ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเครียดกับความวิตกกังวลเป็นอีกสองส่วนผสมของการทำงาน และเป็นสิ่งที่หนุ่มมนุษย์เงินเดือนอย่างเรายากที่จะเลี่ยง แต่ต่อให้ความเครียดสะสมหรือความกังวลถาโถมโจมตีมากขนาดไหน มนุษย์เราก็ฉลาดพอที่จะหาวิธีจัดการกับมันได้เสมอ เชื่อว่าผู้ชายแต่ละคนก็คงมีวิธีคลายเครียดระหว่างการทำงานที่ต่างกัน บางคนชอบผละจากหน้าจอชั่วขณะ แล้วหันไปนั่งคุยกับเพื่อนเรื่องบอลแทน บ้างเดินออกไปสูบบุหรี่หวังเปลี่ยนบรรยากาศและลดความเคร่งเครียดจากงานตรงหน้า แต่กับหนุ่มบางคนเลือกที่จะเดินออกไปชื่นชมต้นไม้ใบหญ้า เปลี่ยนจากแสงสีฟ้าที่คุ้นตาหันไปหาธรรมชาติสีเขียวแทน นอกจากความร่มรื่น สบายตา และร่มเงาที่ช่วยปกป้องเราจากแสงอาทิตย์แล้ว ธรรมชาติยังช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งอ้างว่าพนักงานชาวสหรัฐฯ 34% รู้สึกเครียดและกังวลกับการทำงาน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี และคิดว่าสถิติความเครียดของพนักงานชาวไทยก็คงไม่ต่างไปกว่ากันเท่าไร วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลในออฟฟิศ ด้วยประโยชน์จากธรรมชาติ นี่คือ 3 วิธีง่าย ๆ ที่อาจช่วยให้คุณมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น! จินตนาการถึงธรรมชาติ อาจฟังดูเหมือนคนไม่ปกติ แต่เราอยากให้คุณลองมโนภาพว่าคุณกำลังอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ อาจเป็นชายหาดที่มีผู้คนบางตาและมีคลื่นซัดเป็นระลอก บนหุบเขาที่ห้อมล้อมไปด้วยอ้อมกอดของแมกไม้ หรือกลางทะเลที่มีแสงแดดอุ่น ๆ สาดกระทบใบหน้าและเสียงคลื่นเท่านั้นที่ดังก้อง การจินตนาการภาพถึงทิวทัศน์หรือเสียงในสถานการณ์นั้น ๆ จะส่งผลกระทบต่อสมองเช่นเดียวกับการมองเห็นหรือสัมผัสมันจริง ๆ ซึ่งงานวิจัยก็ย้ำว่าการสร้างภาพหรือข้อมูลต่าง ๆ ในหัวผ่านจินตนาการเพียงไม่กี่นาที ช่วยลดความเครียดและวิตกกังวลให้คนทำงานได้ มองหาธรรมชาติรอบตัว การมองหาธรรมชาติเล็ก ๆ รอบตัวเราก็เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ลดความเครียดและความวิตกกังวลได้เหมือนกัน หากย้อนไปตอนเด็ก ๆ ไม่ว่าหนุ่มคนไหนก็คงหลงใหลและเพลิดเพลินกับการจ้องมองฝูงปลาในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
ความเครียดและความกดดันเป็นเรื่องปกติของชีวิต และเป็นสองสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานภายในระยะเวลาที่จำกัด การทำงานที่ยากเกินความสามารถ หรือได้รับโปรเจกต์ยักษ์ที่เป็นตัวตัดสินรายได้ของบริษัท ทั้งหมดนี้อาจทำให้หนุ่มมนุษย์เงินเดือนหลายคนต้องกุมขมับ รู้สึกเครียด และกดดันจนทำอะไรไม่ถูก วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำเคล็ดลับการฝึกสมองเพื่อรับมือต่อความกดดันจากการทำงาน รับรองว่าถ้าทำได้ จะความเครียดหรือความกดดันหน้าไหนก็ไม่สามารถทำอะไรพวกคุณได้อย่างแน่นอน! ใช้สติควบคุมอารมณ์ตัวเอง ในสถานการณ์คับขับที่คุณต้องรีบตัดสินใจบางเรื่องโดยไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบ อาจทำให้หนุ่ม ๆ รู้สึกกดดันเพราะกลัวผิดพลาด หรือทำให้สติของหนุ่มบางคนกระเจิดกระเจิงไปเลยด้วยซ้ำ เมื่อใดที่คุณรู้สึกว่าเหงื่อเริ่มแตกพล่านเต็มฝ่ามือและทำอะไรไม่ถูก เราแนะนำให้ลองถอยห่างจากความกดดันออกมาสักก้าวหนึ่ง แล้วค่อย ๆ คิดหาวิธีแก้ไขมันด้วยสติ ลองสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และผ่อนออกอย่างช้า ๆ วิธีนี้จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตลดลง หรือพูดง่าย ๆ คือทำให้คุณมีสติและสงบยิ่งขึ้น แถมยังช่วยให้ความตื่นตระหนกของคุณชะลอตัวลงอีกด้วย มองความกดดันให้เป็นเรื่องบวก แทนที่จะวิตกกังวลหรือเคร่งเครียดกับความกดดันตรงหน้า ลองปรับมุมมองและคิดเสียใหม่ว่าความกดดันเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ แต่จะต่างกันตรงที่ใครสามารถรับมือต่อแรงกดดันได้ดีกว่ากัน หากความกดดันทำให้คุณรู้สึกประหม่า ลองเปลี่ยนมันให้เป็นเรื่องสนุกหรือบททดสอบสุดท้าทายที่จะทำให้คุณทำงานเก่งขึ้น ถ้าทัศนคติที่มีต่อความกดดันของคุณเปลี่ยนไป คุณจะไม่รู้สึกเครียดกับความกดดันเลย แต่จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องสนุกที่คุณต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ หมั่นฝึกฝนเพื่อรับมือความกดดัน ว่ากันว่าสมองของคนเรามีความสามารถในการกักเก็บความทรงจำ สิ่งที่เราทำครั้งแรกอาจไม่ได้ผลดีเสมอไป แต่เมื่อใดที่เราหมั่นฝึกฝนจนสมองเรียนรู้ จดจำ เราจะสามารถรับมือกับความกดดันได้ดีกว่าเดิม ถ้าคุณเป็นคนที่รู้สึกตื่นเต้นและมือสั่นทุกครั้ง เมื่อต้องจับไมค์ขึ้นพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ให้ลองฝึกซ้อมพูดหน้ากระจกหรือพูดต่อหน้ากลุ่มเพื่อนบ่อย ๆ การฝึกฝนที่มากพอจะทำให้สมองคุ้นชินและส่งผลให้การพูดต่อหน้าสาธารณชนของคุณดูลื่นไหลและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น เราไม่สามารถหลบหลีกความกดดันได้เสมอไป
เรามักจะเชื่อว่า ความสุข เป็นเหมือนจุดหมายในชีวิตของพวกเรา ทุกอย่างที่เราตั้งเป้าไว้คือสิ่งที่เราเชื่อว่าจะมีความสุขเมื่อได้มันมา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่เป็นรูปธรรม หรือเรื่องของความรู้สึกที่เป็นนามธรรม อย่างความปลอดภัยในชีวิต ความรักที่ได้รับจากคนรอบข้าง ความสงบสุขที่ใฝ่หามาตลอดชีวิตที่แสนวุ่นวาย ยิ่งในยุคที่เราใช้ชีวิตรวดเร็วไปเสียทุกเรื่อง แม้แต่การหาความสุขใส่ตัวก็ยังต้องรวดเร็วทันใจ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ UNLOCKMEN ขอแนะนำวิธีหาความสุขง่าย ๆ จากสิ่งรอบตัว หวังว่ายิ่งทำง่ายเราจะยิ่งหาความสุขให้กับตัวเองกันได้มากขึ้น พักสายตาด้วยสีเขียว เหนื่อยล้ามาจากไหนก็ตาม ลองมองหาพื้นที่สีเขียวอย่างสวนสาธารณะ ลงไปเดินเล่นสูดหายใจลึก ๆ สักห้านาที หากมีต้นไม้ต้นเล็ก ๆ เป็นมุมสีเขียวไว้ที่บ้านหรือโต๊ะทำงานก็จะง่ายขึ้นมาก ๆ แถมยังช่วยผ่อนคลายเราได้ทุกครั้งที่ต้องการอีกด้วย เหตุผลที่เรามองสีเขียวแล้วมันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเพราะมันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากตึก เมือง ห้องสี่เหลี่ยมที่เราเจออยู่ทุกวัน ได้เจออะไรที่มันเป็นธรรมชาติจริง ๆ ตามสัญชาตญาณของมนุษย์เรามักจะรู้สึกว่าอะไรสีเขียว ๆ ที่มาจากธรรมชาติมักจะเป็นมิตรกับเราเสมอ เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ที่มนุษย์เราเลือกที่จะตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว บริหารสมองด้วยอะไรง่าย ๆ สละเวลาสักวันละห้านาทีหรืออาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ ด้วยเกม Puzzle เกมลับสมองง่าย ๆ สักเกมสองเกม มันไม่ได้ทำเพื่อความสมาร์ตปราดเปรื่องอะไรหรอก แต่มันคือการบริหารสมอง ลดความเบลอจากเรื่องประสาทแดก หรือการมองจอคอมพิวเตอร์มาทั้งวัน ถ้าไม่สะดวกที่จะหาเกมมาเล่น ลองเป็นอะไรที่ปลุกความครีเอตในตัวเรา อย่างการมองหามุมสวย ๆ แล้วเก็บภาพประทับใจตอนนั้นไว้ วาดรูปอะไรก็ได้ที่เราอยากจะวาดบนกระดาษ
ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กมอปลายที่กำลังไปเรียนพิเศษ เป็นหนุ่มมหาลัยที่กำลังหัวหมุนกับการสอบไฟนอล หรือหนุ่มออฟฟิศที่กำลังเหนื่อยล้า เรามีสิทธิ์พูดคำว่าเหนื่อยกันได้ทั้งนั้น เพราะแม้จะไม่ได้เหนื่อยกาย แต่เหนื่อยใจ เหนื่อยจากข้างในมันมีอยู่จริง และหนุ่ม ๆ หลายคนกำลังเผชิญปัญหานี้กันอยู่ทั้งนั้น UNLOCKMEN ขอหยิบ 10 เหตุผลที่ทำให้เหนื่อยจากข้างในให้เรามาดูกันว่าข้อไหนตรงกับเราบ้าง พร้อมทางออกดี ๆ ที่ให้หนุ่ม ๆ เอาไปปรับใช้กับตัวเอง เติมความสุขให้ตัวเองไม่ให้เหนื่อยเกินไป ก่อนที่ความเหนื่อยจะฝังรากลึกลงไปในชีวิตจนถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ยอมจัดระเบียบชีวิต ไม่ได้หมายถึงแค่ความเป็นระเบียบของอะไรที่เป็นรูปธรรมอย่าง การจัดห้องนอน โต๊ะทำงาน อะไรแบบนั้น แต่หมายถึงการจัดการชีวิตโดยรวม อย่างการจัดคิวนัดหมาย การลำดับสำคัญของการทำงาน การควบคุมอารมณ์ จัดการความคิด ความสัมพันธ์กับคนรัก ครอบครัว แบ่งเวลาให้ความชอบ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ล้วนแต่อยู่ในหมวดของการจัดระเบียบชีวิตทั้งสิ้น เราอาจจะหลงลืมข้อใดไปสักข้อหนึ่ง แต่มันกลับส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงชีวิตด้านอื่น ๆ ด้วย เลยทำให้ชีวิตของคุณดูยุ่งเหยิง และจับต้นชนปลายไม่ถูกนั่นเอง ทำยังไงกับมันดี ? ถ้าชีวิตคุณมันยุ่งเหยิงซะเหลือเกิน ลองเริ่มจากการจัดการอะไรง่าย ๆ ไปทีละอย่าง ไม่ต้องใจร้อน เริ่มเป็นเรื่อง ๆ ไป ลองเป็นอะไรใกล้ตัวอย่างจัดลำกับความสำคัญของงานที่ต้องทำในทุกวัน ควรเริ่มทำอะไรก่อนหลัง ลองหัดจัดลำดับให้เป็นนิสัย
“สบายมากครับ” เป็นคำพูดที่บรรดาชายชาตรีมาดแมนอย่างเรามักจะใช้บอกคนรอบข้างบ่อย ๆ เวลามีปัญหา หลายครั้งก็เป็นการหลอกตัวเองว่าเราสบายดี ยิ่งกับเรื่องอารมณ์ด้วยแล้ว ภาวะผู้นำของเราเหมือนถูกกำหนดมาให้ต้อง Keep Calm อยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ในใจบางทีก็เดือด เหงา เศร้า เหมือนคนอื่น ๆ จนสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกทีสติที่มีก็ขาดผึงไปจนอาการย่ำแย่ เพื่อกอบกู้อารมณ์ที่เก็บไว้ข้างในให้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว มันเลยมีนวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมา เรียกว่า “ชุดปฐมพยาบาลอารมณ์” ไว้ใช้เป็นอุปกรณ์สามัญประจำบ้านติดตัวไว้อีกกล่องเพิ่มจากพวกกล่องยาแดง แอลกอฮอล์ หรือสำลี ที่ต้องมีรักษาแผลสด โดยเกิดจากการตั้งคำถามของ Rui Sun ดีไซน์เนอร์ที่ตั้งคำถามว่าทำไมโลกใบนี้มันถึงผลิตแต่โปรดักส์รักษาแผลกายไม่ยอมเหลียวแลแผลใจกันบ้าง “Why do so many products ease physical pain and so few treat emotional stress?” – Rui Sun เปิดกล่อง หยิบใช้ เพื่อให้ครอบคลุมเรื่องเครียด ข้างในกล่องปฐมพยาบาลอารมณ์จะมีของให้เราได้ใช้อยู่ 5 ชิ้น จากการสำรวจคร่าว ๆ
ใครทำงานแล้วไม่เครียดก็เทพเกินไปแล้ว แต่ถ้าทำแล้วไม่เครียดได้จริงเราก็ขอคาราวะและแสดงความดีใจด้วย แต่เราเชื่อว่าผู้ชายสาย Work Hard Play Hard ทุกคนต้องเคยผ่านประสบการณ์หัวแทบระเบิดกระจุยกระจายจากความเครียดกันมาแล้วทุกคนแน่นอน นอกจากวิธีพักชั่วคราวอย่างการฟังเพลง ลงไปดูดบุหรี่ระหว่างวัน หรือคุยกับเพื่อนร่วมงาน UNLOCKMEN ยังเอาวิธี UNLOCK วิธีคิดเพื่อให้ความเครียดมลายหายไปมาฝากผู้ชายสายบ้าระห่ำกับงานทุกคนด้วย เฮ้ นาย นายเพอร์เฟกต์ทุกอย่างไม่ได้หรอก การทำงานต้องสมบูรณ์แบบน่ะใช่ ถ้าเราคิดเบื้องต้นไว้อย่างนี้ เราก็จะเต็มที่ที่สุดกับทุกงานที่อยู่ตรงหน้า แต่ประเด็นก็คือถ้าเราเต็มที่ที่สุดแล้วแต่เราก็ยังรู้สึกว่าแม่งไม่เพอร์เฟกต์สักทีวะ! อันนี้แหละที่จะทำให้เราเครียด เราต้องคิดไว้ในสมองของเราตลอดเวลาว่าเราเต็มที่ที่สุดได้ แต่ทุกอย่างจะเพอร์เฟกต์ล้านเปอร์เซนต์อย่างที่เราคาดวังแม่งไม่ได้ว่ะ! นอกจากทำเต็มที่แล้วอีกด้านหนึ่งก็ต้องรู้จักปล่อยวางลงบ้าง ไอ้ความเครียดที่สุมหัวอยู่จะได้เบาบางลงไปสักที อะไรที่เหนือการควบคุมของเรา เราต้องปล่อย เราควบคุมตัวเองได้ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่บางครั้งความเครียดก็มาพร้อมความคิดที่ว่าเราต้องการควบคุมทุกอย่างให้ได้เบ็ดเสร็จเหมือนที่เราควบคุมตัวเอง ซึ่งถามจริง มันทำได้หรอวะนาย? ไม่ได้หรอก ปัจจัยการทำงานมันผสมผสานกันเป็นสิบเป็นร้อยอย่าง เราควบคุมตัวเองได้ดีแต่บางทีเราควบคุมคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นวิธีที่จะไม่เครียดเกินไปต้องยอมรับว่ามันมีปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้อยู่ และเมื่อมันอยู่นอกเหนือศักยภาพเราแล้ว เราก็ต้องปล่อยมันไปบ้าง อย่าฝืน ขีดเส้นแบ่งเขตงานกับชีวิตให้ดี งานคือส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต เราควรแบ่งเขตให้ชัดเจนว่างานควรหยุดอยู่แค่ไหน เราอาจให้เวลากับงานไปเลย 8-10 ชั่วโมง แต่ถ้านอกเหนือจากเวลานั้นเราก็ต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจยว่าเราควรมีเวลาหยุดพักผ่อน ไม่ปล่อยให้งานรุกล้ำเข้ามาในขอบเขตพื้นที่ส่วนตัว ไม่อย่างนั้นเราก็จะเครียดกับงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินข้าว เดินเล่น หรือกำลังจะเข้านอน