ใครที่ทำงานอยู่บ้านแล้วนั่งทั้งวัน ไม่ได้ออกกำลังกายเลยเพราะงานยุ่ง ตอนนี้มีตัวช่วยใหม่ที่ทำให้เราสามารถทำงานไปด้วยและมีสุขภาพที่ดีขึ้นไปด้วย ตัวช่วยนี้มีชื่อว่า Walkolution เป็นลู่วิ่งไม้แบบไม่ใช่ไฟฟ้าที่ทำให้เราวิ่งหรือเดินไปพร้อมกับการทำงานหน้าคอมได้ นวัตกรรมนี้ได้รับการออกแบบโดย Dr.Eric Söhngen และ Frank Ackermann จากประเทศเยอรมัน และช่วยให้คนทำงานสามารถเอนจอยกับการวิ่งได้แม้ในตอน meeting ออนไลน์ เพราะมันเป็นลู่วิ่งอนาล็อกจึงทำให้เกิดเสียงเบามาก แถมตัวลู่วิ่งยังมาพร้อมกับดีไซน์พิเศษที่มีลักษณะเหมือนที่พิงหลัง ช่วยให้เราสามารถพิงหลังได้อย่างสบาย แถมยังช่วยแก้โรคปวดหลังและปวดอกอีกจากการนั่งเป็นเวลานานอีกด้วย นอกจากนี้ การใช้งานลู่วิ่งยังไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้ากีฬา เพราะที่พื้นมีแผ่นบานเกล็ดที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่องความยืดหยุ่นคล้ายสปริง เวลาวิ่งบนเครื่องจะให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบพื้นป่าอ่อน ๆ ยิ่งไปกว่านั้น การกระดอนกลับและความแข็งหลายระดับของพื้น ยังช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อและเกิดความผ่อนคลายอีกด้วย สิ่งนี้ช่วยป้องกันการเกิดการเจ็บปวดที่เดิมซ้ำ (Repetitive Strain Injury: RSI) ไปพร้อมกับการช่วยพัฒนาการประสานงานและสมดุล แถมพอเราซื้อสินค้า เราอาจมีส่วนช่วยโลกด้วย เพราะเมื่อขายสินค้าได้แต่ละชิ้น ทางบริษัทจะมีการปลูกต้นไม้ทดแทน 10 ต้น เพื่อชดเชยการนำวัสดุไปใช้และการปล่อยก๊าซในขั้นตอนการผลิด ความพิเศษของตัวลูวิ่งยังมีอีก คือ เราไม่จำเป็นต้องบำรุงรักษามัน แถมยังไม่ต้องทาน้ำมัน หรือ หล่อลื่นอีกด้วย ตัวลู่วิ่งทำมาจากบีชและไม้อัดเบิร์ช ส่วน inner frame ทำมาจากเหล็กแข็งที่รองรับน้ำหนักได้มากกว่า 160 กิโลกรัม
ถ้าเราเริ่มต้นได้ดี เราจะมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะเหมือนกับการสร้างตึก ถ้าเราทำฐานตึกดี ต่อให้เราสร้างตึกสูงแค่ไหนก็ตาม ตัวตึกก็จะแข็งแรงคงทน และถล่มได้ยาก การเริ่มต้นปีที่ดี จะทำให้เรามีความสุขตลอดปีได้เช่นกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคในการเริ่มต้นปีใหม่ที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในปีนี้ ตั้งเป้าหมายประจำปีที่เป็นไปได้จริง อย่าตั้งเป้าหมายปีใหม่ (New year resolution) ที่แฟนตาซีเกินไปจนเป็นจริงได้ยาก เช่น อยากย้ายไปอยู่ดาวอังคาร หรือ อยากร่ำรวยขึ้นถึง 1,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี เราควรตั้งเป้าหมายที่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในปีนั้น โดยเป้าหมายควรมีความเฉพาะเจาะจง และสมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่น ในปีนี้เราอยากเปิดธุรกิจร้านอาหาร หรือ อยากเลือนตำแหน่ง เป็นต้น เมื่อเรากำหนดเป้าหมายได้แล้ว เราควรวางแผนที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้นด้วย เช่น ระบุสกิลที่เราต้องฝึกเพิ่มเติม รวมถึงระยะเวลาที่เราควรฝึกสกิลนั้น เป็นต้น รวมถึงควรติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายทุกเดือน และอย่าลืมแชร์เป้าหมายของตัวเองกับคนรอบตัวด้วย เพื่อรับแรงสนับสนุนและมีกำลังใจในการทำตามเป้าหมายต่อไป ไม่ทำผิดเรื่องเดิมซ้ำ ลองมองย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว เราทำอะไรผิดพลาดบ้าง เช่น จัดการเวลาผิดพลาด จนทำงานหนักเกินไป และไม่มีเวลาพักผ่อน หรือ ดูแลตัวเองน้อยไป จนสุขภาพเสีย เป็นต้น และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านั้น เมื่อเรารับรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ผิด
การปฏิเสธงานเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเสมอ เพราะหลายคนกลัวว่าการเซย์โน หรือ การโยนงานให้คนอื่น จะทำให้ตัวเองสูญเสียความน่าเชื่อถือ หรือ ทำให้ตัวเองดูไม่ดีในสายตาของเพื่อนร่วมงาน จนการงานไม่มีความมั่นคง สุดท้ายก็เลยรับงานที่ไม่พร้อมจะทำมาสะสมไว้ จนนาน ๆ เข้า เราก็ต้องปวดหัวกับ to-do list ที่ยาวเป็นหางว่าว และประกอบไปด้วยงานที่ดูดพลังอย่างแสนสาหัส เราจึงจำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้เรากำจัดงานที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิต นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรมี รายการของสิ่งที่ไม่ควรทำ (not-to-do-list) รายการของสิ่งที่เราไม่ควรทำ หรือ ควรหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด วิธีการทำ not-to-do-list สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการจัดการเวลา not-to-do-list จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยได้มาก เพราะมันเหมือนเป็นกรอบ หรือ ตัวช่วยเตือนเราถึงสิ่งที่ไม่ควรทำ เราจะกำจัดงานที่ไม่มีคุณค่าได้ง่ายขึ้น สามารถโฟกัสกับงานที่สำคัญได้มากขึ้น และท้ายที่สุดเราก็จะมีเวลาในการหายใจหายคอมากขึ้น มันยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้นิสัยแย่ ๆ (เช่น การผลัดวันประกันพรุ่ง หรือ การไม่กล้าปฏิเสธงานคนอื่น) ได้อย่างอยู่หมัด UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการทำ not-to-do-list ที่ทุกคนสามารถทำกันได้ง่ายแต่ให้ประโยชน์มหาศาล 1.เริ่มจากการกำหนดสิ่งที่ควรอยู่ใน not-to-do-list งานที่เราไม่ถนัด งานที่ทำให้เราไม่มีสมาธิ งานที่เราไม่จำเป็นต้องทำ งานที่เราให้คนอื่นทำแทนได้ งานที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา
เคยทำงานเสร็จเร็วกว่าเวลาที่มีกันไหม? ไม่ว่าจะเพราะเตรียมตัวมาดี มีประสบการณ์กับงานนี้แล้ว หรือบริหารเวลาได้มีประสิทธิภาพก็ตาม แต่เรา (และคนอื่น) มักไม่ชื่นชมคนทำงานเสร็จเร็วในแง่ดีนัก เพราะเมื่อทำงานเสร็จเร็วกว่าเวลาที่กำหนด นั่นหมายความว่าจะมีเวลาที่เหลือแล้วดูว่างหรือไม่มีอะไรทำ รวมไปถึงคนกลับบ้านตรงเวลา กับคนที่ถึงเวลาเลิกงานก็ยังไม่ยอมกลับ นั่งลุยต่อไปจนดึกดื่น คนที่ดูยุ่งขิงกับงานยันดึกดื่นค่อนคืนนั่นเองที่มักถูกมองว่าขยัน มุมานะ ฝ่าฟัน และนั่นจึงเป็นที่มาของการที่ใคร ๆ ก็อยากดูงานยุ่ง ดูมีอะไรทำตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ถูกคำครหา (ทั้งจากตัวเองและผู้อื่น) ว่าไอ้นี่ทำไมมันดูชิลจัง วัน ๆ ทำไมไม่ยุ่งเลยล่ะ? มันทำงานบ้างไหมวะเนี่ย! โดยลืมไปแล้วว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิทุกประการที่จะบริหารจัดการงานและเวลาของตัวเอง ความยุ่งจึงไม่ใช่สัญลักษณ์หรือบ่งบอกคุณภาพการทำงานได้เสมอไป แล้ววันนี้คุณยุ่งไหม? ยุ่งเพราะงานเยอะบริหารเวลาไม่ทัน หรือยุ่งเพราะอยากทำตัวยุ่ง ๆ ให้ดูมีงานทำอย่างหนัก? UNLOCKMEN อยากชวนมาสำรวจ และหาทางปรับพฤติกรรม รู้จัก Toxic Busyness เมื่อเราเสพติดความยุ่งที่ลวงตา Toxic Busyness หรือ ความยุ่งเป็นพิษ คือสภาวะที่มนุษย์เหมือนกันมุ่นอยู่กับการทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแพร่หลายในโลกยุคโมเดิร์นนี้ ไม่ใช่แค่กับการทำงานเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงกิจกรรมสารพัดสารพัน ออกกำลังกาย เรียนภาษา หัดเล่นเซิร์ฟ อ่านหนังสือ ซึ่งไม่ได้แปลว่าทั้งหมดมานี้ไม่ดีแต่อย่างใด แต่บางคนเลือกทำกิจกรรมหลายอย่างเพราะกลัวจะไม่ทันคนอื่น กลัวคนอื่นจะมองว่าเราอยู่นิ่ง
‘BURNOUT’ ไม่ใช่อาการใหม่ อาการหมดไฟนั้นเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทำงานอย่างเรา ๆ และเราต่างหาวิธีรับมือกับอาการหมดไฟที่มาเยือนอยู่ตลอดเพื่อให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ หลายคนเคยผ่านอาการหมดไฟมาได้หลายหน ราวกับได้เกิดใหม่ท่ามกลางเถ้าถ่านมอดดับ แต่หลายคนก็ไม่เคยเผชิญอาการหมดไฟมาก่อนในชีวิต จนกระทั่ง COVID-19 มาเยือน บรรยากาศการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน การย้ายสถานที่ทำงานจากออฟฟิศสู่พื้นที่พักอาศัย การต้องทำงานอย่างเดียวดายปราศจากเพื่อนร่วมงานรายล้อม หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวที่ไม่เข้าใจเวลาทำงานของเรา สิ่งเหล่านี้นำพาอาการ BURNOUT มาเยือนใครหลายคนที่ก็เคยมีไฟมาตลอด แล้วเราจะรับมือกับมันอย่างไรได้บ้าง? BURNOUT ใช่ไหม? หรือแค่เหนื่อยใจธรรมดา? ก่อนจะไปถึงวิธีการรับมืออาการหมดไฟเพราะการ Work From Home เป็นเวลานาน ๆ เราอยากชวนคุณมาสำรวจตัวเองไปพร้อมกันก่อนว่าสิ่งที่คุณเป็นนั้นคือความเหนื่อยในแต่ละวันที่พอจะคลี่คลายไปได้ถ้าได้พักผ่อนเพียงพอ หรือคืออาการ BURNOUT หลีกเลี่ยงงานขั้นหนัก: ความเหนื่อยล้าเกิดขึ้นได้ แต่ทันทีที่ได้พักผ่อนก็จางหายไป แล้วกลับมามีพลังเพื่อทำงานใหม่ให้ดีดังเดิม แต่หากคุณคือคนหนึ่งที่ทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงงาน อาจสังเกตว่าไม่อยากตอบอีเมลเจ้านายหรือเพื่อร่วมงานจนกล่องข้อความค้างเติ่งจำนวนมาก เข้าประชุมสายเสมอ หรือถ้าเป็นไปได้ก็จะหาข้ออ้างที่จะไม่เข้าประชุม รวมไปถึงอาการผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ งานนี้ยังไม่ต้องทำหรอกน่า งานนี้ขอเลื่อนส่งไปก่อนได้ไหม ความพยายามหลีกเลี่ยงงานอย่างหนักนี้เป็นอาการของการ BURNOUT ที่รุกคืบเข้ามา ทำงานแค่ให้รอด ไม่ได้ทำเพื่อคุณภาพ: วันนี้คุณทำงานเพื่ออะไร? ถ้าคำตอบของคุณคือก็ทำเพื่อให้รอดไปอีกวัน ทำเพื่อให้หัวหน้าเห็นว่าคุณยังมีงานในหนึ่งวัน คุณอาจเข้าข่าย BURNOUT ได้เช่นกัน เพราะงานที่มีคุณภาพ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ความสำเร็จ’ เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายการทำงานของผู้ชายหลายคน แล้วถ้าคุณหรือใครอยากประสบความสำเร็จบ้าง วิธีที่ง่ายที่สุดคือเลียนแบบชีวิตการทำงานของคนที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จ แต่หากลองทำตามคำแนะนำของ Warren Buffett, Oprah Winfrey หรือแม้แต่ Bill Gates แล้วยังไม่เวิร์ก วันนี้ UNLOCKMEN มีกิจวัตรง่าย ๆ มานำเสนอ รับประกันว่าถ้าทำได้ ชีวิตการทำงานของคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี หรืออาจเข้าใกล้ความสำเร็จในหน้าที่การงานมากขึ้นอีกก้าว อธิบายประเด็นหลักก่อนประชุม การประชุมแต่ละครั้งอาจไม่ใช่แค่ประชุมตามกำหนดการหรือถกเถียงประเด็นกันแบบไม่รู้จักจบสิ้น Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Twitter จึงแนะนำให้ส่งประเด็นผ่าน Google-Docs กับผู้เข้าร่วมประชุมก่อนเริ่มประชุมจริง ประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยให้คนในห้องประชุมเห็นภาพเดียวกันและเข้าใจเนื้อหาการประชุมเบื้องต้น แม้จะยังไม่ได้เข้าประชุม ทั้งยังทำให้พวกเขาได้คิดและวิเคราะห์เนื้อหาโดยใช้วิจารณญาณ อาจคอมเมนต์กันผ่าน Google-Docs ได้ทันที เอื้อประโยชน์ให้การประชุมราบรื่น ไม่ยืดเยื้อ และมีประสิทธิภาพสูง เรียนรู้ที่จะพูดคำว่า “ไม่” อีกเรื่องที่เราอยากให้หนุ่ม ๆ ทำกันจนเป็นกิจวัตร คือการเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า “ไม่” ในสถานการณ์จำเป็น เพราะบางครั้งคำว่า “ไม่” ไม่ได้แปลว่าคุณเกี่ยงงานหรือไร้ความสามารถเสมอไปหรอกนะครับ งานวิจัยของ
ผู้ชายแต่ละคนก็คงมีพฤติกรรมการทำงานที่แตกต่างกันไป บ้างชอบมาทำงานเช้าแล้วกลับเร็ว เร่งทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง เพื่อจะได้เหลือเวลาไปทำเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต ในทางกลับกันหนุ่มบางคนเป็นสายชิลที่ชอบมาสายหน่อย แต่ก็ทำงานได้เรื่อย ๆ จะอยู่จนดึกดื่นก็ไม่เกี่ยง เพราะชอบทำงานแบบเนิบช้ามากกว่าเร่งด่วน แต่ที่แปลกกว่านั้นคือมีมนุษย์ทำงานบางคนชอบทำงานไป ท่องโลกอินเทอร์เน็ตไป ทำงานได้ไม่ถึงสิบนาทีก็กด new tap แวะไปเล่นเฟซบุ๊กอีกห้านาทีค่อยกลับมาทำงานต่อ ไม่รู้ว่าพวกเขาสมาธิสั้นหรือไม่อยากเคร่งเครียดกับงานมากไปกันแน่ ในปี 2002 ทีมนักวิจัยของ The National University of Singapore สันนิษฐานว่าพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียในที่ทำงาน เป็นปัญหาใหญ่ที่อาจส่งผลให้พนักงานทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หลังจากนั้นก็มีงานวิจัยชิ้นอื่น ๆ สนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าวเช่นกัน ทำให้หลากหลายบริษัทพยายามหาแนวทางป้องกันไม่ให้พนักงานใช้อินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียระหว่างทำงานมากเกินไป ทั้งตรวจสอบการใช้อินเทอร์เน็ตและกำหนดนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัท การท่องโลกอินเทอร์เน็ตช่วยจัดการกับความเครียดได้? มีรายงานว่าชาวอเมริกันใช้เวลาประมาณ 10% ของเวลาทำงานไปกับการท่องโลกอินเทอร์เน็ต เล่นโซเชียลมีเดีย ส่งอีเมลหาเพื่อนสนิท และชอปปิงออนไลน์ แต่พฤติกรรมทั้งหมดนี้ไม่ได้สะท้อนว่าพวกเขาขี้เกียจหรือไม่ตั้งใจทำงานแต่อย่างใด เพราะผลสำรวจเผยว่าพฤติกรรมที่ชอบทำงานพลางท่องโลกอินเทอร์เน็ตพลาง ช่วยให้พนักงานรับมือกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตึงเครียดและกดดันได้เป็นอย่างดี ซึ่งนั่นอาจทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้ จากการสำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัย 258 คน ที่ทำงานอย่างน้อย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานของพวกเขา พบว่าการใช้อินเทอร์เน็ตในที่ทำงานเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัว อาจมีผลเชิงบวกต่อพนักงานและมีผลดีต่อการทำงานอย่างไม่น่าเชื่อ พนักงานที่ใช้เวลาท่องเว็บไซต์และเล่นโซเชียลมีเดียขณะทำงาน ให้ความเห็นว่าพวกเขาพึงพอใจในที่ทำงานและมีแนวโน้มจะลาออกจากงาน
“คนเก่ง” คือประเภทคนที่ทุกองค์กรล้วนต้องการตัว เพราะเชื่อว่าคนเก่งนั้นจะเข้ามาเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เมื่อได้คนเก่งระดับพระกาฬมาร่วมงานกับองค์กรแล้วกลับไม่เป็นอย่างที่หวังเสมอไป เพราะคนเก่งนั้นอาจหาหาได้ แต่เพราะเก่งอยู่คนเดียวอาจยังไม่พอ แล้วเก่งแบบไหนถึงจะเรียกว่าเก่งแบบมีประสิทธิภาพ? เก่งแบบไหนถึงจะไม่เก่งอยู่ลำพัง แต่เก่งแล้วเติบโตไปพร้อมกับทีมและองค์กรได้? มาสำรวจคุณสมบัติคนเก่งในทีมของเรา หรือสำตัวเอง (หากเราคิดว่าเราเก่ง) ว่าเก่งอย่างมีประสิทธิภาพแล้วหรือไม่? ในวันที่สมรภูมิการทำงานและการแข่งขันทางธุรกิจดุเดือดแบบนี้ แค่เก่งคงไม่พอ และเก่งอยู่คนเดียวก็คงไม่รอด เก่งแล้วต้องสื่อสารรู้เรื่อง การสื่อสารถือเป็นสกิลสำคัญที่เชื่อมโยงคนทำงานไว้ด้วยกัน เพียงเสี้ยวเดียวที่สื่อสารผิดพลาดไป อาจทำให้อะไร ๆ ผิดแผนไปไกลโข ดังนั้นการได้คนเก่งมาทำงานกับองค์กรถือเป็นโอกาสอันดีไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ถ้าผสมสกิลการสื่อสารเข้าไปจะยิ่งเก่งอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าคนเก่งนั้นสามารถทำงานตัวได้เก่งกาจ แต่ไม่อาจอธิบายหรือสื่อสาร ส่งต่อให้กับทุกคนในองค์กรได้ โดยเฉพาะคนเก่งเฉพาะด้าน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องที่อาจมีคำศัพท์หรือความรู้เฉพาะแบบ ยิ่งต้องสื่อสารให้เข้าใจง่าย และอธิบายให้คนอื่นสามารถไปทำงานต่อหรือทำงานร่วมกันได้จริง สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน ลองศึกษาวิธีง่าย ๆ ได้ที่ เก่งและพูดรู้เรื่อง “5 วิธีพูดเรื่องยากให้คนอื่นเข้าใจง่าย”ไม่ใช่อธิบายเข้าใจอยู่คนเดียว เก่งแล้วต้องบริหารจัดการเวลาให้อยู่หมัด เพราะโลกทุนนิยมนั้นโหดร้าย ปริมาณงานไม่เพียงแต่ต้องมีคุณภาพดีเท่านั้น แต่ต้องแข่งขันกับเวลาอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะในยุคที่อินเทอร์เน็ตคือส่วนหนึ่งของชีวิต อะไร ๆ ก็ดูจะไหลไปเร็วเสมอ ทั้งในแง่การทำงาน และในแง่การปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปกับความบันเทิงผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต ดังนั้น Time Management ถือเป็นอีกสกิลสำคัญแห่งทศวรรษ ที่ใครเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการตัวเองได้มีประสิทธิภาพกว่าก็สามารถเก่งได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าด้วยเช่นกัน
‘ออฟฟิศ’ เป็นสถานที่ที่สัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเราเป็นที่สุด เพราะเราใช้เวลาอยู่ที่นี่ร่วม 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถ้านับดูดี ๆ ก็มากถึง 1 ใน 3 ของวัน แต่น่าแปลกที่หนุ่มออฟฟิศบางคนกลับใช้เวลาทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงเสียอีก และยิ่งแปลกไปกว่านั้นเมื่อพวกเขาดันคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ผู้ชายบางคนทำงานในองค์กรที่มีเวลางานยืดหยุ่น และคุ้นชินกับการมาทำงานสายจนทำให้งานไม่เสร็จ แต่ใจก็ไม่อยากหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้าน เลยต้องนั่งทำงานต่อจนกินเวลาเกินกว่า 8 ชั่วโมง นอกจากพฤติกรรมนี้จะสะท้อนว่าคุณไม่สามารถจัดสรรเวลาทำงานได้อย่างเหมาะสมแล้ว มันอาจบ่อนทำลายชีวิตแบบ productive และทำลายความสุขในการทำงานของคุณจนไม่เหลือชิ้นดีอีกด้วย วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมาชี้เป้า 5 อุปสรรคในออฟฟิศที่คุณควรกำจัดมันให้สิ้นซาก เพื่อให้คุณได้ใช้ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพ! อุปสรรคที่ 1: สภาพแวดล้อมในการทำงาน แม้ออฟฟิศแบบเปิดโล่งจะได้รับความนิยมในสมัยนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบออฟฟิศสไตล์นี้ เพราะหายนะของออฟฟิศแบบเปิดโล่งคือการที่คุณต้องทนฟังเสียงคนอื่นคุยกันไปมาข้ามหัวคุณตลอดทั้งวัน ไม่เพียงบั่นทอนสมาธิในการทำงาน แต่อาจทำให้คุณทนไม่ไหวและเผลอไปร่วมวงสนทนากับพวกเขาต่ออีกด้วย วิธีแก้ง่าย ๆ คือหาหูฟังเปิดเพลงดัง ๆ อุดหู หรือปลีกตัวออกไปทำงานในมุมสงบ ๆ จะช่วยให้คุณสามารถทำงานต่อได้อย่างลื่นไหล แม้ต้องอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงาน (ที่ต้องใช้สมาธิ) ก็ตาม อุปสรรคที่ 2: โซเชียลเน็ตเวิร์ก ถ้างานของคุณไม่จำเป็นต้องติดต่อสื่อสารหรือตอบอีเมลตลอดเวลาก็คงจะดีไป
“หากปราศจากความเชื่อใจ ความเป็นทีมก็ไร้ความหมาย” Paul Santagata ผู้เป็น Head of Industry แห่ง Google กล่าวไว้แบบนี้ และเราก็เห็นด้วยแบบปราศจากข้อกังขา คำพูดนี้ยังเชื่อมโยงกับทีมที่ทำงานมีประสิทธิภาพสูง ๆ ส่วนใหญ่มีสิ่งหนึ่งที่ตรงกันคือ “ความรู้สึกมั่นคงทางใจ” ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า“ความมั่นคงทางใจ”เชื่อมโยงกับความคิดสร้างสรรค์ การกล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าที่ทำงานที่เรามัวแต่กลัว กังวล ไม่มั่นใจว่าพูดอะไรก็ผิด พูดอะไรก็โดนต่อว่า โดนจ้องโจมตีตลอดเวลา จนเราไม่สามารถเชื่อใจหรือมั่นใจได้อีกต่อไป สมองเราจะค่อย ๆ หยุดกระบวนการคิดหรือสร้างสรรค์ไปแล้วเอาแต่คิดว่าทำยังไงถึงจะเอาชนะได้เท่านั้น ซึ่งถ้าทุกคนในทีมคิดแต่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ก็คงไม่ต้องพูดถึงคุณภาพงานอีกต่อไปว่ามันจะห่วยลงแค่ไหน “ตื่นไปทำงานหรือตื่นไปรบ?” ถามตัวเองก่อนจะสายเกินไป ในทางกลับกัน ถามตัวเองสิว่าวันนี้เราตื่นขึ้นมาไปทำงานด้วยความรู้สึกแบบไหน? ถ้ามีความสุขเต็มเปี่ยมอยากไปทำงานที่รักเต็มที่ดีใจด้วยที่คุณรู้สึกมั่นคงทางใจกับงานตรงหน้า แต่ถ้ากำลังรู้สึกว่าการทำงานไม่ต่างอะไรจากการเดินเข้าสนามรบหรือสังเวียนต่อสู้ ต้องไปฟาดฟันเอาชนะกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าอย่างหนักตลอดเวลา แถมเป็นการสู้ที่ไม่ได้เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า แต่คล้ายว่าต้องสู้เพื่อหาว่าใครแพ้ใครชนะ ใครผิดใครถูกตลอดเวลา เสียใจด้วยคุณอาจกำลังอยู่ในทีมที่ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยทางใจให้ และมันคือส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของคนทั้งทีมห่วยลง! แต่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ทุกปัญหามีทางออก ในเมื่อเรารู้แล้วว่า“ความรู้สึกมั่นคงทางใจ”เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ทีมทำงานได้มีประสิทธิภาพ เรายิ่งต้องสร้างพื้นที่และบรรยากาศการทำงานให้เป็นแบบนั้น เพราะไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหัวหน้างาน คนทำงาน หรือตำแหน่งไหน เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของทีมและองค์กรทั้งนั้น องค์กรควรจะเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนทำงานรู้สึกท้าทาย แต่ไม่ใช่รู้สึกไม่ปลอดภัย พร้อมปะทะและเอาอีกฝ่ายให้ถึงตายตลอดเวลา ถ้าอยากสร้างความมั่นคงทางใจไม่ใช่สนามรบ