ในความสัมพันธ์ของคู่รักเวลาที่ทะเลาะกันคุณเป็นคนแบบไหน ระหว่าง ‘ไม่พูดให้ปัญหาคลายตัวเอง’ หรือ ‘พูดให้หมดและจบตรงนั้น’ แน่นอนว่าไม่มีแบบที่ถูกและแบบที่ผิดแบบ 100% มีแต่แบบที่เหมาะสมสำหรับแต่ละสถานการณ์และของแต่ละคู่ต่างหาก แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนแบบไหน เราคิดว่าความสัมพันธ์จะยังไปต่อได้ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติเวลาอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี พร้อมกับจัดการกับตัวเองให้ได้ว่าต้องไม่ทำให้เรื่องบานปลาย ควบคู่ไปกับการพิจารณาหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้น เพราะปัญหาเกิดขึ้นแล้ว คุณย้อนเวลากลับไปไม่ได้ จงดีล วิท อิท แมน! ขอคุยกันเลยได้มั้ย ไม่อยากให้เราทะเลาะไปมากกว่านี้ ดอกเตอร์ Jason Whiting เปรียบปัญหาความของสัมพันธ์เป็นเหมือนเมล็ดของวัชพืช และบางปัญหาต้องรีบจัดการตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่รากจะหยั่งแล้วยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม ในการทำงานกับความเครียดที่เกิดขึ้นนั้น การจับเข่าเข้าคุยกันเป็นหนทางที่ดีสำหรับการเริ่มต้นเคลียร์ และส่วนที่สำคัญคือคำพูดเปิดประโยคที่เลือกมาต้องถูกไตร่ตรองมาอย่างแม่นยำต่อความรู้สึกของอีกฝ่าย เช่นคุณอาจจะเริ่มต้นว่า “ผมไม่ต้องการให้เราทะเลาะกันเลย และผมก็ให้มีความรู้สึกแย่ ๆ ติดตัวเราสองคน มาคุยกันหน่อยได้มั้ย” ในงานวิจัยของดอกเตอร์เจสันยังเสริมต่อไปอีกว่า ถ้าแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนไปเลยตั้งแต่ต้น อีกฝ่ายมักจะแสดงผลตอบรับที่ดีกลับมา และอาจนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ในที่สุด คิดเป็นผลลัพธ์ที่จบลงตัวอย่างดีมีค่าตัวเลขมากถึง 96% และปัญหาจะจบลงภายใน 3 นาทีที่คุยกัน ย้ำอีกครั้งว่า การเริ่มต้นคุยด้วยคำถามที่คิดมาอย่างดีและเยือกเย็น บทสนทนาจะต่างจากการใส่อารมณ์ เค้นถาม และจี้อีกฝ่ายแบบหน้ามือเป็นหลังมือ การให้ความเคารพต่อกันและกันเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฝ่ายที่สร้างปัญหาขึ้นมาหรือไม่ ต้องไม่ลืมที่จะจริงใจและแสดงความรับผิดชอบกับปัญหาเสมอ ถ้ายังต้องการที่จะไปต่อ พูดถึงการเริ่มต้นประโยคแล้ว
ฟังคำพูดมาเป็นร้อยเป็นพันคำ แต่ก็แยกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นจริงสักกี่เปอร์เซ็นต์ เลยต้องมาตกตะกอนกันว่าไอ้หมอนั่นพูดจริงสักแค่ไหน แต่การเอ่ยปากถามตรง ๆ ว่ามึงโม้ป่าววะ ? มันช่างดูไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย UNLOCKMEN ขอเสนอเทคนิคเจ๋ง ๆ ที่เราไม่ต้องเป็นนักสืบมือดี FBI ตัวท็อป ไม่ต้องมีลูกไม้หลอกล่ออะไร ก็สามารถประเมินความจริงจากปากฝ่ายตรงข้ามได้ ด้วยการ “มองตา” นั่นเอง มาดูกันว่า นอกจากดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจแล้ว มันจะสามารถบอกความจริงในคำพูดได้ยังไงกันบ้าง Word Don’t But Eye Contact Says เราอาจจะคุ้นชินกับประโยค Cliché ที่ว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” และตอนนี้ University of Tampere Conducted ก็ได้ยืนยันเรื่องนี้เช่นกัน จากการศึกษาเกี่ยวกับ Eye Contact ของคนเราโดยตรง แล้วพบว่านอกจากการสังเกตอาการต่าง ๆ ของดวงตาว่าอีกฝ่ายพูดจริงแค่ไหน เรายังสามารถบังคับอีกฝ่ายแบบทางอ้อมได้ด้วยการมองตา เท่ากับว่า นี่ไม่ใช่แค่การหาความจริงแต่สามารถบีบบังคับให้อีกฝ่ายพูดความจริงได้ด้วยสายตาอีกด้วย การศึกษาที่ว่านี้ ทำการทดสอบด้วยกลุ่มทดลอง 51 คน อายุตั้งแต่วัยเลือดร้อน 19 ปีไปจนถึงวัยทำงาน 37 ปี มาเล่นเกมกัน ในเกมนี้พวกเขาได้รับอนุญาตให้สามารถโกหกได้
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายสายไฮเปอร์พูดน้ำไหลไฟดับ หรือเป็นผู้ชายช็อต ๆ พูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนเพิ่งตื่นนอนตลอดเวลา ปัญหาที่เหมือนกันก็คือพูดอะไรไปก็ไม่เคยมีใครเข้าใจนอกจากตัวคุณเอง มันอาจดูเป็นเรื่องตลกให้เพื่อนฮากระจายในความพูดไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อชีวิตถึงจุดจริงจังอย่างการสัมภาษณ์งาน การนำเสนองาน คงไม่มีใครมานั่งตลกกับคุณได้แน่ ๆ หรือแม้แต่บางครั้งมีไอเดียระดับมหากาฬแต่อธิบายออกมาเหลือแค่โครงงานเด็กปอสี่ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ UNLOCKMEN จะมาแก้ปัญหานี้ไปพร้อมกันเพื่อไม่ให้แก๊งค์เพื่อนต้องหัวเราะใส่ หรือเจ้านายต้องไล่ไปทำงานใหม่ ทั้ง ๆ ที่เราก็โคตรจะตั้งใจพูดเลย! เตรียมประเด็นสำคัญไว้เป็นข้อ ๆ เรื่องมีอยู่สิบเล่าไปร้อย แต่ก็ยังไม่เข้าประเด็นสักที เพราะอุปสรรคของการสื่อสารสำหรับคนพูดไม่รู้เรื่องส่วนมากคือการพูดไม่เข้าประเด็น แม้ว่าบางคนพูดลื่นไหลเป็นสายน้ำ แต่กลายเป็นจับใจความอะไรไม่ได้เลย หากคุณจัดอยู่ในคนประเภทนั้น ลองกำหนดใจความสำคัญที่คุณอยากสื่อสารเอาไว้ในใจ “เป็นข้อ ๆ” เอาแต่ใจความเนื้อ ๆ เน้น ๆ โดยอาจจะเป็นประโยคสั้น ๆ ไม่ต้องบรรยายเป็นพารากราฟให้ปวดหัวทั้งคนฟังคนพูดอีกต่อไป มันจะช่วยประหยัดเวลามากกว่าการอธิบายอะไรยืดยาว ที่อธิบายไปคุณก็เข้าใจอยู่คนเดียว เรียงลำดับให้ดี ตอนเปิดอ่านหนังสือสักเล่ม เรามักจะเจอกับคำนำ สารบัญ เนื้อเรื่อง และข้อคิดปิดท้ายใช่มั้ย ? การพูดอธิบายอะไรสักอย่างมันก็ควรมีลำดับของมันเหมือนกัน หากคุณเป็นประเภทนึกอะไรออกก็พูด ขอให้ลองหันมาใช้เทคนิคนี้กันดู ค่อย ๆ คิดว่าอะไรมันมาก่อนมาหลัง ถ้าลำดับเองมันยากนัก เราขอแนะนำลำดับง่าย ๆ
“The art and science of asking questions is the source of all knowledge. – ศาสตร์และศิลป์ของการถามคำถามคือต้นกำเนิดของแหล่งความรู้” คำกล่าวของ Thomas Berger นักประพันธ์ชื่อดังชาวอเมริกันผู้ล่วงลับ เคยถามตัวเองไหมครับ ว่าเวลาที่เราเข้าสังคมทำไมถึงไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับเราต่อเลย ทั้ง ๆ ที่เราก็เปิดฉากสนทนาด้วยการถามไถ่ด้วยความใส่ใจ เรื่องอัธยาศัยก็ระดับผู้ชาย friendly แต่ก็ยังโดนเบือนหน้าหนี บ้างก็โดนด่า(ในใจ) ไม่ก็โดน ‘สะบัดมือใส่’ หรือว่าเราพูดอะไรผิดไปวะ !? เรื่องการเข้าสังคมและสนทนากับผู้อื่นถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ บางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่าประโยคคำถามของเราอาจทำให้ใครเขารู้สึกแหม่ง ๆ หรือเขินอายได้เหมือนกัน เอาอย่างนี้ครับ เริ่มต้นด้วยการสำรวจว่าเราชอบถามคำถามแบบนี้หรือเปล่า และถ้าพบว่าเออหวะ เรา(แม่ง)ชอบถามแบบนี้ด้วยความเคยชิน ทีมงาน UNLOCKMEN ก็มีแนวทางการถามที่ต้องการคำตอบเดียวกัน แต่ฟังแล้วสมูธกว่าเยอะมาแนะนำกันด้วย เข้าใจครับว่าการอยากรู้เรื่องชาวบ้านมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่มันก็ต้องมีศิลปะกันหน่อย “ไปเที่ยวมาเหรอ ? น่าสนุกนะครับ” ส่วนใหญ่เวลาที่เราได้ยินคนบอกว่าไปไหนมา เรามักจะคิดไปเองก่อนว่าเขาไปเที่ยวและต้องสนุกแน่ ๆ ตั้งสติก่อน เพราะอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
โอกาสในชีวิตของเราทุกคนมันสั้น เวลามา มันจะมาภายในไม่กี่วินาที และไม่ให้เราตั้งตัว ถ้าชวดเมื่อไรก็อาจจะไม่วนกลับมาอีก เลยมีคนคิดวิธีที่เรียกว่า Elevator Pitch หรือหลักการพูดให้โดนใจคนฟังในไม่กี่วิ เหตุผลที่เขาใช้คำนี้ เพราะไว้เปรียบเทียบกับเวลาที่เราไปเจอใครสักคนระหว่างขึ้นลิฟต์ แล้วต้องขายของเขาให้ได้ระหว่างลิฟต์เคลื่อน เฉลี่ยเวลารวม ๆ ก็ไม่เกิน 1 นาทีเท่านั้นเอง ลองดูตัวอย่างจากในคลิปดูแต่ละเคสไว้ว่าเราอยากเป็นแบบคนไหนกันแน่ เพื่อคว้าโอกาสแบบสบาย ๆ ไม่ว่าจะสัมภาษณ์งาน ปาร์ตี้ค็อกเทล หรือระหว่างขึ้นลิฟต์เกิดใครที่สนใจแล้วอยากสานต่อด้วยขึ้นมา เราแนะนำให้คุณใช้วิธีเปิดบทสนทนาปิดการขายที่ Paul McDonald ตำแหน่ง senior executive director ของ staffing firm Robert Half เคยให้ไว้กับ Business Insider ทั้ง 6 วิธีนี้ 1. รู้ให้จริงว่าเราอยากได้อะไร แล้วไปให้สุด “Take your resume and LinkedIn profile and go through it thoroughly,” said
ในสมรภูมิคอนเทนต์ออนไลน์ที่ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดชื่อของสื่อออนไลน์อย่าง The MOMENTUM เป็นอีกชื่อที่เด่นชัดขึ้นมา แต่ภายใต้ความเชื่อที่ว่าข่าวหรือคอนเทนต์ออนไลน์ต้องไว ต้องจัดจ้านและดึงดูด “นิ้ว-อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา” บรรณาธิการบริหาร The MOMENTUM กลับยืนยันหนักแน่นว่า “ต้องคิดตลอดว่าถ้าเราเขียนอะไรไปในวันนี้มันอาจจะถูกแชร์ไปในวันอื่นก็ได้ แล้วเราต้องคิดว่าถ้ามันถูกแชร์ไปในวันอื่น คอนเทนต์จะต้องยังอ่านได้” คอนเทนต์ออนไลน์ของ The MOMENTUM จึงไม่ได้ว่าด้วยความไว แต่เป็นคอนเทนต์ที่ออกมาเร็วปานกลาง แต่หนักแน่น เข้มขม เต็มไปด้วยการตั้งคำถามและเปิดกว้างชวนให้คิดตาม แถมมีน้ำเสียงเฉพาะตัวภายใต้ฝีมือบรรณาธิการบริหารอย่าง “นิ้ว-อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา” UNLOCKMEN ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับเธอในวันที่สื่อออนไลน์ถูกตั้งคำถามว่าฉาบฉวยจริงไหม? มาไวแล้วจะไปไวด้วยจริงหรือเปล่า? ในวันที่ The MOMENTUM ถูกทิ้งไปและเธอตั้งใจว่าจะไม่ทำงานบริหารแล้วอะไรทำให้เธอเลือกเดินเข้ามา? ในฐานะบรรณาธิการบริหาร เราคิดว่า The MOMENTUM ในปัจจุบัน ทั้งภาพลักษณ์ ตัวตน วิธีคิด เมื่อเทียบกับ The MOMENTUM เดิม มันเติบโตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เราค่อนข้างเปลี่ยนเยอะ แต่ต้องบอกก่อนว่าเราชื่นชมใน The MOMENTUM ตั้งแต่ตั้งต้น ตอนปี 2016 ที่มีทั้ง The
เราต่างประสบปัญหาหัวร้อนเป็นไฟกันมาแล้วเมื่อต้องถกเถียงกับใครอย่างดุเดือดผ่านทางช่องการสื่อสารออนไลน์ จนเราพากันคิดว่านี่เราตั้งสเตตัสอธิบายยาวเหยียดก็แล้ว ส่งข้อความไปคุยด้วยก็แล้ว ทำไมยังเถียงกันไม่จบ แถมอีกฝั่งก็ไม่ได้ดูมีทีท่าว่าจะเข้าใจเรามากขึ้นเลย UNLOCKMEN ขอเสนอตัวหยุดความหัวร้อนเป็นไฟไว้ให้ แล้วเอา 3 วิธีทำให้เขาฟังเราอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาฝาก 3 วิธีหยุดวามหัวร้อนเป็นไฟแล้วทำให้เขาหันมารับฟังเราอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาลอย ๆ แต่เป็นงานวิจัยที่ผ่านการศึกษามาแล้วอย่างจริงจังโดย Juliana Schroeder ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการจัดการองค์กรที่ Haas School of Business, University of California, Berkeley Juliana Schroeder ศึกษาเรื่องการมีข้อถกเถียงระหว่างกันโดยศึกษาคน 300 คน ซึ่งทั้ง 300 คนนั้นถูกขอให้ร่วมดู ร่วมฟัง และร่วมอ่านข้อถกเถียงต่าง ๆ เช่น เรื่องการทำแท้ง เรื่องสงคราม เรื่องเพลง (โดยอาจจะเป็นเรื่องที่เขาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้) ผลปรากฏว่าการถกเถียงกันแต่ละครั้งและมีแนวโน้มที่จะทำให้อีกฝ่ายหันมารับฟังเราหรือเข้าใจเราได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่การเถียงกันผ่านตัวอักษรอย่างการอ่านหรือเขียน แต่เป็นด้วยการดู การพูดหรือการฟังมากกว่า ข้อสรุปจากงานวิจัยของ Juliana Schroeder จึงมีความสำคัญต่อผู้ชายหัวร้อนอย่างเรามาก เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่าเราควรสื่อสารผ่านทางช่องทางไหนเมื่อต้องการโน้มน้าวใจคนที่เขาไม่เห็นด้วยกับเรา โดยเฉพาะการเจรจาทางธุรกิจ ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าคุณจะส่งข้อความคุยกันเฉย ๆ ไม่ได้
นักลงทุนอารมณ์ดีคนนี้ มีจุดเริ่มต้นและแนวคิดดีๆมากฝากเราเพียบ โดยเฉพาะถ้าคุณสนใจจะลาออกมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว ควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง