หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของ ‘ผู้นำ’ คือ การนำพาทีมหรือองค์กรไปสู่ความสำเร็จให้ได้ในที่สุด ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นต้องอาศัยหลายทักษะ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะในกำกับดูแลผู้อื่น ทักษะในการสื่อสารอย่างชัดเจน ไปจนถึง ทักษะในการให้กำลังใจคนอื่น แต่ในองค์กรมักจะมีหัวหน้าประเภทหนึ่ง ที่เมื่อเลือนขั้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำในองค์แล้ว พวกเขากลับไม่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเหมาะสม พวกเขาเลือกที่จะเพิกเฉยต่อทีมทำงานของตัวเอง ไม่ยอมกำกับการทำงาน หรือ ดูแลสารทุกข์สุขดิบของลูกน้องเลย เอาแต่สนใจผลประโยชน์รวมถึงอภิสิทธิ์ที่ได้รับจากตำแหน่ง เราเรียกหัวหน้าประเภทนี้ว่าเป็น absentee leader ซึ่งเป็นผู้นำประเภทที่ทำลายองค์กรได้อย่างร้ายกาจ ความร้ายกาจของ absentee leader หลายคนคิดว่า หัวหน้าที่ปล่อยให้ลูกน้องทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่ค่อยจู้จี้จุกจิก หรือ สนใจการทำงานของลูกน้องมาก จะทำให้ลูกน้องมีความสุขมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง absentee leader อาจทำให้ลูกน้องไม่มีความสุขในการทำงานเลย เพราะพฤติกรรมต่าง ๆ ของพวกเขา (เช่น ไม่ยอมควบคุม หรือ กำกับการทำงานของลูกน้องในระดับที่น้อยมาก มักตัดสินใจล่าช้าอยู่ ไม่มี performance feedback หรือ ไม่เคยกระตุ้นให้พนักงานทำงาน เป็นต้น) สามารถทำให้ลูกน้องเจอกับปัญหากับเพื่อนร่วมงานบ่อยขึ้น เกิดความคลุมเครือในบทบาทหน้าที่ของตัวเองได้ง่ายขึ้น ถูกกลั่นแกล้งได้มากขึ้น และรู้สึกหมดไฟกับการทำงานได้ง่ายขึ้น เมื่อปัญหาเหล่านี้
พอเริ่มทำงานมาได้สักพักหนึ่ง ดูเหมือนเส้นทางการทำงานก็น่าจะไปได้สวย แถมบริษัทก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วในที่สุดวันนี้ก็วนมาถึง วันที่ได้เลื่อนตำแหน่งและก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนอย่างเต็มตัว แม้ลู่ทางความสำเร็จจะอยู่เพียงเอื้อมมือ แต่การเป็นหัวหน้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ใครหลายคนคิด งานวิจัยจาก CEB เผยว่า 60% ของผู้บริหารใหม่ต้องเจอกับความล้มเหลวตั้งแต่ 24 เดือนแรกที่พวกเขาเพิ่งเริ่มงานในตำแหน่งนี้ ซึ่งสาเหตุหลักก็เพราะผู้บริหารมือใหม่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนเกี่ยวกับวิธีการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนวิธีการจัดการกับคนในองค์กรอย่างเป็นระบบ แต่ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ ถ้านำ 3 เทคนิคนี้ไปปรับใช้ในการทำงาน อย่าเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเร็วเกินไป ไม่ว่าระบบการบริหารของหัวหน้าคนเก่าจะยุ่งเหยิงขนาดไหน แต่หนุ่ม ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนที่จะเปลี่ยนแนวทางการบริหาร เพราะบางบริษัทที่นำกลยุทธ์ใหม่มาใช้ทันทีอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป คุณต้องเข้าใจก่อนว่าพนักงานส่วนใหญ่ยังคุ้นชินอยู่กับระบบเดิม ๆ การที่นำกลยุทธ์หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่มาใช้ อาจทำให้กลยุทธ์นั้น ๆ ถูกลืมไปอย่างง่ายดาย เราแนะนำให้ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนจากระบบเล็กไปสู่ระบบใหญ่ หรือแสดงให้คนในบริษัทเห็นว่าทำไมการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถึงสำคัญ และพนักงานทุกคนจะมีส่วนร่วมกับภาพรวมที่ใหญ่กว่าได้อย่างไร วิธีนี้จะทำให้การบริหารงานของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน ไม่กลัวความล้มเหลว คนในองค์กรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทของคุณเดินหน้าต่อไปได้ การปลุกพลังให้คนในองค์กรจึงเป็นเรื่องสำคัญของผู้บริหารมือใหม่อย่างคุณ เมื่อใดที่พนักงานรู้สึกท้อแท้หรือสิ้นหวัง คุณต้องเป็นคนแรกที่เสนอตัวขึ้นมาช่วยเหลือพวกเขา กล้าที่จะลุกขึ้นมาเริ่มใหม่และอย่ากลัวกับการลองผิดลองถูก นี่เป็นหลักการเดียวกันกับ Thomas Edison ที่ล้มเหลวมาแล้ว 9 ครั้ง แต่ครั้งที่ 10 เขาก็สามารถผลิตหลอดไฟจนสำเร็จได้ เราหวังว่าหลักการนี้ก็สามารถนำไปปรับใช้กับผู้บริหารมือใหม่ทุกคนได้ด้วยเช่นกัน
การเป็นเจ้าคนนายคนได้ต้องสะสมพระเดชพระคุณและบุญบารมีจากชาติปางก่อน ความเชื่อจากประโยคที่ว่านี้อาจยังไม่เพียงพอสำหรับการเป็นหัวหน้าที่ดีในสายตาพนักงานทุกคน เพราะ ‘หัวหน้า’ เป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย และช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีความสุข นอกจากจะต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญในการทำงานแล้ว อาจจะต้องอาศัยความสามารถในการปกครองคนด้วยเช่นกัน หนุ่ม ๆ บางคนอาจโชคดีที่ได้เจอกับหัวหน้าใจดี มีเหตุผล ยอมรับฟัง และเข้าใจหัวอกพนักงาน แต่เชื่อว่าคงมีผู้ชายหลายคนที่ต้องผจญกับหัวหน้าสุดทน จอมบงการ เอาแต่ใจ และไม่เคยเปิดอกรับฟังพนักงานตัวน้อย ๆ อย่างเราเลย จนบางครั้งก็เผลอคิดว่า ถ้าลาออกไปก็คงไม่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ทุกวี่วันละมั้ง ไม่ว่าคุณจะเป็นหัวหน้าที่พยายามคิดหาวิธีทำให้ลูกน้องทุกคนรัก หรือเป็นพนักงานธรรมดาที่ใฝ่ฝันว่าสักวันจะเป็นหัวหน้าที่ดีให้ได้ UNLOCKMEN อยากให้หนุ่ม ๆ มาเรียนรู้ 5 คุณสมบัติของหัวหน้าที่ดีที่ลูกน้องทุกคนจะต้องหลงรัก เชื่อว่ามันจะมีประโยชน์ต่ออาชีพการงานของพวกคุณอย่างแน่นอน! กำหนดวิสัยทัศน์ที่แน่วแน่ หากจะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องทุกคนรัก คุณต้องมีวิสัยทัศน์การบริหารที่แน่วแน่และมั่นคง เพราะคงไม่มีลูกเรือคนไหนอยากล่มหัวจมท้ายกับกัปตันเรือที่ไม่รู้ว่าจะเดินเรือไปในทิศทางใด วิสัยทัศน์ในการบริหารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่หัวหน้าทุกคนพึงมี แทนที่จะเร่งพนักงานให้ทำงานไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมาย ให้ลองกำหนดเป้าหมายยิ่งใหญ่เอาไว้ข้างหน้า เพื่อให้คุณและทีมมองเห็น รับรู้ และตั้งใจทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายและความสำเร็จร่วมกัน กำหนดความก้าวหน้าให้พนักงานแต่ละคน ไม่ว่าพนักงานคนไหนก็ต่างตั้งใจทำงานเพื่อความสำเร็จในอาชีพการงานด้วยกันทั้งนั้น อีกหนึ่งคุณสมบัติของหัวหน้าที่ลูกน้องทุกคนรัก คือต้องสามารถกำหนดเป้าหมายความสำเร็จให้กับพนักงานทุกคนได้ การกำหนดเป้าหมายให้พนักงาน นอกจากจะเป็นการวัดความก้าวหน้าและการเติบโตของพวกเขาแล้ว ยังกระตุ้นให้ทุกคนในทีมขยันและตั้งใจทำงานเพื่อความสำเร็จของพวกเขาแต่ละคน แถมการทำงานไปวัน ๆ กับการทำงานที่มีเป้าหมาย ก็คงให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต
พอมาอยู่ในฐานะหัวหน้า หรือมีลูกน้องเป็นของตัวเองแล้ว เท่ากับว่าเรามีภาระ มีหน้าที่ ที่มันกดดันเรามากเพิ่มขึ้น หลายคนเจ๋งพอที่จะเป็นหัวหน้าในฝันที่ลูกน้องทุกคนอยากทำงานด้วย แต่บางคนยังไม่ใช่ แถมกลายเป็นฝันร้ายของลูกน้องอีกต่างหาก ไม่ว่าคุณจะเป็นแบบไหน ลองทำความรู้จักกับเทคนิคดี ๆ ที่ UNLOCKMEN อยากแนะนำให้หัวหน้าทั้งหลาย ได้ใจลูกน้อง แบบคนมีกึ๋นเขาทำกัน เลือกของให้ถูกคน หากเราเต็มใจที่จะหยิบยื่นวัตถุดิบ อุปกรณ์ดี ๆ ของเจ๋ง ๆ ให้กับลูกน้องของเรา อย่าลืมว่าแค่อุปกรณ์เจ๋ง ๆ มันยังไม่พอ ต้องเลือกให้มันเหมาะกับคน ๆ คนนั้นด้วย หมั่นถามความต้องการของพวกเขาอยู่เสมอว่าเขาขาดอะไรในการทำงาน หรือต้องการอะไรเพิ่มเติมที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานออกมาดีขึ้น พวกเขาจะได้เป็นนักรบที่พร้อมไปด้วยอาวุธที่แต่ละคนถนัด ทีนี้ออฟฟิศของเราจะไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่มันจะเป็นพื้นที่ที่พวกเขารู้สึกสนุกที่จะทำในสิ่งที่เขาถนัด กับอุปกรณ์เจ๋ง ๆ ที่รอพวกเขาที่ออฟฟิศ สร้างโอกาสดี ๆ ให้โอกาสพวกเขาได้พักยืดเส้นยืดสาย ให้เขาได้พักสายตา รีเฟรชตัวเองให้กลับมาสดใสอีกครั้ง หรือโมเมนต์อื่น ๆ ให้พวกเขากลับมามีกำลังใจอีกครั้ง อย่างในการประชุม ประเด็นไหนที่โดนปัดตกไป ลองให้โอกาสเขาได้เสนอประเด็นนั้นอีกครั้งแบบเต็มที่ ให้เขาเลิกกังวลกับเรื่องในอดีต และปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต และเต็มที่กับเรื่องที่อยู่กับเขาในปัจจุบัน นั่นทำให้ออฟฟิศกลายเป็นสถานที่ที่มีโอกาสดี ๆ เกิดขึ้นเสมอ
ความเป็นผู้นำมันอาจไม่ได้ติดตัวผู้ชายอย่างเรามาตั้งแต่โผล่หัวมาลืมตาดูโลก แต่ UNLOCKMEN เชื่อว่ามันเรียนรู้กันได้ โดยเฉพาะการเรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์โดยตรง ถือเป็นการเรียนรู้ทางลัดที่เราไม่ต้องลงแรงไปเจอสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง ดังนั้นสภาวะวิกฤตในเรือดำน้ำที่แม่งโคตรกดดันในการควบคุมคน ทั้งพื้นที่ที่แคบ คนจำนวนมาก ไหนจะสภาพการที่ไม่ได้อยู่บนดินตามปกติ จึงเป็นอีกสถานการณ์วิกฤตที่น่าเรียนรู้ว่าเราต้องงัดความเป็นผู้นำออกมาในรูปแบบไหน และวันนี้เราเอาทริคดี ๆ จากราชนาวีที่เคยคุมสถานการณ์บนเรือดำน้ำที่ตกอยู่ในสภาวะวิกฤตมาแล้ว (แม้ภาวะจะไม่วิฤตเท่ากระแสวิพากษ์เรื่องลุงตู่ซื้อเรือดำน้ำ แต่เราว่าก็วิกฤตมากไม่แพ้กัน) John DeVine คือเจ้าหน้าที่ราชนาวีคนหนึ่งที่เริ่มต้นอาชีพของเขาด้วยการทำงานในเรือดำน้ำ และใช้เวลากว่า 8 ปีในอาชีพนั้นก่อนจะผันตัวเองมาทำงานในองค์กรเอกชน John DeVine บอกว่าเรือดำน้ำไม่ต่างจากห้องปฏิบัติการความเป็นผู้นำที่หล่อหลอมให้เขาออกมาทำงานในภาคเอกชนแบบโคตรแข็งแกร่งชนิดหาตัวจับยาก เพราะการทำงานในเรือดำน้ำมันเต็มไปด้วยข้อจำกัด และการทำงานใต้ความลึกของมหาสมุทรระดับนั้น การตัดสินใจทุกอย่างก็มีเดิมพันสูงมากเพราะมันคือชีวิตของลูกเรือทุกคนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเราอาจคิดว่า John DeVine คือคนที่มีตำแหน่งสูงสุดในเรือดำน้ำ แล้วการที่เขาจะแสดงความเป็นผู้นำอะไรออกมาใคร ๆ ในเรือก็ต้องวิ่งทำตามคำสั่งเขาแบบหูตาเหลือกอยู่แล้ว แล้วจะไปเรียนรู้บทบาทความเป็นผู้นำแบบเขาได้ยังไงในเมื่อเราเป็นผู้น้อย ยังต้องวิงตามตูดบอสต้อย ๆ อยู่ดี ? UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าคุณคิดผิดว่ะ เพราะขณะที่เกิดเหตุการณ์สุดวิกฤตครั้งสำคัญนั้นเขาเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ในเรือดำน้ำที่มียศต่ำกว่าคนอื่นด้วยซ้ำไป โดยเหตุการณ์ที่ชาวเรือดำน้ำเห็นว่าวิกฤตที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการที่เรือดำน้ำของเราดันไปซ้อนอยู่ใต้เรือดำน้ำอีกลำ ความพีคคือ John DeVine เป็นคนแรก ๆ ที่ตระหนักถึงวิกฤตนั้นแต่เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับที่จะสั่งการได้ มันจึงมีอยู่ 2 ทางคือการรอจนกว่าผู้บัญชาการจะสั่งซึ่งไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตทุกคนได้ทันไหม หรือลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยชีวิตทุกคนไว้โดยไม่สนว่าผู้บัญชาการจะว่าอย่างไร นั่นคือการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตเขา