การทำอะไรซ้ำ ๆ ตามกันมานาน ๆ บางครั้งเราก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องถูกและดี ทว่าต้องขอบคุณวิทยาศาสตร์และผู้รู้ที่คอยมาหักล้างความเชื่อเก่าเสมอจึงทำให้พวกเราสามารถปรับพฤติกรรมและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ต่อไปนี้คือ 6 สิ่งที่เราเองยังเข้าใจผิดบางข้อ (แต่กำลังจะแก้ใหม่ให้ถูก) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากยิ่งขึ้น ชาว UNLOCKMEN คนไหนไม่อยากเข้าใจผิดอย่างเรา ลองไปเช็กดูพร้อมกันได้ 1. ดื่มกาแฟช่วงระหว่าง 8.00 -10.00 น. ตามผลการศึกษาของ Geisel School of Medicine ที่ Dartmouth กล่าวถึงเรื่องการกินกาแฟก่อนเริ่มต้นวันไว้ว่าใครที่กะเสพคาเฟอีนเพิ่มความดีดและสร้างความฮึกเหิมเวลาทำงานควรคิดใหม่ เพราะมันเป็นความผิดพลาดมหันต์ เนื่องจากมันการดื่มในช่วงเวลานั้นจะเพิ่มฮอร์โมนคอร์ติซอลหรือที่รู้จักในนามฮอร์โมนแห่งความเครียดเข้าสู่ร่างกายเรา ซึ่งระดับของฮอร์โมนนี้มักจะขึ้นลงตามธรรมชาติในร่างกายของเราอยู่แล้ว แต่จะมากสุดในช่วงเช้าและลดลงตามลำดับในช่วงเย็น ดังนั้นถ้ายิ่งกินในช่วง 8 – 10 โมงเช้ามันจะยิ่งเพิ่มความเครียดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มงานและนอยด์ไปทั้งวัน PRO TIP: คอคาแฟควรอดทน รอช้า ๆ เพื่อได้พร้าเล่มงาม ดื่มกาแฟที่ชอบในช่วงเวลาตั้งแต่หลัง 10 โมงเช้า – เที่ยงวัน หรือบ่าย 2 โมง – 5 โมงจะดีที่สุดเพราะเป็นช่วงเวลาทำงานที่ตรงกับระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลดลงต่ำสุด
เรื่องงานผู้ชายอย่างเราไม่มีหวั่น เรื่องเล่นผู้ชายอย่างเราก็ไม่กลัว แต่ถ้าพูดถึงช่วงเวลาพักในวันทำงานผู้ชายอย่างเรามักจะงง ๆ ว่าจะกินข้าวแล้วเล่นมือถือดีไหม ? จะพูดคุยวางแผนงานกับเพื่อนในออฟฟิศโอเคหรือเปล่า ? หรือจะหอบหมอนไปแอบงีบชาร์จพลังไปเลย ? เพราะเวลาพักที่มีมากสุดแค่ 60 นาทีที่จะพักยังไงก็ดูไปไม่สุดทาง ยิ่งเวลาพักช่วงบ่าย 30 นาที หรือเวลาที่เราพักเอง 5-15 นาทีซึ่งดูน้อยนิดจนนั่งถอนหายใจก็หมดเวลาแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้ชายอย่างเราต้องกุมขมับว่าจะใช้เวลาพักเหล่านี้ไปกับอะไรดี ? ที่สำคัญใช้เวลาพักอย่างไร ถึงจะกลับมาปั่นงานได้เต็มสูบ เรามีสูตรลัดมาให้เลือกใช้กัน พัก 5-15 นาที : จิ๋วแต่แจ๋ว ถ้าขยับตัว ทำสมาธิและมองต้นไม้ แม้เวลา 5-15 นาทีจะดูเป็นเวลาที่ไม่มากและไม่สำคัญเอาเสียเลย แค่ใช้เวลานั่งดูลิสต์สิ่งที่ต้องทำหรือตอบอีเมลแป๊ป ๆ ก็หมดเวลาแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Maura Thomas ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการทลายกำแพงในการทำงานบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการพัก 5-15 นาทีคือ “ต้องพาตัวเองออกไปเคลื่อนไหว” โดยอาจจะเดินขึ้นลงบันไดสัก 1-2 ชั้น เดินออกไปนอกออฟฟิศสักหนึ่งช่วงตึก หรือแม้แต่ยืดแข้งยืดขาอยู่ในออฟฟิศก็ได้ การเคลื่อนไหวเหล่านี้จะช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการโฟกัสให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนั้นการสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำสมาธิกับตัวเองอาจจะ 2 นาที หรือมากกว่านั้นก็จะช่วยให้การกลับมาทำงานเป็นไปอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวามากขึ้น
สมัครเข้าบริษัทไหน ๆ เขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเวลาทำงานต้อง 8 ชัวโมงเป๊ะ บวกกับเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง เท่ากับ 9 ชั่วโมงทำงานและพักที่ผู้ชายอย่างเราต้องใช้ไป แต่เคยสงสัยไหมว่าไอ้วิธีการทำงานด้วยสัดส่วนแบบนี้มันเวิร์คจริง ๆ หรือ? มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งกระฉูดได้สุดจริงหรือเปล่า? UNLOCKMEN ประกาศตรงนี้เลยแล้วกันว่า “ไม่จริง!” แล้วมันต้องทำงานแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราจะได้งานอย่างจริงจัง? วิธีคิดเรื่องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่แค่เป็นความคิดสุดล้าสมัย (ที่ใคร ๆ ก็ยังใช้อยู่) แต่ยังไม่ได้ผลการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ถ้าเราสงสัยว่า “อ้าว ถ้ามันไม่เวิร์คแล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?” คำตอบที่จะมอบให้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วง ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 นู่นเลย กฎการทำงาน 8 ชั่วโมง ถูกกำหนดขึ้นมาเนื่องจาก แรงงานในโรงงานต้องทำงานห่ามรุ่งหามค่ำอย่างไม่เป็นธรรม การทำงาน 8 ชั่วโมงจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดการทำงานอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันแต่อย่างใด พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเมื่อ 2-3 ร้อยปีก่อน นอกจากมันจะไม่เวิร์คแล้ว มันยังฉุดรั้งการทำงานของเราอีกด้วย โดยการศึกษาของบริษัท Draugiem Group
ผู้ชายอย่างเราล้วนแต่รู้สึกว่ามีงานล้นมือล้นหัวจนต่อให้มี 10 มืออย่างทศกัณฐ์ก็คงแอบบ่นว่าทำไม่หมดอยู่ดี ในทางกลับกัน CEO ระดับโลกอย่าง Elon Musk ล่ะ? งานผู้ชายคนนี้จะล้นมือขนาดไหน? เขาทำบริษัทอะไรบ้าง? โปรเจ็กต์กี่ล้านอย่างในหัว? แล้วเขาทำทั้งหมดนั้นในหนึ่งช่วงชีวิตได้อย่างไร? 85 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ คือเวลาชีวิตที่ Elon Musk มอบให้งาน ถ้าเรารู้สึกว่านักธุรกิจ CEO มหาเศรษฐีอย่าง Elon Musk จะใช้ชีวิตลูกผู้ชายอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทองและบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาอย่างสุขสบาย เห็นทีจะคิดผิดมหันต์ เพราะไม่ใช่แค่ทำงาน แต่เขาทำงาน 80-85 ชั่วโมงต่อสัปดาห์! จินตนาการถึงการทำงานประจำของคนทั่วไปอย่างเรา ๆ กันดูหน่อยไหม? เราทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ ก็เท่ากับว่าในแต่ละสัปดาห์เราทำงานเพียง 40 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ใน 40 ชั่วโมงของเราก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า การรู้สึกว่าทำงานไม่ทันจนอยากจะลาออกจากความเป็นเราอยู่ร่ำ ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ แล้ว Elon Musk ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? นอกจากการนอนเป็นเวลาแค่ 6 ชั่วโมง
UNLOCKMEN กล้าพูดเลยว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่พอหอบงานไปทำที่ร้านกาแฟแล้วดันโฟกัสกับงานที่ตัวเองทำได้มากกว่าทำที่ออฟฟิศตัวเอง หรือผู้ชายสายฟรีแลนซ์ก็ไม่เว้นกับเขาด้วย พอจะทำงานที่บ้านก็เกิดอาการเตียงดูดให้นอนอยู่กับที่เสียอย่างนั้น แต่พอกระเด้งตัวไปร้านกาแฟแถวบ้านทีไรงานพุ่งเป็นไฟทุกที งานนี้เราไม่ได้คิดไปเองเพราะมันมีเหตุผลเบื้องหลังอยู่จริง ๆ งานนี้บอกเลยว่าความเข้าใจเรื่องเสียงของเรา ๆ ที่เคยถูกสอนสั่งมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ว่าความเงียบทำให้เกิดสมาธิอาจจะต้องถูกพับเก็บเอาไว้ก่อน เพราะงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นออกมาบอกว่าเจ้าเสียงที่อยู่โดยรอบเราอย่าง Ambient Noise ที่เหมาะแก่การคิดงานอย่างสร้างสรรค์ให้พุ่งกระฉูดหรือการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพชนิดไฟพุ่งนั้นไม่ใช่เสียงเงียบ ๆ อย่างที่เราเคยเข้าใจ แล้วเสียงแบบไหนหรือระดับไหนกันแน่ที่เป็นมิตรแก่การทำงานของเรา? ก็เหมือนว่าเราจะรู้ดีทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อ่านงานวิจัยถึงได้เลือกร้านกาแฟเป็นที่สิงสถิตย์เพราะร้านกาแฟมีเสียงรบกวนในระดับปานกลางประมาณ 70 เดซิเบล (ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของเราได้ดีกว่าเสียงที่เงียบกว่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับเสียงประมาณ 50 เดซิเบล) ดังนั้นในร้านกาแฟที่มีเสียงรบกวนหน่อย ๆ แต่ไม่มากเกินพอดีจึงส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพการทำงานของเราได้มากกว่าการทำงานในออฟฟิศหรือห้องสมุดที่ทุกคนต่างพากันเงียบสนิท จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกวันนี้มีเว็บไซต์จำนวนมากที่ทำเสียง Ambient Noise เลียนแบบเสียงร้านกาแฟออกมาเพื่อให้เรากดเปิดฟังได้แม้อยู่ในที่ทำงานหรือที่บ้านเพื่อสร้างบรรยากาศหลอกร่างกายของเราว่า เฮ้ย นี่ฉันกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟในเสียงที่เหมาะสมจริง ๆ เพราะฉะนั้นตั้งใจทำงานและสร้างสรรค์อะไรดี ๆ ออกมาได้แล้ว ถ้าชาว UNLOCKMEN อยากลองว่ามันได้ผลเท่ากับการไปนั่งร้านกาแฟจริงไหมก็ลองกดเปิดฟังไป ทำงานไปดู (ฟัง Ambient Noise) อย่างไรก็ตามเรื่องเสียงก็ไม่ใช่แค่เรื่องเดียวที่ทำให้เราตั้งใจหรือโฟกัสกับงานได้มากกว่าปกติที่ร้านกาแฟ แต่การได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ก็เป็นอีกผลหนึ่งที่ท้าทายให้เราอยากแสดงศักยภาพออกมาให้คนอื่นได้เห็น (แม้จริง ๆ
ถ้าพูดถึง CEO ระดับแนวหน้าของโลกตอนนี้ คงไม่มีทางที่ชื่อของ Elon Musk จะหลุดโผไปได้ เขาคือ CEO ของ Tesla และ SpaceX รวมถึงเป็น chairman ของ SolarCity ที่กำลังทำโปรเจกต์ล้ำ ๆ ให้กับโลกใบนี้มากมาย แถมยังเป็นนักลงทุนระดับมหาเศรษฐีที่ขึ้นชื่อว่างานล้นมือที่สุดคนหนึ่ง แต่อะไรที่ยังทำให้เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ได้ วันนี้เราแอบเอานิสัย 5 อย่างของเขามาฝากให้ชาว UNLOCKMEN ได้ลองใช้เป็นตัวอย่างในการทำงานให้มีประสิทธิภาพดู ใช้การสื่อสารผ่านข้อความ Elon Musk ถือเป็นอีกคนที่เป็นตัวพ่อเรื่องการสื่อสารผ่านอีเมลหรือข้อความ เป็นการสื่อสารที่ไม่ต้องอาศัยการโต้ตอบแบบเรียลไทม์ ซึ่งการทำแบบนี้ช่วยให้เขาอยู่กับตารางเวลาการทำงานของตัวเองได้เต็มที่มากขึ้น โดยไม่ต้องพะวงอยู่กับการรับโทรศัพท์แต่ให้คนที่อยากติดต่อสื่อสารผ่านข้อความแล้วตอบกลับเมื่อมีเวลา บางครั้งก็ต้องเป็นคนเข้าถึงยาก แม้ใคร ๆ ก็ดูเหมือนจะรู้จัก Elon Musk ดี แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่เข้าถึงตัวยากมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะการเข้าถึงจากคนนอกบริษัทของเขา เขาบอกว่าการทำให้คนเข้าถึงยากเป็นการป้องกันการเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น มีโอกาสในการโฟกัสกับงานตัวเองมากขึ้น multitasking เข้าไว้ Elon Musk เชื่อว่าการทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวหรือที่เรียกว่า multitasking เป็นเรื่องที่ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณเทคโนโลยีและความยืดหยุ่นในปัจจุบันที่ทำให้เราสามารถทำงานจากที่บ้านได้ แม้การทำงานที่บ้านจะเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย แต่ถ้าสบายเกินไป เราอาจทำงานไม่เสร็จได้ นี่จึงเป็น 5 วิธีที่จะช่วยให้คุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแม้จะอยู่ภายใต้บรรยากาศสุดสบายอย่างการทำงานที่บ้านก็ตาม 1.สบายได้ แต่ให้พอดี สิ่งที่ดีที่สุดของการได้ทำงานอยู่ที่บ้านก็คือความสบาย สบายไปหมดตั้งแต่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เราคุ้นเคย ได้สวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการมาก จะนั่งทำงาน นอนทำงานก็สบายไปหมดทุกสิ่งอย่าง ความสบายเป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้ามากเกินไป แทนที่จะทำงานก็อาจจะกลายเป็นนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้ ดังนั้นจัดท่าทาง พื้นที่ของตัวเองให้สบายได้ แต่อย่าสบายเกินไปจนไม่เป็นอันทำงาน 2.จัดพื้นที่ให้เหมาะสม การทำงานที่บ้านเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย และสิ่งรบกวน ทั้ง ๆ ที่กำลังจะตั้งใจทำงานอยู่ดี ๆ หันไปเจอตู้เย็นที่เต็มไปด้วยของกินก็เสียสมาธิเสียแล้ว หรือหันไปเจอโทรทัศน์พร้อมกับจินตนาการถึงหนังเรื่องโปรดก็พร้อมจะปรี่เข้าไปหา สิ่งเหล่านี้ควรถูกกำจัดให้พ้นทางด้วยการหาโต๊ะทำงาน จัดบรรยากาศให้เหมาะแก่การทำงานที่ห่าง หรือให้สิ่งรบกวนอยู่พ้นสายตาออกไปหน่อย จะได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานมากขึ้น 3.จัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ พอไม่ต้องเดินทางไปกลับจากที่ทำงาน เวลาที่มีเท่าเดิมก็ดูเหมือนมีเพิ่มจนมากมายแบบไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเรารู้สึกว่ามีเวลาเหลือมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเดี๋ยวค่อยทำนั่น เดี๋ยวค่อยทำนี่ก็ได้ ซึ่งสุดท้ายจะทำให้งานไม่เสร็จโดยไม่รู้ตัว หรือถ้าเสร็จก็เสร็จแบบไม่ทันเวลา ดังนั้นคุณควรจัดลำดับความสำคัญว่างานไหนที่ต้องทำเสร็จเป็นลำดับแรก ๆ และต้องเสร็จภายในเวลาเท่าไหร่ เป็นการกำหนดเดดไลน์ให้ตัวเอง 4.จัดเวลา ทำงานที่บ้านก็ยังแปลว่าทำงาน ถ้าคุณไม่ได้ทำงานเสร็จเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมง การแบ่งสัดส่วนเวลาทำงานก็เป็นสิ่งที่ดี เพื่อไม่ให้ตัวเองทำงานมากเกินไป หรือมัวแต่พักผ่อนเพลินเกินไป โดยคุณอาจแบ่งเวลา 6-8 ชั่วโมงว่านี่เป็นเวลาทำงาน
สภาพแวดล้อมกลายเป็นสิ่งที่โคตรมีผลต่อการทำงาน ออฟฟิศไหนที่ดีไซน์ออกมาให้คูล เจ๋ง มีบรรยากาศแห่งการผ่อนคลาย สบาย ๆ ใคร ๆ ก็อยากพุ่งตัวเข้าไปทำงานด้วย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีได้ทำงานในออฟฟิศคูล ๆ เสมอไป แต่เราก็สามารถจัดโต๊ะทำงานของเราให้คูลเหมาะสมกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ไม่แพ้กัน นี่จึงเป็น 5 วิธีง่าย ๆ ที่ไม่ว่าทำงานที่ไหนก็ได้ประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม 1.ปลูกต้นไม้กระถางเล็ก ๆ สักกระถางสิ งานวิจัยจำนวนมากที่บอกกับเราว่า วิธีง่าย ๆ ที่จะลดความตึงเครียด สร้างความรู้สึกผ่อนคลายคือการอยู่กับธรรมชาติ แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้การที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ จะหอบการหอบงานเข้าป่าไปทำงานก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีง่าย ๆ จึงเป็นการหาต้นไม้เล็ก ๆ สักกระถางมาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น? The Green Infrastructure Research Group จาก University of Melbourne ศึกษาเรื่องพื้นที่สีเขียวที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างจริงจังก็พบว่าการได้มองไปในพื้นที่สีเขียวอย่างต้นไม้จากหน้าต่างห้องทำงาน ช่วยลดความเครียด สร้างอารมณ์ผ่อนคลาย ที่สำคัญทำให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ดีไม่ดีไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ เฟซบุ๊กก็ลงทุนสร้างหลังคาขนาดเท่าสนามฟุตบอลหลายสนาม แล้วปลูกต้นไม้ใบหญ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงานของตัวเองแล้ว 2.แสงธรรมชาติก็เป็นสิ่งสำคัญ Mirjam