟ 70 CLUB’ ได้เล่าให้ฟังย้อนไปไกลสมัยที่ผู้ชายคนนี้เริ่มทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเองใหม่ ๆ และตัดสินใจหาสกู๊ตเตอร์มาขี่สักคัน เพื่อเป็นการสานต่อความชอบในวัยมหาวิทยาลัยที่เคยมีสกู๊ตเตอร์คู่ใจขี่ไปไหนมาไหนโดยตลอด และการกลับเข้าสู่วงการสองล้อครั้งนี้ทำให้เขาได้รู้จักกับ Lambretta ที่ดีไซน์เท่สะดุดตา จนไม่ลังเลที่จะไปเสาะหามาเป็นของตัวเอง “สมัยนั้นก็หารถในเว็บ Thai Scooter แล้วไปถูกใจ Lambretta Series 2 Li 150 จำได้ว่าไปซื้อแถววังหิน ซื้อเสร็จก็ต้องขี่กลับบ้านแถวแคราย พอได้ขี่เท่านั้นแหละ รู้สึกเลยว่า เฮ้ย!!
“เคยถามตัวเองกันมั้ย ว่าหน้าตาของความสุขที่มีร่วมกับ Lambretta เป็นแบบไหน ?” เราตอบคำถามนี้ได้ง่ายขึ้นมาก เมื่อบทสนทนาสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นกับ ‘เก๋-กมลนิตย์’ จบลง เธอคือหญิงสาวที่ชาวแลมหลาย ๆ คนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาบ้าง ตามงานของ Lambretta ในลุค Vintage Style สุดเท่ แต่ ๆ ๆ ๆ เราเชื่อว่าทุกคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวเบื้องหลังที่เธอมีร่วมกับ Lambretta ดีนัก เพราะความหลงใหลในสไตล์ Vintage ของเธอมันไม่ใช่แค่เรื่องของเสื้อผ้าเท่านั้น แต่เป็นการรับ แลม… บันดาลใจ จากสกู๊ตเตอร์อิตาเลียนสไตล์คันนี้ด้วย “ชื่อกมลนิตย์ แจ่มทับทิมค่ะ” คุณเก๋แนะนำตัวแบบเขิน ๆ พร้อมกับบอกว่าไม่เคยให้สัมภาษณ์มาก่อน “มันต้องจริงจังขนาดนี้เลยใช่มั้ยคะ 555” แต่หลังจากเขินอยู่ได้ไม่นานเธอก็บอกว่าพร้อมตอบคำถามต่อไปแล้ว เราจึงไม่รอช้า เพราะก็อยากรู้เหมือนกันว่าจุดเริ่มต้นความหลงใหลในสกู๊ตเตอร์อย่างแลมของเธอมาจากไหน และเมื่อต้องพูดถึงจุดเริ่มต้นในการขี่ Lambretta ของคุณเก๋ เธอบอกว่ามีบุคคลสำคัญที่อยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่วันแรกจนมาถึงวันนี้ และมีผลต่อความทรงจำที่ดีที่ทำให้เธอได้ขี่แลม มีสังคมแลม จากที่ขับคนเดียวมาโดยตลอด และนี่คือเรื่องราวระหว่าง ‘คุณบังใหญ่’ กับคุณเก๋
ว่ากันว่า “แรงบันดาลใจ” คือสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตของคนเราให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ระยะทางที่มุ่งหน้าออกไปจะไกลได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะสามารถพิชิตจุดหมายปลายทางได้หรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับดีกรีของความตั้งใจว่ามันเข้มข้นสักเพียงใด และสำหรับชีวิตในวัยหนุ่มของ ‘อาจารย์อินสนธิ์ วงค์สาม’ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) พ.ศ.2542 คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่ถ่ายทอดตัวอย่างของแรงบันดาลใจอันแรงกล้าได้อย่างชัดเจน กับ “แลม… บันดาลใจ” ในการควบสกู๊ตเตอร์ Lambretta ข้ามโลกสู่อิตาลี เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ พร้อมแสดงผลงาน และตอบสนองแรงผลักดันส่วนลึกในใจ กับเป้าหมายในการไปเยือนนครแห่งศิลปะอย่างเมืองฟลอเรนซ์ ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาด้านศิลปะให้กับเขา แน่นอนว่าหากย้อนไปในปี พ.ศ. 2504 แผนการพิชิตเส้นทางกว่า 20,000 กิโลเมตร ไม่ใช่เรื่องง่าย ความตั้งใจของ ‘อาจารย์อินสนธิ์ ’ หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ณ ตอนนั้น มีแต่คำว่าเป็นไปไม่ได้ปรากฎอยู่ในทุกมิติ ทั้งเรื่องของรถยนต์ส่วนตัวที่มีปัญหาจนไม่พร้อมใช้งานเดินทางไกล ยังไม่นับรวมถึงอุปสรรคอีกมากมายที่รออยู่ตลอดเส้นทางข้างหน้า แต่ด้วยอุดมการณ์ทางศิลปะอันเข้มข้น บวกกับความบ้าระห่ำในวัยหนุ่ม ทำให้ ‘อาจารย์อินสนธิ์ วงค์สาม’ ยังคงเดินหน้าทำตามความฝัน ตัดสินใจทำหนังสือขอความสนับสนุนจากตัวแทนจำหน่ายสกู๊ตเตอร์ Lambretta ในไทย เพราะอยากได้ราชรถคู่ใจเป็นสกู๊ตเตอร์สัญชาติอิตาลี ที่นอกจากจะลงตัวกับการออกทริปสู่ดินแดนมักกะโรนี แล้วยังตอบโจทย์เรื่องความคล่องตัว, ความทนทาน,
“ผมว่า Lambretta มันเป็นรถที่เท่ และมีสีสันความสนุกอยู่ในตัวเอง ย้อนไปตั้งแต่แลมตัววินเทจที่มีเสน่ห์ในเรื่องของการใช้โทนสีจัดจ้านสนุกสนาน ทำให้สีของรถที่เด่น ๆ ในแต่ละรุ่นแต่ละปี มันถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของคนขี่แลม เป็นเหมือน Colors of Time เป็นสีสันที่ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน” นี่คือมุมมองที่มีต่อ Lambretta ของ ‘จเด็จ คาลายานนท์’ หรือที่หลายคนรู้จักเขาในชื่อ ‘JDED FEDFE’ ผู้ที่หลงใหลในรถแลมวินเทจ ด้วยเสน่ห์ของสีสันและงานดีไซน์ที่เท่จับใจ จนต้องหามาครอบครองเป็นของตัวเองสักคัน “รักแรกที่มีให้กับ Lambretta เป็นเรื่องของรูปลักษณ์และสีสันที่คลาสสิกโดนใจผมมาก พอได้มาเจอแลมสีม่วงคันนี้จอดอยู่หลังร้านของเพื่อน ก็คุยกันว่าอยากได้ เพื่อนเองก็จอดอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ เลยส่งต่อให้ในราคามิตรภาพ จากนั้นผมก็เอาไปทำต่อจนกลายเป็นรถที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน” “อย่างที่รู้กันสำหรับคนเล่นรถวินเทจว่าได้รถมาแล้วก็ต้องให้เวลา ใช้เวลาเรียนรู้กับมัน เพราะว่ารถพวกนี้มันจุกจิก ถ้าเจอปัญหาก็ต้องรีบคอยซ่อมรีบแก้ไขถ้าแบบปล่อยทิ้งไว้มันก็จะบานปลาย ต้องแบบค่อย ๆ เรียนรู้ไปกับมันครับ ใช้งานไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้จักมันเองมากขึ้นว่าเวลาเกิดปัญหาต่าง ๆ จะต้องรับมือยังไง และที่สำคัญคือต้องอินกับการดูแลรักษามันด้วยครับถึงจะมีความสุข เหมือนอย่าง Lambretta คันที่ผมใช้อยู่ก็ต้องใช้เวลาปรับแต่งกับมันพอสมควร กว่าจะกลายเป็นรถคู่ใจตั้งแต่ช่วงโควิดใหม่ ๆ ผมไปไหนไปกันกับคันม่วงนี้ตลอด ขี่เดินสายตัดผม
เมื่อพูดถึงสกู้ตเตอร์ที่ขึ้นชั้นตำนานระดับโลก ชื่อของสกู้ตเตอร์สัญชาติอิตาเลียนอย่าง LAMBRETTA เป็นต้องโผล่มาในห้วงความคิดของใครหลายคนอย่างไม่ต้องสงสัย และภายใต้ความเท่คลาสสิกที่มีประวัติยาวนานกว่า 76 ปี นับตั้งแต่ได้ถือกำเนิดมาในปี 1947 ยังมีข้อมูลน่าสนใจอีกหลายสิ่งที่เราเชื่อว่าชาวแลมทั้งรุ่นเก่า และรุ่นใหม่อาจยังไม่รู้ วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากชวนทุกท่านไปสัมผัสเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในหน้าประวัติศาสตร์ของ LAMBRETTA เพื่อดื่มด่ำกับความเก๋าที่ยังคงสานต่อเรื่องราวมาถึงปัจจุบัน เริ่มต้นด้วยการย้อนเวลาไปสู่จุดเริ่มต้นของ LAMBRETTA กับบริษัท Innocenti ที่ก่อตั้งโดย Ferdinando Innocenti เมื่อปี 1922 ซึ่งทำธุรกิจท่อเหล็กอย่างเป็นล่ำเป็นสัน รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนท่อเหล็กให้กับเครื่องบินรบของกองทัพอิตาลีในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้โรงงานผลิตตกเป็นเป้าหมายที่ฝ่ายตรงข้ามทิ้งระเบิดโจมตีอย่างหนัก หลังสงครามจบลง โรงงาน Innocenti จึงเหลือแต่เศษซากความเสียหาย แต่แทนที่จะท้อใจหมดหวัง Ferdinando Innocenti กลับมองเห็นโอกาสที่จะทำธุรกิจพร้อมไอเดียที่จะช่วยให้ชาว Italian สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกมากขึ้นแม้ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่และถนนที่พังเสียหาย เหลือเพียงทางเล็ก ๆ ให้วิ่ง เป็นที่มาของการสร้างยานพาหนะสองล้อที่ราคาไม่แพง ทนทาน ดูแลรักษาง่าย สวยงาม และต้องขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกสภาวะถนนและอากาศ ซึ่งเจ้าตัวได้แรงบันดาลใจจาก Cushman Scooters ซึ่งเป็น Military motor bikes
“ครั้งแรกที่ Lambretta ติดต่อมาโอ้รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเราเองเป็นคนที่ชอบสกู้ตเตอร์ สะสมแลมอยู่แล้ว การที่วันนึงมีโอกาสได้มาเป็นตัวแทนของ Lambretta มันเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายมากจริง ๆ” นี่คือความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับ Lambretta ของ ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ หนุ่มอารมณ์ดี เจ้าของดีกรีพระเอกพันล้าน ที่มีอีกด้านของชีวิตเป็นสาวกแลมตัวยง ชนิดที่ว่าเจาะเลือดออกมาตรวจดูก็จะเจอความเป็น #เลือดกรุ๊ปแลม ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกันเลยทีเดียว และวันนี้เราจะชวนชาว UNLOCKMEN ไปดูความเข้มข้นใน #เลือดกรุ๊ปแลม ของ ‘มาริโอ้’ ไปพร้อมกัน นับย้อนไปตั้งแต่วันที่ผู้ชายคนนี้เริ่มมีใจให้กับ Lambretta “จุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้มาเจอกับ Lambretta ต้องขอย้อนไปตั้งแต่วัยเด็กก่อน เพราะโอ้ถูกปลูกฝังความเป็นนักสะสมมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่ออยากให้ลูกมีงานอดิเรก ก็เลยแนะนำให้ลองหาของสะสมดู เราก็เริ่มจากสะสมเหรียญเก่า ธนบัตรเก่าทั้งของไทย ของนอก ทำให้มีความเป็นคนชอบของวินเทจ พอโตมาหน่อยก็เริ่มสนใจในเสื้อผ้าวินเทจ ฟิกเกอร์ ของเล่นต่าง ๆ รวมถึงสกู้ตเตอร์เก่า แล้วพอมาเจอรุ่นพี่ขี่แลม 2 ก็เป็นเรื่องเลย รู้สึกว่าสวยจัง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากสะสม Lambretta ตั้งใจไว้ว่าถ้าหาเงินได้เมื่อไหร่จะต้องมีแลมเป็นของตัวเองให้ได้ จนสุดท้ายก็ได้แลม 2 มาเป็นคันแรกในครอบครอง โอ้ชอบความ
หลังจากเปิดตัวครั้งแรกภายในงาน Milan Design Week 2022 ที่จัดขึ้น ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 65 ล่าสุด LAMBRETTA X300 ก็ถึงเวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อค่ำคืนวันที่ 18 พ.ย. 65 ที่ผ่านมา ณ ลานพาร์ค พารากอน บรรยากาศในงานต้องบอกเลยว่ายิ่งใหญ่อลังการ สมศักดิ์ศรีครบรอบ 75 ปี LAMBRETTA เต็มไปด้วยเหล่าเซเลบคนสําคัญทั้งสายแฟชั่น ดนตรี ไลฟ์สไตล์ และสาวกรถสกู๊ตเตอร์ ตบเท้าเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ มาร์โค เมาเร่อ, โต้ง Twopee, พลอย หอวัง, กอล์ฟ พิชญะ, โฟร์ ศกลรัตน์, แจ็ค แฟนฉัน, ปิ๊น Carnival, อาเบย์ ณรัฐ, เบ็น วราวุฒิ บราวน์, บู้
หากยังจำกันได้ดี ครั้งหนึ่ง UNLOCKMEN เคยนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจของวัฒนธรรม MODS วัฒนธรรมย่อยของชนชั้นกลางที่ถือกำเนิดขึ้นในประเทศอังกฤษไปแล้ว มาในครั้งนี้เราได้รับโอกาสพิเศษให้เข้าไปใกล้ชิดกับกลุ่มชาว MODS อีกครา และทันทีที่ได้ยินประโยคเชิญชวนเราก็ไม่ลังเลที่จะตอบรับไปในทันที ซึ่งงาน Thailand MODS Mayday : scooter run vol. 3 คือการรวมตัวกันของชาว MODS ในประเทศไทย กลุ่มคนที่สานต่อวัฒนธรรม Mods ผู้มีความขบถ แหกคอก ใช้สกู๊ตเตอร์คลาสสิกเป็นยานพาหนะและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลุ่ม MODS หลัก ๆ ที่รวมกันเป็น Thailand MODS Mayday นั้นประกอบไปด้วย SoulScooterClub, Lammania, ModsMorShit, 30UP การประดับกระจกเยอะๆ และแขวนไฟหลายดวงนั้นมีที่มาจากการประชดกฏหมายของอังกฤษในยุคนั้น (60s) ที่ออกมาบังคับให้รถจักรยานยนต์ทุกคนต้องมีกระจกอย่างน้อย 1 อัน ทั้งที่ความจริงแล้วรถมอเตอร์ไซต์ Vespa และ Lambretta ในยุคนั้นมันเกิดมาโดยไม่มีกระจกมองหลังหรือแม้กระทั่งไฟเลี้ยว สิ่งที่แตกต่างจากยานพาหนะทั่วไปทำให้รถสกู๊ตเตอร์กลายมาเป็น