ทุกวันนี้โลกอินเทอร์เน็ตกลายเป็นชีวิตที่ขาดไม่ได้ของหลายคนไปแล้ว บางคนเสพติดการเล่นโทรศัพท์จนต้องพกมือถือติดตัวตลอดเวลา หรือ บางคนอัพเดทโซเชียลมีเดียทุกวัน เพราะกลัวว่าจะพลาดข่าวสารอะไรบางอย่างไป แม้โลกออนไลน์จะช่วยให้เราสามารถรับข้อมูลข่าวสารทั่งโลกได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็ทำให้คนเกิดพฤติกรรมแย่ ๆ เหมือนกัน เช่น การเสพติด หรือ พฤติกรรมการอ่านข่าวร้ายแบบไม่หยุด หรือ Doomscrolling ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเราอย่างมาก อะไร คือ Doomscrolling Droomscrlloing หมายถึง การไถ่หน้าจอเพื่อเสพข่าวและโพสโซเชียลที่มีเนื้อหาเชิงลบอย่างต่อเนื่อง แบบอ่านข่าวร้ายจบหนึ่งเรื่องก็ไม่รอช้าที่จะอ่านข่าวต่อไปทันที คำนี้ได้รับการพูดถึงในโลก Twitter ตั้งแต่ปี 2018 แต่ปัจจุบันก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากเกิดโรคระบาด บางคนอาจเรียกอาการนี้ในชื่ออื่นด้วย เช่น Doomsurfing หรือ ‘Social Media Panic’ อาการนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ไม่อยากพลาดข่าวสารที่สำคัญ อยากหาข้อมูลที่มายืนยันความเชื่อของตัวเอง การรู้ข้อมูลจะทำให้ควบคุมชีวิตตัวเองได้ง่ายขึ้น ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร Doomscrolling ก็บั่นทอนจิตใจเราอย่างแสนสาหัสอยู่เหมือนกัน เพราะ Doomscrolling ส่งเสริมให้เรามองโลกในแง่ลบ และยังทำให้เราอ่อนแอต่อความกลัว ความเครียด วิตกกังวล และโศกเศร้ามากกว่าปกติอีกด้วย ถ้าเรามีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับอาการวิตกกังวลเช่น Obsessive-Compulsive
แม้ความเป็นส่วนตัวจะเป็นเอกสิทธิ์สำหรับใครคนใดคนหนึ่งในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่เมื่อไรที่คุณย่างก้าวสู่โลกดิจิทัลและใช้ชีวิตผูกโยงกับโซเชียลมีเดีย ‘ความเป็นส่วนตัว’ และ ‘ความเป็นสาธารณะ’ อาจมีเพียงเส้นบาง ๆ คั่นกลางเท่านั้น แล้วประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวนี้ก็เคยเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งอย่าง ‘Facebook’ จนเมื่อปีก่อนมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและ CEO ต้องออกมาขอโทษผ่านหนังสือพิมพ์ 9 ฉบับ ว่าด้วยเรื่องการปล่อยให้มีการใช้ข้อมูลส่วนตัวของสมาชิกราว 50 ล้านคนอย่างไม่เหมาะสม มีข่าวลือว่า Cambridge Analytica คือบริษัทหัวหอกผู้ซื้อข้อมูลส่วนตัวจาก Facebook เพื่อเอื้อประโยชน์ให้โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทันทีที่ข่าวนี้ถึงหูประชาชนคนอเมริกัน ความน่าเชื่อถือทั้งหมดของ Facebook ก็ถูกถ่ายโอนไปยัง Amazon และ Google แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ได้ทำลายความเชื่อถือของแอปพลิเคชันยอดนิยมของคนทั้งโลกไปอย่างสิ้นซาก หลังจากที่โดนกระแสโจมตีเรื่องการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ Facebook ก็ทนพัฒนาและปรับปรุงระบบการใช้ท่ามกลางข้อครหามาร่วมปี แล้วตอนนี้ทาง Facebook ก็ออกแคมเปญเรียกคืนความน่าเชื่อถืออีกครั้ง ด้วยการเปิดคาเฟ่ป๊อปอัปเพื่อตรวจสอบความเป็นส่วนตัวให้ผู้ใช้ คาเฟ่ป๊อปอัปจะถูกสร้างขึ้นในร้านกาแฟ 5 แห่งทั่วเกาะอังกฤษ ทั้งร้าน The Attendant ใน London, ร้าน Takk ใน Manchester,
พ่อแม่ลุงป้าที่เคยบ่นเคยห้ามไม่ให้เราติดมือถือมากไป วินาทีหันไปจะคุยกับพวกท่าทีไรกลายเป็นว่า “โถ ติดมือถือหนักกว่าเราไปอีก!” เรียกได้ว่าตอนนี้ผู้สูงอายุใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Line หรือ Facebook ก็ตามแต่ ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือการทำให้ช่องว่างระหว่างวัยของสมาชิกในครอบครัวลดน้อยลง ผู้สูงอายุเหงาน้อยลงและได้ติดต่อกับเพื่อนมากขึ้น แต่ข้อเสียนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเหล่าผู้สูงอายุมักจะชอบแชร์ข่าวสารข้อมูลผิด ๆ ที่ส่งต่อกันโดยไม่รู้ว่าข่าวที่ตัวเองอ่านนั้นเป็นความจริงหรือไม่ การติดมือถือมากไปยังพอเยียวยาได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่หนักขึ้นมาอย่าง การแชร์ข้อมูลเรื่องสุขภาพแบบผิด ๆ ที่จะส่งผลต่อชีวิต หรือข่าวของเหล่าคนดังที่จะส่งผลให้เกิดการปลุกระดมเรื่องของความเกลียดชังอย่างไม่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงไม่น้อย ปัญหานี้ไม่ได้มีให้เห็นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ในสหรัฐฯ เองก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุมักมีแนวโน้มที่ชอบแบ่งปันข่าวปลอมต่าง ๆ ใน Facebook และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ กันเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยจาก New York Universitiy และ Princeton Universitiy ได้ร่วมกันค้นหาคำตอบจากการทำวิจัยและสำรวจว่ากลุ่มคนในช่วงอายุใดมักจะแชร์ข่าวปลอมมากกกว่ากัน งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ลงใน Science Advance แสดงให้เห็นถึงการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยรวบรวมผู้คนกว่า 3,500 คนที่ใช้งาน Facebook ไม่แบ่งเพศและอายุและขอให้เปิด Public เพื่อให้เหล่านักวิจัยสามารถเข้าถึงฟีดทั้งหมดได้ว่ากลุ่มตัวอย่างนั้นได้แชร์เรื่องราวอะไรกับเพื่อนใน Facebook บ้าง เป็นเรื่องน่าตกใจเมื่อผลสำรวจพบว่าผู้ใช้งาน Facebook ที่มีอายุ
“คุณเข้าโซเชียลมีเดียครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และใช้เวลากับมันนานแค่ไหน” ว่ากันตามตรง ประโยคคำถามข้างต้นมันเป็นคำถามที่ส่วนตัวแล้วเราเองก็ไม่ค่อยอยากจะเอามาพูดถึงบ่อย ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันอยู่แล้วว่าถ้าใช้มากไปก็อาจมีผลเสียตามมา แต่พวกเราหนุ่มเมืองยังคงต้องใช้มันเป็นช่องทางสื่อสาร ส่งงาน แชร์ความรู้ หรือประชุมงาน ดังนั้น เวลามีเรื่องอัปเดตเกี่ยวกับข้อมูลพฤติกรรมการใช้โซเชียลที่น่าสนใจ มีผลกับเราโดยตรง เราจึงเห็นว่าตัองเอามาบอกกัน เพราะอย่างน้อยรู้ไปก็ดีกว่าไม่รู้ ส่วนจะจัดสรรเวลาให้ดีขึ้นได้ไหม เราเองก็คิดว่าต่อให้แน่นแค่ไหนก็คงยังพอมีทางออกให้ได้บ้าง IG, SNAPCHAT & FACEBOOK gonna killed US? ล่าสุดในวารสาร Journal of Social and Clinical Psychology ประจำเดือนธันวาคมตีพิมพ์ผลวิจัยที่ว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับความเหงาว่ามันติดกันมาเป็นแพ็คคู่ โดย Penn research เขาวิจัยกันจริงจังด้วยการทดลอง “ตัดขาด” คนจากโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะ Facebook, Snapchat และ IG แล้วพบว่าสุขภาพมันดีขึ้นจริง ๆ การทดลองนี้ใช้คนเข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 143 คน (ผู้หญิง 108 คนและผู้ชาย 35 คน) จากกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ University
หมู่นี้หายใจไปขยับนิ้วปัดจอแทบตลอดเวลา สังเกตตัวเองอีกทีตั้งแต่ตื่นลืมตา อาบน้ำ กินข้าว เข้าห้องน้ำ ทำงาน เราก็พกมือถือไปด้วยตลอด กระทั่งตอนนอนยังยอมรับตรง ๆ ว่าปิดไฟทั่วห้องแล้วแต่ตาก็ยังมองมือถือจนฟ้าสว่างก็เคย “เรากำลังติดโซเชียลหรือเปล่า ?” ไลฟ์สไตล์มันบังคับให้ติดว่ะ…แล้วมันก็ไม่ได้เสียหายสักหน่อย ถ้ากำลังคิดอย่างนั้น เราอยาก challenge ให้ชาว UNLOCKMEN วางมือถือลง ไม่เปิดคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อปสักพัก ตอนนี้แหละที่จะเริ่มเกิดอาการลงแดง ร้อนรนไปพร้อมกับการรู้จักคำว่า “มีเวลาเหลือ ๆ” ทันที มากพอจะทำอะไรที่เราไม่เคยทำ ออกกำลังกาย เที่ยว สังสรรค์กับเพื่อน นอนหลับ ให้มันสุดใน 24 ชม. ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้มันจะทำให้ชีวิตดีขึ้นและเรียลกว่าที่เคย สำหรับคนที่ไม่เคยตั้งคำถามว่าไอ้ที่ทำกันอยู่ตรงนี้มันไม่เรียลตรงไหน ลองดู “I forgot my phone” ไวรัลคลิปยอดวิว 51 ล้านวิว ชิ้นนี้ก่อนได้ สร้างมาตั้งแต่ 2013 แต่ตอนนี้ยังใช้ได้อยู่เลย แต่ถ้าให้หักดิบเลยก็ออกจะยากไปหน่อย UNLOCKMEN ขอแนะวิธีกระชากวิญญาณจากหน้าจอได้แบบไม่ฟูมฟายด้านล่าง พร้อมแล้วไปลุยกันเลย เปลี่ยนกรอบให้ตอบโจทย์ “เรื่องบันเทิงมันอยู่ในโซเชียล ถ้าพี่ไม่ให้ผมเข้าไปดูในนั้นผมจะไปสนุกที่ไหนได้
“คนที่ชีวิตเขาสมบูรณ์แบบดีพออยู่แล้ว เขาไม่ต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียแจตลอดเวลาหรอกว่ะ” คุณยังเป็นคนหนึ่งที่เชื่อแนวคิดทำนองนี้แบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่หรือเปล่า? UNLOCKMEN อยากกระซิบบอกอย่างสุภาพและมีเหตุผลว่า “นี่ปี 2018 แล้วครับ” โลกกำลังหมุนไปข้างหน้าอย่างเร็วไวไม่หยุดยั้ง ไม่มีความถูกต้องหนึ่งเดียวให้เราเสพอีกต่อไป และโซเชียลมีเดียก็ไม่ใช่ผู้ร้ายทำลายชีวิตอย่างที่เราเชื่อเท่านั้น ความเชื่อที่ว่าถ้าจะให้งานรุ่ง ต้องทิ้งโซเชียลมีเดียให้ร่วงกราวลงไปเท่านั้น มันจะยังเวิร์คอยู่จริง ๆ หรือ? วันนี้ UNLOCKMEN เอาเหตุผลที่ว่าทำไมเราไม่ควรทิ้งโซเชียลมีเดียไว้ข้างหลังถ้าอยากก้าวสุดพลังเรื่องงานไปข้างหน้าได้ไกลกว่าคนอื่น แต่ในฐานะที่ UNLOCKMEN คือเว็บไซต์ที่พาผู้ชายทุกคนก้าวเข้าสู่อณาจักรแห่งคอนเทนต์หลากหลาย ผู้ชายทุกคนคงไม่แปลกใจว่า “โธ่ ก็เป็นเว็บไซต์ที่อยู่บนโลกออนไลน์ ก็ต้องเชียร์โซเชียลมีเดียอยู่แล้วล่ะสิ” เราอยากให้วางความคิดที่เคยมีแล้วทำใจร่ม ๆ เพราะโซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นจอมวายร้ายอย่างที่เราเคยเข้าใจเสมอไป จากการศึกษาพบว่าแค่เฉพาะโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊กได้สร้างวงอุตสาหกรรมตลาดงานขนาดยักษ์ โดยมีตำแหน่งงานกว่า 4.5 ล้านตำแหน่งถือกำเนิดขึ้นภายใต้การมีอยู่ของโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่นี้ แต่เดี๋ยวก่อน เราไม่ได้มาโฆษณาตลาดงานให้เฟซบุ๊กแต่อย่างใด แค่อยากบอกผู้ชายทุกคนอย่างใจ ๆ ว่า เฮ้ย โซเชียลมีเดียมันก็มีผลดี ๆ ต่อสัญชาตญานการทำงานของมนุษย์อยู่เหมือนกัน ด้านหนึ่งถึงจะร้าย แต่ภายในคือ “ตัวตน” อีกรูปแบบ “โห เล่นโซเชียลมีเดียขนาดนั้น ระวังเถอะเจ้านายจะมาคอยเช็ค แล้วไม่รับเข้าทำงานเอา!” เราก็ไม่อยากปฏิเสธวิธีคิดแบบนั้นเลยและอยากจะบอกด้วยซ้ำว่านั่นคือเรื่องจริง! แต่การที่มันเป็นเรื่องจริงไม่ได้แปลว่ามันมีแต่ข้อเสีย เพราะแนวคิดว่าโซเชียลมีเดียมีผลต่อการทำงานของเรานั้นคือแนวคิดที่โคตรจะสมเหตุสมผลและเป็นความจริงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ ในแต่ละวินาทีที่โลกหมุนไป