คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการมาของเทคโนโลยี A.I. (Artificial Intelligence ) หรือโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ ที่มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ประมวลผลเชิงลึก นั้นได้พลิกโฉมการใช้ชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ให้สะดวกสบายง่ายดายขึ้นในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะด้านการแพทย์ การศึกษา การคมนาคม ธุรกิจอาหาร / การเกษตร หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า แกดเจ็ต สมาร์ตดีไวซ์ต่าง ๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยี A.I. เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานอย่างพวกเราให้ได้มากที่สุด และแน่นอนว่าอุปกรณ์สมาร์ตโฟนที่พวกเราทุกคนพกพาเอาไว้เป็นผู้ช่วยสารพัดประโยชน์ เป็นได้ทั้งเครื่องมือติดต่อสื่อสาร, ตัวช่วยในการทำงาน, อุปกรณ์ให้ความบันเทิง รวมไปถึงเป็นกล้องถ่ายรูปคู่ใจ ก็ได้ถูกยกระดับความฉลาดให้สามารถเรียนรู้, ประมวลผล และถ่ายทอดออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ ตรงใจ ตอบสนองการใช้งานที่สะดวกง่ายดายมากยิ่งขึ้น ซึ่ง OnePlus Nord 2 5G สมาร์ตโฟนรุ่นต่อยอดความสำเร็จของ OnePlus Nord รุ่นแรกเมื่อปีก่อน ก็ได้นำเอาความล้ำของเทคโนโลยี A.I. มายกระดับความสามารถเพื่อสานต่อเจตนารมย์ของ Nord รุ่นพี่ที่ชูจุดเด่นความเป็น Lite Flagship Smartphone สมาร์ตโฟนสเปกล้ำที่ใครก็เป็นเจ้าของได้ ด้วยนิยามใหม่อย่าง A.I.
ด้วยความรุดหน้าของเทคโนโลยีหน้าจอแสดงผลบางเฉียบ ที่สามารถพับ บิด งอ ได้อิสระ ทำให้ในปัจจุบันพวกเราต่างได้เห็นอุปกรณ์ Smart Device ที่มาพร้อมรูปร่างหน้าตา และฟังก์ชันการใช้งานใหม่ ๆ มากมาย หลายสิ่งที่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องของโลกอนาคตอีกยาวไกล ก็มีมาให้ได้เห็น ได้ใช้กัน ณ ปัจจุบันแล้วมากมาย อย่างที่หลายคนน่าจะได้ผ่านตากันมาบ้างแล้วกับสมาร์ทโฟนจอพับได้จากหลากหลายแบรนด์ดัง ไม่ว่าจะเป็น Samsung Galaxy Z Fold2, Huawei Mate X, Motorola Razr ฯลฯ ไหนจะมีที่ล้ำไปอีกขั้นอย่าง OPPO X 2021 ต้นแบบมือถือจอม้วนสามารถยืดหดเพื่อขยายขนาดหน้าจอได้ดั่งใจ และต้องบอกเลยว่าความสนุกของเทคโนโลยีสุดล้ำนั้นยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะล่าสุดในงานเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ของเบอร์ต้น ๆ ในวงการจอทีวีที่กำลังสยายปีกมาบุกตลาดมือถืออย่าง TCL เมื่อวันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมา ได้มีการเผยโฉม Concept Phone อย่าง TCL Fold n’ Roll สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมคุณสมบัติหน้าจอพับได้ และม้วนได้ในเครื่องเดียว โดย TCL
ถ้าจะให้มองหาผู้ท้าชิงฝั่งแอนดรอยด์ที่จะมาต่อกรกับ iPhone SE 2020 มือถือรุ่นคุ้มค่าของทางค่ายแอปเปิ้ลได้อย่างสมน้ำสนเนื้อ บอกเลยว่าสาวกแอนดรอยด์ทั้งหลายไม่ต้องรอนาน เเพราะตอนนี้ Google Pixel 4a สมาร์ทโฟนเพียวแอนดรอยด์รุ่นใหม่จากทาง Google ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ในสเปคกล้องแบบเรือธง แต่ราคามิตรภาพ ความเจ๋งของมือถือเพียวแอนดรอยด์อยู่ที่ เป็นมือถือที่ทาง Google ผลิตขึ้นเอง และใช้ระบบปฏิบัติการแบบเพียวแอนดรอยด์แท้ ๆ ไม่มี UI มาครอบทับ ทำให้หน้าตา UI ของมันดูใช้งานง่าย และดูมีความสมูทกว่ามือถือ Andriod แบรนด์อื่น ๆ และที่สำคัญที่สุด เป็นมือถือรุ่นแรก ๆ ที่ได้รับการอัพเดท software จากทาง Google อยู่ตลอดเวลา สเปค Google Pixel 4a มากับชิปเช็ต Snapdragon 730G / แบตเตอรี่ 3140mAh / จอ OLED ขนาดหน้าจอ 5.81 inch
นอกจากเซ็กซ์จะเป็นสับเซตของความรักและเป็นหนึ่งส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ของบางคู่ บนโลกนี้ยังมีเซ็กซ์แบบฉาบฉวยหรือที่เราเรียกกันว่า “Hookup” แม้คำนี้จะไม่ได้นิยามถึงเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่ความหมายแฝงของมันคือ casual sex รูปแบบหนึ่งที่เน้นการทาบทับสอดใส่แบบที่ผู้ชายหลายคนโปรดปราน Hookup ถือเป็นข้อตกลงร่วมกันของคนสองคนว่าจะนัดเจอกันเพื่ออะไร อาจเจอกันเพื่อเรียนรู้และสร้างความสนิทสนม หรือเจอเพื่อเรื่องอย่างว่า เพื่อเซ็กซ์ชั่วข้ามคืนที่ไม่ผูกมัด ไม่ผูกพัน และไม่ต้องสานความสัมพันธ์หวานต่อกันหลังจบศึก กว่าที่จะได้แอ้มสาวสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณต้องเอาตัวเองไปอยู่ตามผับบาร์ ส่งสายตาเว้าวอนจากมุมไกล และเดินเข้าไปชนแก้วพลางชวนคุยสารพัดเรื่อง แต่ใช่ว่าวิธีนี้จะได้ผลกับผู้ชายทุกคน เพราะมันต้องอาศัยความกล้าบ้าบิ่นและหน้าด้านในระดับหนึ่งเลย หนุ่มบางคนจึงเลือกจะนัด Hookup กับสาว ๆ ผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟน ไม่ต้องเดินเข้าไปทัก ไม่ต้องเก๊กทำตัวเท่ เพียงแค่สาวคนนั้นอยู่ในระยะวงกลมที่คุณเป็นศูนย์กลาง ก็นัดเจอกันได้แล้ว นับตั้งแต่ Mickey Gilley นักร้องคันทรี่คนดังปล่อยเพลงฮิตในปี 1975 ที่ร้องว่า “the girls get prettier at closing time” นักจิตวิทยาอย่างน้อยสี่ทีมก็เข้าไปในบาร์และไนต์คลับเพื่อพิสูจน์ว่าเนื้อเพลงนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า มีผลสำรวจอ้างว่าผู้ชายและผู้หญิงจะดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากขึ้น เมื่อถึงเวลาที่บาร์ใกล้จะปิดบริการ ทฤษฎีนี้ถูกเรียกว่า “The Closing-time Effect” เช่นเดียวกับเนื้อเพลงของนักร้องคนดังกล่าว และเป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าถ้าโอกาสในการหาคู่ลดลง อาจทำให้ความคิดหรือรสนิยมของคนเปลี่ยนไปด้วย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Sexuality
เพราะทุกสิ่งรอบตัวมีเรื่องเล่า ทันทีที่ผู้ชายอย่างเราก้าวออกจากบ้าน เราเลือกได้ว่าจะมองทุกสิ่งรอบตัวเพียงเพื่อให้มันผ่านเลยไปในแต่ละวัน หรือจะเลือกปลดล็อกตัวเองด้วย “ความคิดสร้างสรรค์” หรือ “Creativity” ที่จะทำให้เรามองทุกสิ่งในนิยามใหม่ บันทึกเรื่องเล่าจากสิ่งรอบตัวในมุมต่างออกไปอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน หากจะพูดถึงการใช้ “ความคิดสร้างสรรค์” หรือ “Creativity” มองหาเรื่องเล่าจากสิ่งรอบตัวเพื่อบันทึกและถ่ายทอดจากมุมของเรา คงหนีไม่พ้นการถ่ายภาพแนวสตรีตอย่างแน่นอน เพราะแต่ละภาพแฝงไปด้วยการพลิกมุมมอง การฟังเสียงของสรรพสิ่ง การเห็นในสิ่งที่คนอื่นอาจเผลอละเลย เราจึงพามาหาคำตอบของคำว่า “ความคิดสร้างสรรค์” หรือ “Creativity” กับ คุณพงษ์-ทวีพงษ์ ประทุมวงษ์ ช่างภาพสตรีตผู้ได้รับการยอมรับทั้งระดับประเทศและระดับโลก หลายคนอาจสงสัยว่าภาพสุดครีเอทีฟฝีมือคุณพงษ์ที่เราเห็นอยู่นี้มีเรื่องเล่าแบบไหนซ่อนอยู่? ช่างภาพต้องการสื่อสารอะไรกับเรา? และภาพนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? “ผลลัพธ์ของรูปภาพเรา คือ การตั้งคำถามกับคนดู นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยกับโมเมนต์นี้ ทำไมเด็กคนนี้ถึงบินได้ ทำไมลุงคนนี้ถึงกำลังล้ม มันคือความลึกลับ ความตลก นี่แหละมันคือความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้น” การจับโมเมนต์ที่เกิดขึ้นให้ทันนี่เองเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดภาพอันสร้างสรรค์และสามารถถ่ายทอดเรื่องเล่าผ่านภาพได้ แม้นิยามของความคิดสร้างสรรค์จากแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่ในสายตาช่างภาพสตรีตอย่างคุณพงษ์ก็มีความหมายที่น่าสนใจ “สำหรับเราความคิดสร้างสรรค์คือกระบวนการในการออกไปทำอะไรบางอย่างที่มันใหม่ ๆ” อาจพูดได้ว่านิยาม “Creativity” ของคุณพงษ์ช่างภาพสตรีตมากฝีมือคือการหาไอเดียที่ดีควบคู่กับการออกไปเจออะไรใหม่ ๆ ไม่ให้ตัวเองรู้สึกเบื่อหรือวนอยู่กับอะไรซ้ำ ๆ เพราะการออกไปเจอสิ่งที่ต่างออกไป การออกไปทำอะไรใหม่ ๆ จะช่วยจุดประกายความคิดของเราได้ แต่เราก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าโมเมนต์ที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพสตรีตที่ทำให้ได้ภาพสุดครีเอทีฟในสายตาคุณพงษ์คืออะไร? “บางเหตุการณ์มันมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต มันมักจะเป็นโมเมนต์ที่พิเศษ
ทุกวันนี้การถ่ายภาพกลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรพื้นฐานที่ผู้ชายอย่างเราต้องทำทุกวัน ถ้าไม่ถ่ายเพื่อใช้งานเองส่วนตัว ก็ต้องถือถ่ายให้คนอื่น ดังนั้นสมาร์ตโฟนจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่เราต้องใช้ถ่ายภาพอยู่เสมอ แต่บางครั้งสมาร์ตโฟนที่เราเลือกมาก็ไม่ได้ออกแบบมาให้มีคุณสมบัติถ่ายรูปได้เฉียบเท่ากับรุ่นใหม่ ๆ ที่สร้างฟังก์ชันมาเพื่อการถ่ายรูปโดยเฉพาะ ล่าสุดจึงมีคนรู้ใจออกแบบเคสโทรศัพท์มาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ เราจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ทั้งที่เครื่องเก่าก็ยังใช้งานได้ดีเพราะติดปัญหาเรื่องกล้อง Pictar คือเคสอุปกรณ์เสริมที่สามารถเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องเดิมที่ถ่ายรูปแสนห่วย noise กระจายของเราให้กลายเป็น DSLR ตัวย่อมได้ทันทีที่ใช้ เพื่อให้เราสามารถถ่ายภาพทั่วไปหรือเซลฟี่ได้ดียิ่งขึ้นเพียงแค่สวมทับ ไม่เพียงแค่คุณภาพและฟังก์ชันที่ติดมากับอุปกรณ์ แต่สัมผัสการใช้งานเองก็ยังเลียนแบบออกมาเสียเหมือน เพราะมีกริ๊ฟสำหรับจับกันลื่น ช่วยกันกระแทกเวลาเครื่องหล่นได้ แถมปุ่มด้านบนให้หมุนปรับเลือกฟังก์ชันการถ่ายภาพได้แบบเดียวกับการใช้ DSLR ตั้งค่าได้หมดเนื่องจากมีโหมดไว้ปรับทั้งแสง การซูม หรือค่า ISO ตามต้องการ นอกจากนี้ วิธีเชื่อมอุปกรณ์เพื่อใช้งานยังเป็นการทำงานผ่านคลื่นเสียงความถี่สูงที่เกิดจากการกดปุ่ม โดยแต่ละปุ่มจะให้เสียงต่างกันและซิงค์กับโหมดการใช้งาน จึงทำให้ไม่ดึงพลังงานแบตเตอรี่จากสมาร์ตโฟนของเราระหว่างการใช้งานด้วย เลยเป็นข้อดีที่พวกเราสามารถใช้งานได้แบบไม่ต้องกลัวว่าจะถ่ายภาพสะดุดเพราะแบตฯ หมด สำหรับสายเดินทางที่อยากตั้งกล้องถ่ายแลนสเคปสวย ๆ เพราะกลัวมือสั่น หรือเก็บภาพกลางคืน ทาง Pictar ก็ยังออกแบบทั้งขาตั้งกล้อง แฟลชแยก และไมโครโฟน (กรณีที่เราอยากถ่ายวิดีโอ) มาขายเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้คู่กัน เรียกได้ว่าเลียนแบบ DSLR จริงมาทุกกระเบียดนิ้ว ใครอยากจะเสริมตัวไหนก็เลือกไปใช้คู่กันได้เลย ส่วนใครที่อยากเปรียบเทียบว่าการใช้งานของมันจะดีสมราคาจริงหรือเปล่า ลองดูวิธีใช้งานได้จากจริงด้วยคลิปด้านล่างนี้จะเห็นภาพชัดกว่า ท้ายนี้ ถ้าใครอยากได้ไว้ในครอบครองแนะนำว่าต้องรีบซื้อในเว็บไซต์ของ The Mashable shop
ผู้ชายทุกคนที่ถือสมาร์ตโฟนในมือคงรู้ดีว่าต่อให้ใช้กระจกสุดอึดหรือเคสราคาแพงแค่ไหน สุดท้ายพอหลุดมือกระแทกลงพื้น หน้าจอก็มีสิทธิร้าวอยู่ดี พวกเราทีมงาน UNLOCKMEN เองก็เจอปัญหานี้บ่อยแต่ยังแก้ไม่ตก ที่สำคัญพอมันร้าวเริ่มเยอะ ไอ้ครั้นจะทนใช้ไปก่อนก็กลัวบาดใบหน้าหล่อ ๆ ตอนแนบใช้งาน เลยต้องยอมจำนนเสียเงินเปลี่ยนเครื่องใหม่อย่างไม่รู้จบ ท่ามกลางความรู้สึกช้ำใจที่ต้องเสียสองทางทั้งเงินทั้งของ นักศึกษาหนุ่มคณะวิศวะจากแดนเบียร์ที่ชื่อ Philip Frenzel ที่เจอปัญหาไม่ต่างจากเราก็คิดค้นเคส airbag อัจฉริยะขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้ และผลงานของเขายังได้รับรางวัลชนะเลิศจาก German Society for Mechatronics ซึ่งเป็นรางวัลที่คัดเลือกโปรเจ็กต์น่าสนใจจากเด็กนักเรียนทั้งประเทศด้วย ตัวอย่างผลงานถ้ามองจากด้านข้างหลายคนคงมองภาพไม่ออกว่ามันใช้ยังไงและดีแค่ไหน เพราะหน้าตามันช่างเหมือนโต๊ะกินข้าวขนาดย่อม ๆ เหลือเกินดูยังไงก็ไม่อยากใช้ แต่ถ้ามองจากภาพมุมท็อปขณะปล่อยมือถือให้หลุดมือไปแล้วล่ะก็ รับรองว่าคุณต้องมองมันด้วยตาลุกวาวเหมือนเราแน่นอน เพราะว่าเจ้าเคสชิ้นนี้มันมีเซ็นเซอร์กางโลหะที่เคยแบนราบติดอยู่บริเวณมุมทั้งสี่ของสมาร์ตโฟนให้ออกมาเป็นรูปร่างโค้งทั้งด้านบนและด้านล่าง 8 ชิ้น ทำหน้าที่ดุจสปริงดีดตัวกันกระแทกก่อนจะ landing ลงพื้นทำให้ไม่ได้รับรอยขีดข่วนสักแอะ หลังกางแล้วถ้าอยากใช้สมาร์ตโฟนตามปกติอีกครั้ง วิธีใช้งานแค่พับสปริงกลับเข้าไปในซองหนังเพื่อล็อกก็เรียบร้อย อย่างไรก็ตามนวัตกรรมชิ้นนี้ยังเป็นที่ถกเถียงเรื่องตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจมีผลกับการใช้งาน ทั้งเรื่องระดับความสูงที่เซ็นเซอร์ทำงาน หรือความเลวร้ายถ้าเกิดจู่ ๆ มันดันกางทั้งที่เราไม่ได้อยากให้กางตอนอยู่ในกระเป๋าคงเป็นภาพที่ดูไม่คูลเสียเลย เพิ่มดอกจันไว้ว่าเจ้า airbag ชิ้นนี้เป็น Prototype เท่านั้นยังไม่ได้ผลิตออกมาขาย แต่ผลตอบรับที่ดีเกินคาดก็ทำให้น้องเขาวิ่งไปจดสิทธิบัตรกันก๊อปเรียบร้อยแล้ว ส่วนอนาคตอันใกล้เชื่อว่าผลงานชิ้นนี้ของเขาจะไปโผล่ในรายการระดมทุนเพื่อประดิษฐ์ใน kickstarter ต่อไป ยังไงก็ต้องไปติดตามฟังข่าวดีกันอีกที
ถ้ามีการทำกราฟแสดงระยะเวลาที่มือของเราใช้งาน Smartphone ในแต่ละวัน เชื่อว่าแท่งกราฟคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสองสามเท่าตัวถ้าเทียบกับในสมัยก่อน ด้วยความเปลี่ยนแปลงทางการใช้ชีวิต ที่ยกทุกอย่างไปไว้ใน Smartphone ให้เราใช้ชีวิตได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแม้แต่ท่านั่ง รวมถึงการเสพติดเรื่องราวบนโลกออนไลน์ ทำให้ทุกวันนี้เรามีการสัมผัส Smartphone มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะยามยืน เดิน นั่ง โดยที่เราไม่รู้ตัว ผลเสียของการเสพติด Smartphone มากเกินไปนั้นมีอยู่มากมายอย่างที่เรารู้กันบ้างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมาธิที่สั้นลง ความเครียดจากการเห็นชีวิตดีเกินจริงของคนอื่น ผลเสียทางประสาทสัมผัสจากท่านั่ง การโน้มคอ ข้อนิ้ว สายตา ออกห่างจากสังคม การนอนหลับ และอื่น ๆ อีกมากมาย นี่จึงเป็นสาเหตุและเหตุผลที่งาน Design ต้องเข้ามามีบทบาท เพราะโดยพื้นฐานแล้ว Design ไม่ใช่เกิดขึ้นมาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่การแก้ปัญหาการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของการออกแบบด้วยเช่นกัน KLEMENS SCHILLINGER นักออกแบบชาว Vienna เมืองหลวงของประเทศ Austria มองว่า Smartphone Acciction ก็เป็นอาการเสพติดไม่ต่างกับยาเสพติดชนิดอื่น ถ้าเสพมากเกินไปก็ทำให้เกิดผลเสียรุนแรงได้ จึงเกิดไอเดียที่จะบำบัดอาการเสพติดนี้ ด้วยการสร้างโปรเจค Substitute
ถ้าพูดถึงจอสมาร์ทโฟนใหญ่แบบสะใจ ใช้งานได้ราบรื่น หลายคนอาจนึกถึงจอไร้ขอบซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะตั้งแต่ Galaxy S8 เริ่มเปิดตัวจอแบบไร้ขอบ หลายแบรนด์ก็ลุยออกสินค้าไปทางเดียวกันแทบจะทั้งหมด ตั้งแต่ Note 8 ไปจนถึง Vivo, iPhone X ฯลฯ มันเลยกลายเป็นว่าเทคโนโลยีจอใหญ่ไร้ขอบ ไม่ได้ดูว้าวและน่าตื่นเต้นอีกต่อไป ซึ่งล่าสุด UNLOCKMEN ก็ขออัพเดทนวัตกรรมสมาร์ทโฟนที่เพิ่มความสามารถการใช้งานด้านจอแบบสะใจ แต่ไม่ใช่จอไร้ขอบ กับแบรนด์ ZTE ที่แม้ว่าชื่ออาจไม่คุ้นตาหรือโด่งดังในบ้านเราสักเท่าไหร่ แต่นวัตกรรมล้ำหน้าครั้งนี้ไม่แพ้ค่ายไหน ๆ แน่นอน กับผลิตภัณฑ์ใหม่สะเทือนวงการสมาร์ทโฟนด้วยการเปิดตัว Axon M สมาร์ทโฟนจอคู่ “พับได้จริง” Axon M สมาร์ทโฟนสุดเจ๋งที่มาพร้อมกับหน้าจอ IPS LCD ขนาด 5.2 นิ้ว (เมื่อขยายเต็ม 2 จอจะมีขนาดใหญ่ 6.75 นิ้ว) ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล สามารถพับจอ ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นแท็บเล็ตขนาดสะดวกมือได้อย่างง่ายดาย โดยไม่เพียงแต่รูปลักษณ์น่าสนใจแล้ว ฟังก์ชั่นการใช้งานด้านในก็ไม่แพ้ด้านนอกเช่นกัน
หันไปทางไหนตอนนี้ ก็เริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในด้านความก้าวหน้าของเทคโนโลยี อย่างเช่นการเปลี่ยนอุปกรณ์หลายตัวไปสู่ระบบไร้สายแบบเต็มตัว ถ้าเป็นเมื่อ 5-10 ปีก่อนคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงสักเท่าไหร่ เพราะตัดสายทิ้งมันจะส่งสัญญาณได้ดีกว่ามีสายได้ยังไงกัน แต่ในตอนนี้กลับกลายว่ามันเป็นเรื่องปกติทั่วไปซะแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเรา ก็เลือกมองหาอุปกรณ์ที่ใช้งานไร้สายซะเป็นส่วนใหญ่ เพื่อความสะดวกสบายในการพกพาอุปกรณ์ ยิ่งสมัยนี้คนเราไม่ได้เกาะยึดติดอยู่กับที่ตลอดเวลา เพราะงั้น UNLOCKMEN จะมาแนะนำอุปกรณ์ชาร์จไร้สายสุดเจ๋ง ที่รองรับระบบไร้สายได้อัจฉริยะกว่ารุ่นอื่น ๆ ในตลาดได้แบบชิดซ้าย โดยที่เรากำลังจะพูดถึงนี่เป็น Pi ที่ชาร์จไร้สายสุดเจ๋ง แบบที่ไม่ต้องวางบนแท่นชาร์จเหมือนกับเจ้าอื่น ๆ (แบบที่ต้องวางไว้บนแท่นชาร์จมันไร้สายก็จริง แต่ก็ต้องอยู่ในตำแหน่งที่จัดเตรียมของเครื่องชาร์จ) แต่เจ้าตัว Pi สามารถวางห่าง 1 ฟุตก็ยังชาร์จไฟได้แบบปกติ ไม่ต้องมีแท่นชาร์จให้กวนใจ Pi เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงจากบริษัท Startup ทีมศิลป์เก่า MIT ที่ระดมหัวช่วยกันคิดค้นแท่นชาร์จไร้สายแบบตั้งโต๊ะที่ไม่ว่าจะเป็น Tablet หรือ SmartPhone ก็สามารทชาร์จไฟได้ปกติแม้จะทิ้งระยะว่างห่างจากตำแหน่งที่แท่นตั้งอยู่ก็ตาม แม้ว่าจะไม่มีแท่นชาร์จแต่ก็ต้องใส่เคสที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตัวเทคโนโลยีการชาร์จแบบ Resonant Induction โดยหลักการทำงานของเทคโนโลยีมีเบื้องหลังก็คือ Algorithm Beam-Forming ที่จะทำการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ต้องการชาร์จไฟได้โดยตรง ไม่ว่าจะอยู่ในทิศทางหรือตำแหน่งไหนรอบด้าน ก็สามารถชาร์จได้ ซึ่งก็ทำให้เราเห็นข้อดีของมันได้แบบชัดเจนคือ