คนที่เคยดูซีรีส์เกาหลีชื่อดังอย่าง “It’s okay to not be okay” อาจคุ้นเคยกับวิธีบำบัดที่ชื่อว่า Butterfly Hug หรือ การกอดตัวเองโดยการเอามือทาบไว้ที่หน้าอกจนมีลักษณะเหมือนปีกผีเสื้อกันบ้างแล้ว ในบทความนี้ UNLOCKMEN อยากมาแนะนำวิธีการกอดตัวเองอีกแบบหนึ่งชื่อว่า Havening ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยลดความเครียดให้เราได้เป็นอย่างดี Havening คือ อะไร ? สมองของเราจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ (emotional brain) และส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิด (thinking brain) ซึ่งการทำงานของสมองเหล่านี้ถูกควบคุมโดยอะมิกดาลา (กลุ่มนิวเคลียสประกอบด้วยโครงสร้างต่าง ๆ มีหน้าที่สร้างความรู้สึกกลัว วิตกกังวล) หากมันพบเจอเหตุการณ์ที่ดูเป็นภัยคุกคามแก่ชีวิต มันจะสร้างความเครียดให้เรา และเร่งให้เกิดการตอบสนองอย่างรวดเร็วที่เรียกว่า fight-or-flight เช่น การวิ่งหนีโจรผู้ร้าย หรือ การเอาตัวรอดจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ อย่างไรก็ดี สมองของเรามักคิดไปเองว่ากำลังเจอภัย โดยเฉพาะสมองของคนที่เป็นโรควิตกกังวลทั่วไป (generalized anxiety) โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง ( post-traumatic stress disorder) และ
เวลาทำงานสักชิ้น หลายคนคงอยากจะทำให้มันดีที่สุด ผิดพลาดน้อยที่สุด และเป็นไปตามที่เราหวังไว้มากที่สุด แต่หลายครั้งเหมือนกันที่เราพบว่า แม้งานโดยรวมจะออกมาจะดี แต่ข้อผิดพลาดเล็กบ้างน้อยบ้างที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้สึกหัวเสียมากกว่าที่จะดีใจกับงานที่สำเร็จแล้ว เป็นเพราะธรรมชาติของเรามีกลไกที่เรียกว่า ‘อคติเชิงลบ (negativity bias)’ ที่ทำให้สมองของเรามองว่าเรื่องเลวร้าย ข้อผิดพลาด หรือ ข้อเสีย มีความสำคัญมากกว่า เรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต งานวิจัยที่ทำโดย John Cacioppo ได้ทำการโชว์ภาพที่กระตุ้นอารมณ์เชิงบวก (เช่น ภาพรถเฟอร์รารี่ หรือ พิซซ่า) ภาพที่กระตุ้นอารมณ์ด้านลบ (เช่น ภาพแมวตาย) และภาพที่ให้อารมณ์เป็นกลาง (เช่น ภาพจาน หรือ เครื่องเป่าผม) แก่ผู้ที่เข้าร่วมการทดลอง พร้อมกับทำการบันทึกกิจกรรมของกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นใน เปลือกสมอง (cerebral cortex) ซึ่งมีความสำคัญต่อการรับข้อมูล จากงานวิจัย Cacioppo พบว่า สมองจะมีปฏิกริยาอย่างรุนแรงต่อสิ่งเร้าเชิงลบ โดยมันจะทำให้เกิดการทำงานของกระแสไฟฟ้ามากขึ้นในสมอง กล่าวได้ว่า ทัศนคติของเราได้รับอิทธิพลอย่างมากจากข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ด้วยการทำงานของสมองแบบนี้ เราจึง ‘วิจารณ์ตัวเอง (self-criticism)’ บ่อยครั้งด้วยคำพูด เช่น
ถึงแม้ว่าแรงกดดัน เช่น เวลาในการทำงานที่จำกัด จะช่วยให้เราเกิดความโปรดักทีฟมากขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน มันก็อาจทำให้เราเกิดอาการแพนิค และทำงานแย่ลงได้เหมือนกัน เพราะเวลาเรากลัวว่าตัวเองจะทำงานไม่ทัน เรามักรีบคิดและรีบปั่นงานให้เสร็จโดยไว ผลสุดท้าย งานที่ออกมาอาจไม่ได้รับการตรวจที่ถี่ถ้วนมากพอ จนมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เมื่อแรงกดดันเป็นเหมือนกับดาบสองคม มีทั้งข้อดีข้อเสีย เราเลยจำเป็นต้องรับมือกับมันให้ได้อย่างดี บทความนี้ UNLOCKMEN จึงนำเทคนิคดี ๆ มาฝากทุกคนกัน ซึ่งถ้ารู้แล้ว เราจะทำงานภายใต้ความกดดันได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน ตั้งสติก่อนสตาร์ท !!! เวลาเราทำงานในช่วงที่เดดไลน์ใกล้เข้ามาแล้วนั้น เรามักจะโคตรเครียด เสียสติ และไม่คิดหรือตรวจงานให้ดี สุดท้ายงานที่ออกมามันก็แย่ หากใครเจอกับอะไรแบบนี้ เราอยากให้ลองตั้งสติ และพยายามเปลี่ยนโฟกัสจากความเครียดความกังวล มาเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราดู ลองถามตัวเองว่าตอนนี้เรากำลังเห็นอะไร ? กำลังได้ยินอะไร ? เราหายใจเป็นยังไง ? แบบนี้จะช่วยให้เรารู้สึกถึงแรงกดดันน้อยลง มีสติมากขึ้น และแก้ปัญหาได้ดีกว่าด้วย มองย้อนกลับไปทบทวนความกดดันที่ผ่านมา ความกดดันมักเกิดขึ้นแบบเป็นแพทเทิร์น และเราอาจเจอกับแพทเทิร์นนั้นซ้ำ ๆ อยู่ก็ได้ ดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้ประสบการณ์ความกดดันเหล่านั้นผ่านไปเฉย ๆ เราควรใช้เวลาในการเรียนรู้ และวิเคราะห์หาแพทเทิร์นของความกดดันจะดีกว่า เพราะมันจะช่วยให้เราหาแผนรับมือกับความกดดันได้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราพบว่า
ช่วงนี้หลายคนคงเครียดกับหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์บ้านเมือง โควิด หรือ แม้กระทั่งการทำงาน พอเครียดมาก ๆ หลายคนก็ไม่สามารถเอนจอยกับชีวิตได้เหมือนเดิม เราอยากให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้วางสิ่งที่ตัวเองกำลังเครียดกำลังคิดมากลงก่อน และลองดูหนังตลกที่เราแนะนำในบทความนี้กัน เพราะเราเชื่อว่าเสียงหัวเราะจะช่วยให้ความเครียดและความกังวลลดลงอย่างแน่นอน THE BLUES BROTHERS มาเริ่มต้นกันที่ The Blues Brothers หนังมิวสิคัลโคเมดี้ซึ่งเล่าเรื่องของ เจค และ เอลวูด สองพี่น้องนักดนตรีที่ต้องการระดมเงินให้ได้ 5,000 เหรียญฯ เพื่อนำไปจ่ายค่าภาษีทรัพย์สินและช่วยเหลือสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาจากการถูกยึด พวกเขาจะต้องรวมตัวสมาชิกวง The Blues Brothers (ที่พักงานไปหลังจากเจคเข้าคุก) อีกครั้ง เพื่อหาเงินผ่านการจัดการแสดงดนตรี แต่ในระหว่างการตามหา พวกเขาก็ต้องเจอกับเรื่องราวสุดเซอร์เรียลและน่าขำขันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การถูกตำรวจทหารไล่ล่า การถูกยิงด้วยปืนไฟ หรือ การเผชิญหน้ากับเหล่านีโอนาซี เป็นต้น ถือว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่น่าจะเรียกเสียงหัวเราะจากเราได้ในช่วงนี้ หนังเรื่องนี้จะมีทั้งหมด 2 ภาค ได้แก่ The Blues Brothers (ภาคแรก) และ Blues
เมื่อไม่มีใครรู้ว่าการระบาดของ COVID-19 จะจบลงเมื่อไหร่ หลายคนคงใช้ชีวิตแบบไม่มีความสุขกัน เพราะในสภาวะไม่ปกติแบบนี้ หลายคนต้องอยู่บ้านเป็นเวลานาน อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไปไม่ได้ แถมยังต้องระมัดระวังสิ่งรอบข้างตลอดเวลา การต้องใช้ชีวิตด้วยความอดทนและอยู่ภายใต้ความกลัวโรค จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สภาพจิตใจของเราจะแย่ลงทุกวัน ๆ แม้สถานการณ์จะบั่นทอนความสุขของเราเหลือเกิน แต่การสิ้นหวังก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มาลองดูวิธีรับมือกับอารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤต COVID-19 ก่อน ซึ่งเราเชื่อว่า หากทุกคนทำตามแล้ว จะมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้นอย่างแน่นอน เช็คข่าวให้ดีก่อนเชื่อ ยุคนี้ข่าวปลอมเยอะมาก ซึ่งบางข่าวก็เน้นไปที่การสร้างความตื่นตระหนกด้วย แถมพอเราเชื่อและนำข่าวนั้นไปบอกคนอื่นต่อ ความตื่นตระหนกมันก็จะยิ่งแพร่กระจายในวงกว้างมากขึ้นอีก เราเลยต้องเลือกเสพข่าวกันหน่อย พร้อมกับเช็คความถูกต้องของข้อมูลด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้รับข่าวจากคนในทวิตเตอร์ เราก็อาจนำข้อมูลนั้นไปเช็คกับแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น สำนักข่าวใหญ่ หรือ มีเดียของหน่วยงานรัฐบาล เพื่อให้เราได้รับข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด และป้องกันความแพนิคที่เกิดขึ้นจากการเชื่อข่าวปลอม รวมถึง การส่งต่อความแพนิคไปยังคนอื่นด้วย ควบคุมปริมาณการเสพข่าวของตัวเอง แม้การตื่นตัวเรื่อง COVID-19 จะเป็นเรื่องดี แต่เราไม่จำเป็นต้องเสพข่าวเรื่อง COVID-19 ตลอดเวลา เพราะพวกข้อมูลที่บอกว่าโรคระบาดแพร่เร็วแค่ไหน ? คนป่วยและตายมีจำนวนเท่าไหร่ ? สามารถเพิ่มความวิตกกังวลให้กับเราได้ การเสพข่าวประเภทนี้ตลอดเวลา จึงทำให้จิตใจเกิดภาระอย่างหนักได้เช่นกัน ดังนั้น จำกัดเวลาในการเสพข่าว และเอาเวลาที่เหลือมาทำในสิ่งที่เราชอบดีกว่า เช่น
หลายคนอาจเคยเกิดอาการเบื่องานที่ตัวเองทำอยู่ เพราะบางครั้งงานที่ทำอยู่ก็ไม่ได้น่าสนใจ หรือ บางครั้งเราอาจทำงานน้อยเกินไปจนรู้สึกว่าตัวเองทำประโยชน์ให้กับที่ทำงานไม่เพียงพอ ส่งผลให้เราไม่มีแพสชั่นในการทำงาน และรู้สึกว่าการทำงานเป็นเรื่องน่าเบื่อขึ้นมา อาการนี้มีชื่อเรียกว่า ‘Boreout Syndrome’ และส่งผลเสียต่อเราทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต เราเลยอยากมาแนะนำ 5 วิธีการรับมือกับอาการ Boreout เพื่อให้เรากลับมาทำงานได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง Boreout ต่างจาก Burnout อย่างไร ? Boreout Syndrome คือ อาการเบื่องานที่มักเกิดขึ้นจากการทำงานที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอ หรือ น้อยเกินไป บางครั้งก็เกิดจากการทำงานที่ไม่สอดคล้องกับรายละเอียดของงาน หลายคนอาจจะสับสนอาการนี้กับ Burnout เพราะมันค่อนข้างมีความคล้ายกัน แต่เราอยากบอกว่า 2 อย่างนี้แตกต่างกันมาก โดย Boreout เกิดขึ้นจากการทำงานน้อยเกินไป หรือ งานส่วนใหญ่ที่ทำไม่น่าสนใจเพียงพอ ส่งผลให้เรารู้สึกว่าไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองในการทำงานอย่างเต็มที่ เสียแพสชั่นในการทำงาน และเกิดอาการ Boreout ในที่สุด ส่วน Burnout จะตรงข้ามกับ Boreout คือ เกิดจากการทำงานมากเกินไปจนเหนื่อย เครียด รู้สึกไม่มีพลังงานไปทำอย่างอื่น และเมื่อจิตใจเราเหนื่อยล้าจากงาน อาการ Burnout ก็สามารถเกิดขึ้น ซึ่งอาการ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ พื้นที่ข่าวทางหน้าจอโทรทัศน์ ไปยันบทสนทนาของผู้คนในชีวิตประจำวัน ณ ขณะนี้ มีเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองเป็นหนึ่งในหัวเรื่องหลักด้วยเสมอ ๆ ไม่ว่าคุณจะคือคนที่สนใจการเมืองมาก สนใจน้อย หรือไม่สนใจเลย แต่เมื่อข่าวสารบ้านเมืองไหลเร็วและพุ่งมาจากทุกทิศทุกทางก็อาจนำความตึงเครียดมาสู่จิตใจได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะถ้าคุณคือคอการเมืองตัวยง สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรายวันหรือบางครั้งไหลเร็วถึงขั้นรายชั่วโมง รายนาที การตื่นตัวและทันเหตุการณ์อยู่เสมอนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อไรก็ตามที่เริ่มรู้สึกนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ปวดหัว ไม่เป็นอันทำการทำงาน อยากติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ฯลฯ นั่นก็อาจเป็นสัญญาณเตือนให้หันมาดูแลสุขภาพจิตใจของเราแล้ว สุขภาพจิตใจของเราก็มีความหมายไม่แพ้เรื่องการเมือง UNLOCKMEN จึงอยากชวนมารับมือกับความเครียด ในห้วงเวลาที่ข่าวสารบ้านเมืองกำลังร้อนระอุเช่นนี้ แบ่งเวลาให้ความสุขของตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจคือเราไม่ต้องรอให้ใครมาอนุญาตให้เรามีความสุข เราสามารถเป็นคนที่ติดตามและตื่นตัวทางการเมืองไปพร้อม ๆ กับการมีความสุขและดูแลสุขภาพจิตตัวเองได้ โดยเฉพาะถ้าคุณคือคนที่ติดตามการเมืองอยู่เสมอ วิธีการรับมือกับความเครียดที่ดีมากอย่างหนึ่งคือการกำหนดเวลาพักให้ตัวเอง อาจจะเป็นการกำหนดว่าทุกวันอาทิตย์เราจะพัก ไม่เปิดเฟซบุ๊ก ไม่ไถทวิตเตอร์ ไม่รับข้อมูลข่าวสารใด ๆ หรืออาจจะกำหนดเวลาพักรายชั่วโมงในแต่ละวัน เช่น ทุก ๆ วันจะมีเวลา 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอนที่เราจะปิดการรับรู้ข่าวสารทุกอย่าง โดยในเวลาพักเหล่านี้หาสิ่งที่เยียวยาหัวใจตัวเองทำ ถามตัวเองว่าอะไรที่เราทำแล้วมีความสุข (แม้จะเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม) เล่นกับแมวที่บ้าน ออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะ ดูซีรีส์สืบสวนให้ตาแฉะ
“เดดไลน์” คำนี้เป็นได้ทั้งแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ และเป็นมวลอารมณ์แห่งความสยองพองขนสำหรับใครหลายคน ตอนยังไม่ใกล้กำหนดส่งความชิลทั้งหลายจะเกาะกุมหัวใจของเรา บางทีก็ปัด ๆ การทำงานไว้ก่อนบ้าง และบางหนก็เพราะว่ายังไม่ใกล้เดดไลน์ไอเดียอะไร ๆ ก็ยังไม่พุ่งกระฉูด แต่เมื่อเดดไลน์คลืบคลานเข้ามา จนถึงขั้นไล่ล่า แม้ทางหนึ่งไอเดียจะพรั่งพรูทะลักล้น แต่อีกทางหนึ่งความเครียดก็สับขารัวตามมาติด ๆ ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกไปความเครียดจากเดดไลน์นั้นไม่ใช่สิ่งที่เรารู้สึกอยู่เพียงลำพัง แต่จากผลสำรวจผู้คนวัยทำงานพบว่า 38% ล้วนต้องเผชิญกับความเครียดอันเนื่องมาจากการปั่นงานให้ทันกำหนดส่งกันแทบทั้งนั้น แล้วเราพอจะรับมือกับมันอย่างไรได้บ้าง? การบอกให้ “ก็ทำงานให้เสร็จก่อนกำหนดนาน ๆ สิ” ดูเหมือนจะเป็นคำแนะนำง่าย ๆ ที่ใครก็แนะนำได้ แต่จะให้ทำจริงนั้นยากแสนยาก (ก็เพราะไอเดียดี ๆ มันมาตอนใกล้จะส่งงานไง!) ดังนั้น UNLOCKMEN ภูมิใจนำเสนอวิธีรับมือกับความเครียดจากเดดไลน์แบบอยู่หมัด ปั่นงานส่งครั้งหน้าอย่างน้อยถ้าจิตใจยังไหว จะอะไรก็สู้! อย่าประมาทความคาดหวัง ยังไม่ลงมือทำก็ได้ แต่ต้องเข้าใจตัวเองให้ดี ความเครียดว่าจะทำงานเสร็จทันหรือไม่ (อาจเพราะลงมือทำช้า) เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เรามักเครียดเมื่อเดดไลน์ใกล้เข้ามา คือการที่เราค้นพบว่าสิ่งที่โปรเจกต์นี้ต้องการจากเรามันช่างมากล้น มากล้นจนไม่ใช่แค่เวลาก็ไม่พอ แต่ศักยภาพเราไปไม่ถึงงานนี้ การสำรวจความคาดหวังของเราต่องานหนึ่ง ๆ ที่รับมาแต่แรกจึงสำคัญมาก เราไม่ได้กำลังแนะนำให้คุณต้องรีบลงมือทำงานเพื่อให้ทันเดดไลน์ แต่เรากำลังบอกคุณว่าตั้งแต่ตอนรับงานเราต้องชัดเจนแต่แรกว่าเราคาดหวังอะไรจากงานนี้? เราต้องชัดเจนกับตัวเอง เพื่อที่ถ้ารู้แต่ต้นว่างานนี้มันเกินศักยภาพของเรา เราจะได้ปฏิเสธ
ความเครียดอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติมาโดยตลอด โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องแข่งกันทำงาน ฟาดฟันกันทางธุรกิจ ความเครียดย่อมรุมเร้าเป็นเงาตามตัว ความเครียดในระดับที่เหมาะสมอาจหมายถึงเราได้เผชิญความท้าทาย ได้ก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน แต่ความเครียดที่พุ่งทะลุขีดก็อาจหมายถึงปัญหาสุขภาพที่ตามมา หรืองานที่ไม่มีประสิทธิภาพได้ การจัดการกับความเครียดให้อยู่หมัดจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรเรียนรู้และฝึกฝน ไม่ใช่เพื่อให้ชีวิตนี้ไม่มีเรื่องเครียดมากวนใจ แต่เมื่อมีปัญหาและเรื่องเครียดมาทักทายแล้วเราสามารถรับมือกับมันได้อย่างที่มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คนเขาทำกัน อย่ามัวคลายเครียด แต่หาสาเหตุแล้วกำจัดต้นตอของมัน กิจกรรมผ่อนคลายความเครียดไม่ได้ผิดอะไร เราสามารถทำกิจกรรมเหล่านั้นเวลาเราต้องการเพิ่มความรู้สึกรื่นรมย์ให้ชีวิต หรือเมื่อความเครียดนั้นอยู่ในระดับแค่เบี่ยงเบนความสนใจก็ดีขึ้น แต่เราไม่สามารถหาทางคลายเครียดเพื่อหนีความเครียด หรือกำจัดมันให้พ้นไปตลอดกาลได้ ดังนั้นหนทางสำคัญจึงเป็นการหาที่มาของความเครียดนั้นให้เจอ และจัดการกับมันอย่างตรงจุด การศึกษาวิจัยตลอดทศวรรษที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ที่ประสบความสำเร็จจากหลายแขนง ทั้งนักธุรกิจ ผู้นำการทหาร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กระทั่งนักกีฬามากความสามารถล้วนแต่โฟกัสไปที่การแก้ปัญหา ตั้งแต่ที่สถานการณ์เริ่มสร้างความตึงเครียดให้พวกเขา วิธีการก็คือการพยายามระบุแหล่งที่มาของความเครียดให้ได้ จากนั้นจึงจัดการกับมันอย่างตรงจุด เช่นกรณีของศัลยแพทย์ที่ต้องผ่าตัดครั้งสำคัญ นอกจากความยากของการผ่าตัดที่เป็นความท้าทายครั้งสำคัญซึ่งเลี่ยงไม่ได้แล้ว การนอนไม่พอหรือการหายใจผิดจังหวะจากความเครียดของตัวเองก็อาจทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก ดังนั้นทางแก้ที่พวกเขาเลือกจึงเป็นการนอนให้เพียงพอก่อนวันผ่าตัด การฝึกการหายใจเพื่อให้รับมือกับความเครียดในห้องผ่าตัดได้ดีขึ้น หรือกรณีของนักธุรกิจที่ต้องเครียดจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในองค์กร เขาจะไม่เลือกเพิกเฉย แล้วรอแก้ปัญหาที่ตามมา แต่เลือกหาสาเหตุของปัญหาเหล่านั้นและรีบคลี่คลายมันก่อนที่ทุกอย่างจะลุกลาม คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก จึงไม่ได้เลือกทางที่ความเครียดเกิดขึ้นแล้วหาทางบรรเทาอารมณ์ความรู้สึกนั้นแต่พวกเขาจะพยายามหาสาเหตุของความเครียดที่พวกเขารู้สึกเป็นอันดับแรก แล้วหาทางมาจัดการกับต้นตอนั้นให้เร็วที่สุด อารมณ์เชิงลบ ไม่ได้แย่เสมอไป ถ้าใช้ให้ถูกวิธี เชื่อว่าหลายคนเคยได้รับคำแนะนำเรื่องการจัดการความเครียดที่เน้นให้เราควบคุมอารมณ์เชิงลบของตัวเอง การไม่โกรธ การไม่ผิดหวัง คำแนะนำที่อยากให้เราผ่อนคลายอารมณ์จากความเครียดอันเผาไหม้ ด้วยการให้มองโลกมุมใหม่ การพยายามหามุมมองที่เป็นบวกกว่าให้ตัวเอง วิธีเหล่านั้นได้ผลในหลาย ๆ กรณี โดยเฉพาะเมื่อเราเผชิญความเครียดจากเรื่องที่เราไม่อาจควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงมันได้อีกแล้ว
“ความเครียด” ความอารมณ์เสียที่เกิดได้จากหลายปัจจัย คนจนก็เครียด คนมีเงินก็เครียด ลูกน้องก็เครียด เจ้านายก็เครียด ทุกคนต่างมีเรื่องให้เครียดเป็นของตัวเองทั้งนั้นแหละครับ ไม่ใช่คุณคนเดียว ซึ่งนอกจากจะสร้างความปวดหัว ยังมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา จนชีวิตแทบพังกันได้เลยทีเดียว แบบนี้ต้องเรียนรู้วิธีจัดการกับมัน ก่อนที่มันจะทำลายชีวิตเรา แม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าความเครียดมันไม่ดี แต่สุดท้ายเราก็จัดการกับความเครียดได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ หน้าที่การงาน เรื่องครอบครัว และเรื่องส่วนตัว วนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลาจนสภาพจิตใจเริ่มพัง ร่างกายเริ่มแย่ สมองเริ่มอ่อนล้า ประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่าง ๆ ของเราก็เริ่มเสื่อมถอย ดังนั้นก่อนที่จะไปจัดการกับความเครียด เราต้องรู้จักจำแนกความเครียดให้ชัดเจนก่อนว่ามีสาเหตุจากอะไร จะได้รับมือมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความเครียดมีหลายมุม ก่อนอื่น ต้องแยกแยะความแตกต่างของ ความเครียดที่ดี และความเครียดที่ไม่ดี ให้ได้ก่อน หลายครั้งความเครียดก็เป็นเรื่องบวกถ้าหากมันช่วยกระตุ้นให้เราตั้งใจทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ เช่น เครียดว่างานจะไม่เรียบร้อย จึงตรวจสอบให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แต่ถ้ามันเครียดมากไปจนถึงกับหัวเสีย ควบคุมสติไม่ได้ พาลเลิกทำมันไปดื้อ ๆ มันก็จะก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งความเครียดในเชิงลบสามารถส่งผลเสียต่อต่อมหมวกไต ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้า เรี่ยวแรงที่มีต้องแบ่งมารับมือกับความเครียดจนไร้พลังสำหรับความคิดสร้างสรรค์ เข้าข่ายยิ่งเครียดยิ่งเพลีย ส่วนการจัดการกับความเครียดนั้น แต่ละคนก็มีวิธีที่แตกต่างกันออกไป แต่ปัญหาที่มักจะเจอก็คือ ผู้ชายเรามักจะมีความต้านทานต่ำ รับมือกับสภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ไม่ดีเท่าที่ควร และแยกแยะไม่ค่อยออกว่าความรู้สึกแย่