ที่ผ่านมามีค่ายรถหรูหลายค่ายที่นำรถคลาสสิคของตัวเองมาผลิตใหม่ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์เดิมเป็นขุมพลังไฟฟ้า อย่างเช่น Jaguar E-Type Zero แต่เรายังไม่น่าจะได้เห็นโปรเจคแบบนี้จากค่ายรถที่หรูที่สุดอย่าง Rolls-Royce เพราะมหาเศรษฐีระดับนั้นคงไม่ได้ขับรถเอง และไม่ได้สนใจราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้กวนใจชีวิตประจำวัน แต่สำหรับเศรษฐีรุ่นใหม่ที่มีทั้งเงินและแพสชั่นในการขับรถที่เร็ว แรง หรูหรา และแปลกไม่ซ้ำใคร จึงเป็นที่มาของโปรเจคสุดเท่จาก Lunaz Design เตรียมนำ classic Rolls-Royce 2 รุ่นได้แก่ Phantoms และ Silver Clouds โดยข่าวดีคือมันจะไม่ใช่รถแบบ One-off แต่เป็นการผลิตแบบจำนวนจำกัดรุ่นละ 30 คัน ในราคาคันละ $450,000 (ราว 14 ล้านบาท) Lunaz Design บริษัทสัญชาติอังกฤษ บอกว่าการจะเปลี่ยนรถคลาสสิค โดยเฉพาะรถที่ละเอียดอ่อนอย่าง Rolls-Royce เป็นขุมพลังไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ลำพังแค่บูรณะให้ขับได้ยังเป็นเรื่องยาก ต้องเริ่มตั้งแต่การทำ complete ground-up restoration หรือถอดแยกชิ้นแล้วเริ่มประกอบใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างและอุปกรณ์ทุกชิ้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ และแน่นอนว่าชิ้นส่วนเดิมทั้งหมดต้องเป็น original อะไรหาไม่ได้ก็ต้องผลิตขึ้นมาใหม่ ก่อนจะใส่แบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าของ Lunaz
หนึ่งในรถคลาสสิคที่มีช่วงชีวิตยืนยาวนานที่สุด คงต้องยกให้ Volkswagen Beetle ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1938 จนถึง 2019 แม้จะมีการเปลี่ยนโครงสร้างจากรถยนต์เครื่องวางหลังในรุ่นคลาสสิค มาเป็นเครื่องยนต์วางหน้าในรุ่น New Beetle แต่ในด้านความนิยม ไม่ต้องสงสัยว่ารถเต่า Type 1 จากยุค 19xx นั้นได้รับความนิยมสูงสุด แม้วันนี้ Beetle ได้หยุดการผลิตไปเรียบร้อยแล้ว แต่จิตวิญญาณของ Beetle Type 1 ก็ยังคงอยู่คู่โลกใบนี้ ด้วยการนำชิ้นส่วน โดยเฉพาะส่วนบังโคลนหรือซุ้มล้อมาดัดแปลงเป็นของเล่นสุดเท่ เช่น VOLKSPOD มินิไบค์คันจิ๋วที่ทำจากซุ้มล้อ Beetle ซึ่งเราเคยนำเสนอไปแล้ว ล่าสุดยังคงมีการนำซุ้มล้อมาดัดแปลงอีกเช่นเคย แต่คราวนี้เท่ยิ่งกว่า เพราะมันคือ Go-Kart Bugkart Wasowski Go-Kart เรียกง่าย ๆ ก็คือ Volkswagen Beetle Fender Go-Kart ผลงานของ Aldekas Studio สัญชาติ Mexican ผู้เชี่ยวชาญด้าน Volks
น้อยคนที่จะไม่รู้จักอาคารเก่าแก่ 3 ชั้นใกล้หัวลำโพงอายุนับ 100 ปี ที่เคยเป็นทั้งธุรกิจโรงพยาบาล ธนาคาร และอาบอบนวดอย่าง “Mustang Blu” หรืออีกชื่อยอดฮิตที่พูดแล้วต้องร้องอ๋อชี้พิกัดถูกว่ามันคือ “คลีโอพัตรา” ซึ่งปิดกิจการไปเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา MANCAVE ครั้งนี้ UNLOCKMEN จึงขอชวนคุณเดินทางไปที่นี่อีกครั้งในวันที่ไม่มีคลีโอพัตราอาบอบนวด แต่แทนที่ด้วยห้องพักสวย ๆ พร้อมให้ Booking ค้างคืน สัมผัสเสน่ห์วินเทจแท้ของสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลอายุนับศตวรรษที่ทั้งขลังทั้งมีเสน่ห์ หรือถ้ามีเวลาไม่มาก การแวะมาเยี่ยมเยือนชั่วคราวชื่นชมความสวยงามของโครงสร้างข้างในระหว่างจิบเครื่องดื่มและละเลียดเมนูอร่อย ๆ ชั่วคราวในคาเฟ่ก็ถือว่าคุ้มค่า เรียกง่าย ๆ ว่า ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือค้างคืน ถ้าไปเยือนแล้วที่นี่จะเป็นที่ ๆ คุณติดใจอยากจะมาพักใหม่ บอกตามตรงว่าก่อนจะเปลี่ยนมือจากอาบอบนวดมาเป็นโรงแรมและคาเฟ่สไตล์โคโลเนียลเหมือนปัจจุบันที่คนแห่แหนกันต่อคิวเข้าไป พวกเราเองยังไม่เคยมีโอกาสย่างกรายเข้าไปใช้บริการมาก่อน แต่ทันทีที่ก้าวพ้นประตูเข้ามาในอาคาร แม้จะไม่รู้ว่าสภาพดั้งเดิมเคยเป็นอย่างไรมาก่อน แต่ก็รู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่อีกพื้นที่หนึ่งทันที บรรยากาศคอนทราสต์กับด้านนอกชัดเจน เพราะการตกแต่ง บรรยากาศ และเสียงเพลงสไตล์บทกวีอาหรับที่กล่อมเกลาไปทั่วทั้งอาคาร ทุกองค์ประกอบที่เราเห็นเหล่านี้คือผลงานการสร้างสรรค์ของ คุณจอย อนันดา สไตลิสต์และโชว์ไดเรกเตอร์ชื่อดังในวงการแฟชั่น โปรเจกต์ The Mustang Blu
เสื้อผ้าไม่ได้มีไว้ใส่เพื่อเสริมความเท่ หรือปกคลุมร่างกายของเราเวลาออกจากบ้านเท่านั้น แต่มันยังส่งผลต่อจิตใจของเราได้ด้วย ซึ่ง UNLOCKMEN อยากให้ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ โดยการอธิบายผ่านทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ชื่อว่า ‘Enclothed Cognition’ มันคืออะไร รู้ไปแล้วได้อะไร วันนี้เราจะเล่าให้ฟัง ‘Enclothed Cognition’ เป็นแนวคิดที่พยายามอธิบายว่า เสื้อผ้าที่เราสวมใส่มีผลต่อเราในทางจิตวิทยาอย่างไร คิดค้นโดย 2 นักจิตวิทยา ได้แก่ Hajo Adam และ Adam d.Galinsky ซึ่งทั้งคู่ร่วมกันทำงานวิจัยชื่อว่า Enclothed Cognition ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Journal of Experimental Social Psychology (2012) Your Clothing Impacts Your Thinking งานวิจัยชิ้นนี้มีการทดลอง 3 ครั้ง ทั้งหมดเพื่อดูว่าเสื้อกาวน์ (lab coat) มีผลทางจิตวิทยากับคนอย่างไร แต่ก่อนเริ่มการทดลอง นักวิจัยได้มีการทำ pretest และพบว่า เสื้อกาวน์มักเกี่ยวข้องกับ ความเอาใจใส่ (attentiveness) และความระมัดระวัง
แม้วันเวลาจะเดินหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่งแต่คงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าชื่อของ สตีฟ แม็กควีน (Steve McQueen) ได้กลายมาเป็นไอคอนสำคัญต่อผู้ชายเราในยุคสมัยหนึ่ง ทั้งความโดดเด่นเรื่องผลงานการแสดงจากภาพยนตร์อย่าง The Thomas Crown Affair (1968) The Great Escape (1963) และหนังแห่งโลกความเร็วอย่าง Le Mans (1971) แต่นอกจากบทบาทด้านการแสดงอีกหนึ่งในเรื่องที่ สตีฟ แม็กควีน ได้สร้างอิทธิพลต่อผู้ชายทั่วโลกมาหลากหลายยุคสมัยคือเรื่องของแฟชั่นและสไตล์การแต่งตัว ไม่ว่าจะเป็นสไตล์เรียบหรูเป็นทางการหรือการแต่งตัวในลุคสบาย ๆ ที่เน้นความคล่องตัว ผู้ชายคนนี้ก็มักหยิบไอเทมชิ้นต่าง ๆ มาสร้างสไตล์ที่โดดเด่นให้กับตัวเองได้เสมอ แต่ไอเทมชิ้นไหนที่ถูกจดจำว่าเป็นเครื่องแต่งกายชิ้นโปรดของ King of Cool คนนี้บ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกันเลย White T-Shirt สตีฟ แม็กควีนมีทักษะในการแต่งตัวและบุคลิกในการสร้างสไตล์ที่โดดเด่นด้วยเสื้อผ้าอันเรียบง่าย หนึ่งในคือ เสื้อยืดสีขาว โดยสตีฟมักหยิบไอเทมชิ้นนี้มาจับคู่กับกางเกงกากี (Khaki) และกางเกงผ้าลินิน (Linen Trousers ) หลายครั้งระหว่างเดินทางโปรโมตหรือถ่ายทำภาพยนตร์เขาจะเลือกเสื้อยืดสีขาวเป็นชุดเตรียมความพร้อมเพื่อสำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ ในเวลาเดียวกันก็สามารถสร้างสไตล์ตคูล ๆ
ชื่อ Gordon Murray อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกกับ Hypercar ที่มีชื่อว่า Gordon Murray T.50 แต่ที่จริงแล้ว Gordon Murray คือชื่อของ designer ผู้อยู่เบื้องหลังผลงานระดับ masterpiece หลายคัน ไม่ว่าจะเป็น McLaren F1 ซึ่งทำตลาดอยู่ในช่วงปี 1992 – 1998 อดีตเจ้าของสถิติ the world’s fastest production car ทำความเร็วสูงสุดถึง 386.4 km/h ปัจจุบันมีราคาขายไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท รวมถึง Mercedes-Benz SLR McLaren และรถแข่ง Grand Prix กับ Brabham ครั้งแรกที่ชื่อ Gordon Murray จะปรากฎบนตัวถังรถ Hypercar ของตัวเอง ‘Gordon Murray Automotive
ปัจจุบันถ้าพูดถึง City Cars หรือรถยนต์ที่เหมาะสมต่อการขับขี่ในเขตเมือง หนุ่ม ๆ หลายคนคงมองเห็นภาพ Eco Cars และ City Cars หลากหลายรุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องของสมรรถนะ งานดีไซน์ รวมไปถึงฟังก์ชันเสริมที่มีมากน้อยแตกต่างกันไปในรถยนต์แต่ละคัน อย่างไรก็ตามหากย้อนเวลากลับไปช่วงปี 1980 ใครจะคิดว่าค่ายผู้ผลิตรถยักษ์ใหญ่อย่างฮอนด้าจะเคยเสริมจุดขายใน City Cars ของตัวเองด้วยสกู๊ตเตอร์คันจิ๋วที่ใช้ชื่อว่า Motocompo ซึ่งต่อมาได้มาเป็นตัวแทนคำบอกเล่าของยุคสมัยรวมถึงของสะสมหายากที่ใครหลายคนตามหา แต่เรื่องราวทั้งหมดจะมีจุดเริ่มต้นยังไงและพาหนะ 2 ล้อคันนี้ได้สร้างปรากฏการณ์อะไรบ้าง มาทำความรู้จักเรื่องราวทั้งหมดไปพร้อมกัน จุดเริ่มต้นของ Honda Motocompo เป็นผลพวงมาจากการพัฒนารถยนต์คันใหม่ของฮอนด้าในช่วงปี 1979 ช่วงเวลาที่ทีมออกแบบเลือดใหม่ของค่ายได้ร่วมกันระดมไอเดียเพื่อสร้างโปรเจกต์รถยนต์คันใหม่ของค่ายในฐานะ “รถยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดสำหรับปี 1980” ซึ่งต่อมาทุกคนรู้จักรถคันนี้ในชื่อ “Honda City” ในเวลานั้น Hiroo Watanabe และ Hiroshi Azuma 2 วิศวกรผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของโปรเจกต์ได้รับโจทย์ให้สร้างรถยนต์ที่มีคุณสมบัติตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยเป้าหมายหลักคือการสร้างรถยนต์ที่มีสมรรถนะขั้นพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม ที่สำคัญคือต้องเป็นรถยนต์ที่ตอบสนองการใช้งานของกลุ่มคนทำงานหนุ่ม-สาวที่ต้องการใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวันเมืองเช่นโตเกียวหรือเมืองใหญ่ต่าง ๆ สุดท้ายคืองานดีไซน์และเส้นสายของตัวรถจะต้องถูกยอมรับในระดับสากล ไม่นานทีมงานรุ่นใหม่ไฟแรงของฮอนด้าที่มีอายุเฉลี่ยไม่ถึง 30 ปีก็เริ่มลงมือขึ้นรูปงาน Prototype
หากยังจำกันได้ดี ครั้งหนึ่ง UNLOCKMEN เคยนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจของวัฒนธรรม MODS วัฒนธรรมย่อยของชนชั้นกลางที่ถือกำเนิดขึ้นในประเทศอังกฤษไปแล้ว มาในครั้งนี้เราได้รับโอกาสพิเศษให้เข้าไปใกล้ชิดกับกลุ่มชาว MODS อีกครา และทันทีที่ได้ยินประโยคเชิญชวนเราก็ไม่ลังเลที่จะตอบรับไปในทันที ซึ่งงาน Thailand MODS Mayday : scooter run vol. 3 คือการรวมตัวกันของชาว MODS ในประเทศไทย กลุ่มคนที่สานต่อวัฒนธรรม Mods ผู้มีความขบถ แหกคอก ใช้สกู๊ตเตอร์คลาสสิกเป็นยานพาหนะและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลุ่ม MODS หลัก ๆ ที่รวมกันเป็น Thailand MODS Mayday นั้นประกอบไปด้วย SoulScooterClub, Lammania, ModsMorShit, 30UP การประดับกระจกเยอะๆ และแขวนไฟหลายดวงนั้นมีที่มาจากการประชดกฏหมายของอังกฤษในยุคนั้น (60s) ที่ออกมาบังคับให้รถจักรยานยนต์ทุกคนต้องมีกระจกอย่างน้อย 1 อัน ทั้งที่ความจริงแล้วรถมอเตอร์ไซต์ Vespa และ Lambretta ในยุคนั้นมันเกิดมาโดยไม่มีกระจกมองหลังหรือแม้กระทั่งไฟเลี้ยว สิ่งที่แตกต่างจากยานพาหนะทั่วไปทำให้รถสกู๊ตเตอร์กลายมาเป็น
“ไม่ใช่แค่การซื้อห้องหรือคอนโดในหัวหิน นี่คือการซื้อรีสอร์ทตากอากาศ ที่มีบริการระดับเดียวกับโรงแรม Intercontinental ทั่วโลก บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ใจกลางหัวหินติดชายหาดที่สวยและสงบมากจริง ๆ” นี่คือบทสรุปที่เรารู้สึก หลังจากได้เข้าไปดูและทำความรู้จักกับโครงการ Intercontinental Residences Hua Hin “หัวหิน” ตำนานที่เริ่มจากหมู่บ้านชาวประมงริมทะเล ที่มีชายหาดสีขาวสวย สงบ ร่มรื่น ถูกค้นพบระหว่างการสำรวจเส้นทางเพื่อสร้างทางรถไฟ จึงถูกรายงานไปที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 จึงมีคำสั่งให้สร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ที่ประทับแปรพระราชฐานในฤดูร้อน ในรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มีการสร้างวังไกลกังวล (Far From Worries) ซึ่งมีความหมายที่แสดงถึงความเป็นหัวหินได้ตรงตัว และหลังจากนั้นเหล่าขุนนางตระกูลใหญ่ก็เริ่มตามมาจับจองสร้างที่พักอาศัย ทำให้หัวหินมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และความสวยงามของทะเลที่รักษาเอาไว้เนื่องจากประวัติศาสตร์นี้เอง มีหลายโครงการในหัวหินที่บอกว่าตั้งอยู่ริมหาดในตำแหน่งที่ดีที่สุด เราคิดว่าหนึ่งในโครงการที่ตั้งอยู่ใจกลางติดทะเลหัวหิน ในทำเลที่ดีมาก ๆ ก็คือ Intercontinental Residences Hua Hin ที่ตั้งอยู่ในซอยหัวหิน 71 ฝั่งทะเล อยู่ใจกลางหัวหินซึ่งในอดีตเป็นที่ของขุนนางเก่าและตระกูลใหญ่ โรงแรม 5 ดาวจำนวนมาก จึงเลือกยึดพื้นที่หาดที่สวยที่สุดจุดนี้ไว้เช่นกัน ดังนั้นจึงการันตีได้ว่าตำแหน่งนี้ จะมีชายหาดที่สวยสะอาดอยู่เสมอ
เชื่อว่าหนุ่ม ๆ ที่สนใจในรถยนต์หลายคนคงคุ้นเคยดีกับโมเดลเปิดประทุนคันเล็กจากยุค 90’s อย่าง Mazda MX-5 หรือที่หลายคนคุ้นเคยในชื่อ Mazda Miata และ MX-5 Miata หนึ่งในโมเดลรถยนต์ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนมาสด้าให้เป็นที่รู้จัก และกลายเป็นรากฐานสำคัญให้แบรนด์ให้เวลาต่อ แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้รถยนต์คันนี้ สามารถรักษาความเชื่อมั่นจากคนรักความเร็วทั่วโลกมาตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ทั้งที่รถก็ไม่ได้แรงอะไรมาก ไม่ได้หรูหรา ไม่ได้ทันสมัย แต่มันมีเสน่ห์ในความเป็น Roadster ที่แตกต่าง วันนี้มาทำความรู้จักจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ รวมถึงแนวคิดที่ทำให้รถคันนี้กลายมาเป็น 1 ในไอคอนสำคัญของรถสปอร์ตขนาดเล็กไปพร้อมกัน บ็อบ ฮอลล์ ชายผู้จุดประกายให้กับ MX-5 Miata อย่างที่ทราบกันดีว่ามาสด้าคือแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่กำเนิดขึ้นในเมืองฮิโรชิมา แต่จุดกำเนิดของโรดสเตอร์ตัวกลั่นของค่ายคันนี้กลับมีจุดเริ่มต้นจากชายที่เติบโตขึ้นมาในเมืองแคลิฟอร์เนีย ชื่อของเขาคือ บ็อบ ฮอลล์ บ็อบ ฮอลล์ เกิดและเติบโตขึ้นท่ามกลางแสงแดดและชายหาดของแคลิฟอร์เนียฝั่งใต้ โดยได้รับการส่งต่อความหลงใหลเรื่องรถยนต์มาจากคุณพ่อที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนารถสปอร์ตที่เคยทำงานให้ทั้ง MG, Triumphs, Austin Haeleys และ Alfa Romeo ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศของโรงรถและคราบน้ำมัน รับหน้าที่ตั้งแต่ซ่อมจักรยานของตัวเองไปจนถึงช่วยพ่อประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ที่ใช้ในบ้าน ปลายยุค 70’s บ็อบ