ไม่ว่าเราจะขับรถยนต์ราคาหลักแสนหรือหลักล้าน สิ่งเดียวที่เป็นส่วนสัมผัสกับพื้นถนนและมีผลโดยตรงกับระยะเบรกที่มีประสิทธิภาพ รองรับแรงกระแทกจากร่องหลุมบ่อบนท้องถนน คอยรีดน้ำเจิ่งนองตอนฝนตกในขณะที่เราเดินทางด้วยความเร็วให้รถเกาะถนนควบคุมได้ดั่งใจ ก็คือยางรถยนต์ทั้ง 4 เส้น ผู้ซึ่งเป็นฮีโร่นอกสายตา คอยปิดทองหลังพระมาเสมอ เพราะในขณะที่เราดูแลรถยนต์ให้สวยหล่อดูใหม่เสมอ หลายคนกลับไม่เคยก้มถามสารทุกข์สุขดิบของยางรถยนต์เลยว่าเป็นยังไงบ้าง สุขภาพดอกยางยังดูดีอยู่มั้ย ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ยุ่งเหยิงของคนเมือง ที่เวลาพักผ่อนดูแลสุขภาพตัวเองยังแถบไม่มี ไม่ต้องพูดถึงสุขภาพยางกันเลย หรือบางคนอาจจะไม่ลืม แต่จำใจต้องทนใช้ยางเก่าต่อไปให้นานที่สุด เพราะเปลี่ยนครั้งนึงก็ต้องควักจ่ายไม่ใช่น้อย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ยางรถยนต์นั้นมีความสำคัญเป็นอันดับ 1 แอร์พัง เครื่องเสียงดับ ยังขับและเบรกได้ แต่ถ้ายางไม่ดีเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงอันตรายที่พร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เราอยากให้คุณถามตัวเองตอนนี้เลยว่า “คุณได้ดูแลยางรถยนต์บ้างมั้ย?” ถ้าคำตอบคือ “ไม่เคยเลย” นั่นแปลว่าคุณกำลังเสี่ยงกับอันตรายบนท้องถนนหลายอย่าง เนื่องจากยางที่เก่าเสื่อมสภาพ ยางเสื่อมสภาพ จุดเริ่มต้นของอันตรายหลากหลายด้าน – ยางรถยนต์ย่อมมีวันเสื่อมสภาพและคุณสมบัติไปตามกาลเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากการเสื่อมสภาพตามอายุ ยังต้องเจอกับสารพัดสภาพอากาศ เมื่อยางปะทะกับอากาศบวกกับมีความร้อนสะสม จะไปเร่งให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) ยางที่อายุมาก ๆ จึงสูญเสียความยืดหยุ่น เนื้อยางแข็งกระด้าง ทำให้ยึดเกาะถนนได้ไม่ดี ในเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ Paul Walker ประสบอุบัติเหตุในรถ Porsche Carrera GT มีรายงานจากตำรวจ California Highway Patrol คาดว่าปัจจัยนึงที่ทำให้ Supercar
ว่ากันเรื่องผู้ชายกับยานพาหนะ ย่อมมีความหมายมากกว่าแค่ผู้ขับขี่และรถคันหนึ่ง นอกจากสมรรถนะอันยอดเยี่ยมที่ทำให้เราประทับใจแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ ของรถคู่ใจยังเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราหลงใหล เป็นความหมายที่ช่วยผลักดันให้ทำสิ่งที่เปี่ยมไปด้วย Passion ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้ จากการวิจัยพบว่า สาเหตุที่ผู้ชายอาจหลงใหลในยนตรกรรมมาก ๆ ก็เพราะว่าเสน่ห์ของการออกแบบที่อยู่ถาวร ความรู้สึกอิสระในเวลาที่ได้ควบคุมพวกมาลัยและคันเร่งที่จะพาเราไปทุกที่ การอยากจะดูแลยานพาหนะสักคันตามสัญชาติของหนุ่ม ๆ มันสามารถบ่งบอกตัวตนของเราได้ จึ่งไม่แปลกที่ผู้ชายจะรู้สึกว่ารถคันโปรดของเขาคือส่วนหนึ่งในชีวิต ราวกับมิตรสหายที่โตมาด้วยกัน และถ้าพูดถึงยนตรกรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วย Story, Passion และ Feeling นั้น ชื่อแรก ๆ ที่โผล่ขึ้นมาในใจก็คือ BMW ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีที่ผู้คนทั่วโลกต่างยอมรับทั้งชื่อเสียง สมรรถนะ เทคโนโลยี ความสวยงาม และเรื่องราวระดับตำนานมาถึง 100 ปี ซึ่งความคล้องจองระหว่าง insight และตัวแบรนด์ใบพัดฟ้า-ขาว ทำให้ BMW ผุดไอเดียแคมเปญ #BMWStories ที่เกิดจากความเชื่อที่ว่า “เรื่องราวของทุกคน สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้” โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้รถ BMW ในประเทศไทยได้บอกเล่าเรื่องราว, passion และความประทับใจของรถคันโปรด และแบ่งปันแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น จากแคมเปญ #BMWStories ทำให้เราได้รับแรงบันดาลใจจากผู้คนที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองกับรถ BMW คู่ใจ ซึ่งแต่ละคนก็จะมี passion ที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นนักแข่งรถ, นักเดินทาง
590,000,000 (ห้าร้อยเก้าสิบล้าน) บาท นี่ไม่ใช่งบประมาณลับทางทหารของประเทศไทยที่ประชุมกันแบบไม่เปิดเผย แต่นี่คือราคาของรถยนต์ 1 คัน ที่ได้รับตำแหน่ง “แพงที่สุดในโลก” อย่างเป็นทางการ แซงหน้า One-off Rolls-Royce Sweptail รถหรูสั่งทำคันเดียวในโลกที่เคยครองแชมป์ด้วยราคา $13,000,000 (440,000,000 บาท) ไปแบบไม่เห็นฝุ่น นั่นคือ Pagani Zonda HP Barchetta ตำนานสุดพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาเพียง 3 คันในโลก มันดีซะจนเจ้าของต้องขอเก็บไว้ใช้เอง 1 คัน เหลือวางขายเพียง 2 คันเท่านั้น ในราคาเลือดตากระเด็น $17,500,000 (590,000,000 บาท) และราคานี้เราคงโดนผู้ใหญ่ดุว่า ซื้อรถทั้งทียังไม่มีหลังคามาให้ซะด้วย หลังผ่านช่วงอายุขัยการผลิตกว่า 18 ปีของ Pagani Zonda และหยุดสายการผลิตไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังทิ้งตำนานที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ และล่าสุดพึ่งจะเปิดเผยรุ่น Special Edition ทิ้งทวน Zonda series ที่พิเศษถึงขั้นใช้ชื่อย่อของ Horacio Pagani ผู้ก่อตั้งเป็นรหัสใน
ความหล่อของ BMW X5 นั้นเราคงไม่ต้องวิจารณ์อะไรให้มากความ เพราะมันเป็นรถ SUV ขนาดใหญ่ที่ดูป๋าสุด แถมยังพกเทคโนโลยีมาเต็มเปี่ยม ทรงพลังไม่แพ้ใครบนท้องถนน ซึ่งทรง BMW เรียกมันว่า SAV หรือ Sports Activities Vehicle ซึ่งตัวแรงสุดในตระกูลนี้ต้องเป็น BMW X5 M ที่มาพร้อมขุมพลัง 570 แรงม้า ทำเวลา 0 – 100 Km/h ได้ภายใน 4 วินาที ตัวเลขที่คนทั่วไปแค่เห็นก็ถึงกับต้องเกร็งตัวดูเหมือนจะยังไม่พอใจสำนักจูนรถ Auto-Dynamics Vehicle แห่ง Poland มากนัก จึงจับมันมาทำเป็นโปรเจคพิเศษ เสกแรงม้าเพิ่มเข้าไปให้อีก 100 ตัว กลายเป็น BMW X5 M Avalanche รถ SUV ที่ทรงพลังยิ่งกว่า Lamborghini Urus ด้วยตัวเลขแรงม้ามากถึง 670 แรงม้า
ในขณะที่โลกเรากำลังถกเถียงกันว่า AI จะเป็นประโยชน์หรือโทษมหันต์กันแน่? คำตอบที่ Sun Tianqi ผู้หลงใหลในหุ่นยนต์ AI และเป็น CEO บริษัท Vincross ที่มีผลงานเด่นเป็นหุ่นยนต์แมงมุม 6 ขาอารมณ์ดีนามว่า Hexa ได้มอบคำตอบให้เราเรียบร้อยแล้วว่า มันขึ้นอยู่กับการใช้งานสิ่งเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์หรือโทษต่างหาก พร้อมหลักฐานผลงานสร้างสรรค์ในฐานะ Art Project ของตัวเองที่ตั้งชื่ออย่างตรงตัวเข้าใจง่ายว่า “Sharing Human Technology with Plants” ผลงานที่ว่าคือหุ่นยนต์ที่ใช้พื้นฐาน Hexa หุ่นยนต์ชื่อดังของบริษัท Vincross ของตัวเอง ผ่านการนำมา Reprogramming ใหม่ให้รองรับการทำงานร่วมสารพัด Sensors และ Infrared ที่ติดตั้งเข้ามาเพิ่มจาก Hexa เวอร์ชั่นปกติ สำหรับตรวจจับแสงแดด เงา และความชื้นรอบ ๆ พร้อมสิ่งสำคัญคือกระถางต้นไม้บนหัว เมื่อ Hexa รู้สึกว่าต้นไม้ขาดน้ำ จะสามารถแสดงอารมณ์ได้ด้วยการกระทืบเท้าให้เรารับรู้ว่าถึงเวลาต้องรดน้ำ หรือเมื่อต้นไม้ต้องการแสงแดด Hexa สามารถพาตัวเองไปหาแสงแดดได้เองโดยอัตโนมัติ พร้อมกับหมุนตัว 360 องศา เพื่อให้มั่นใจว่าต้นไม้จะได้รับแสงแดดอย่างทั่วถึงทุกซอกทุกใบ
ความเครียดที่เคยตามเราเหมือนเงาไปทุกที่ มันไม่ได้ทิ้งไว้เพียงแค่ความตึงเครียดของความคิดเท่านั้น แต่หลายครั้งมันส่งผลมาถึงกายภาพของเราอีกด้วย ในรูปแบบของความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หรือแม้แต่ความปวดเมื่อย เป็นอีกหนึ่งร่องรอยที่ความเครียดได้ทิ้งเอาไว้บนร่างกายของเรา ความปวดเมื่อยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย มันไปโผล่ได้ในทุกที่ที่มันอยากไปนั่นแหละ ความซวยจะตกอยู่ที่ใครได้ นอกจากเรานี่แหละ ที่ต้องแบกทั้งความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจเอาไว้ด้วยกัน แค่ฟังก็เจ็บปวดแล้ว แต่เราจะทนอยู่กับความปวดเมื่อยแบบนั้นไปทำไม UNLOCKMEN อยากแนะนำนวัตกรรมเจ๋ง ๆ ที่จะช่วยให้เราหายปวดเมื่อยได้ง่าย ๆ เหมือนมีหมอนวดส่วนตัว (หมอนวดแบบ Literally ไม่ใช่นวดปู๋แต่อย่างใด) ที่ไปกับเราได้ทุกที่ มาดูกันว่ามันคืออะไร Masseuse In Your Wallet! หยิบครีมแก้ปวดกล้ามเนื้อขึ้นมานวดก็เลอะเทอะ กลิ่นแรง คนรอบข้างได้มองกันเป็นแถบแน่ ๆ เก้าอี้นวด เครื่องนวด ก็ไม่ใช่ของที่อยู่ในขนาดที่พกพาได้แบบไม่ขัดเขิน ลองนี่กันหนุ่ม ๆ “Cardlax” มันก็คือเครื่องนวดนี่แหละ แต่มันมาในขนาดพอ ๆ กันนามบัตร เพียง 4.7 mm ประมาณบัตรเครดิตสามใบซ้อนกัน บางซะจนเราเอาใส่ไว้ในกระเป๋าตังได้สบายบรื๋อ นอกจากจะพกพาง่ายแล้ว เวลาหยิบขึ้นมาใช้ช่วยให้ไม่เคอะเขิน ด้วยจุดเด่นที่ขนาดมันเล็กน่ารัก ไม่ว่าจะเมื่อยล้าจากการนั่งทำงาน ขับรถ กิจวัตรประจำวัน
ผู้ชายคนไหนที่ดู Iron Man แล้วรู้สึกว่าทำไมมันเท่จังวะ ทั้งความเป็นซูเปอร์ฮีโร่สุดกวน แล้วไหนจะสารพัดเทคแก็ดเจ็ตคูล ๆ โดยเฉพาะ Jet Suit ที่พาเหาะไปที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้นั่นอีก ถ้าได้มาติดบ้านสักชุดคงจะเหาะหนีรถติดไปแบบคูล ๆ จนคนทั้งประเทศต้องเงยหน้ามองเราแน่ ๆ UNLOCKMEN อยากจะตะโกนบอกว่าการเหาะได้ด้วยแก็ดเจ็ตเท่ ๆ จะไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้วโว้ย! UNLOCKMEN ขอแนะนำให้รู้จักกับ GRAVITY Jetpack ที่ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท GRAVITY Industies ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่ใส่ปุ๊ปก็เหาะเป็น Iron Manอย่างที่เราเคยจินตนาการไว้เลยทีเดียว โครงการ Jet Suit นี้พัฒนามาตั้งแต่ปี 2017 ล่าสุดก็ถูกนำมาบินทดสอบใจกลางกรุงลอนดอนเป็นที่เรียบร้อยโดยผู้ที่บินทดสอบก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล Richard Browning เจ้าของบริษัท GRAVITY Industies นั่นเอง Jet Suit GRAVITY นี้จะประกอบไปด้วยเครื่องยนต์ขนาดเล็กจำนวน 5 เครื่องที่ที่ติดอยู่บนแขนและหลังของผู้ที่สวมใส่ ซึ่งเหตุผลในการออกแบบให้ตัวเครื่องยนต์ของตัว GRAVITY อยู่บริเวณแขนและหลัง เพราะผู้พัฒนาอยากจะมอบความรู้สึกในการบินให้กับผู้สวมใส่ได้สวมบทบาทในการเป็น Iron man
เวลาผ่านไปไวเกิน หรือหน้าตาของ Audi TT / TTS คลาสสิคล้ำสมัยเกินไป ทำให้เราเกือบลืมไปว่ามันกำลังเข้าสู่ช่วงกลางอายุขัยของ Generation ที่ 3 แล้ว และในขณะที่หลายคนกำลังตัดสินใจว่าจะซื้อตอนนี้ หรือจะรอเห็นหน้าตา Facelift version ให้สบายใจก่อน ซึ่งจากแผนเดิมควรจะเปิดตัวช่วงปลายปีนี้ในงาน Paris Auto Show เดือนตุลาคม แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องรออีกต่อไปแล้ว เพราะวันนี้เราได้เห็นโฉมหน้าความเปลี่ยนแปลงของ 2018 Audi TT แบบเต็มตาไร้ผ้าคลุม ความเปลี่ยนแปลงของ Audi TT และ TTS Facelift ภายนอกที่สังเกตเห็นได้ชัดที่สุดก็คือ ดีไซน์ชุดกันชนหน้าและหลังใหม่ โดยกันชนด้านหน้าแบบ 3D singleframe radiator grille มีการเพิ่มช่องดักลมที่เชื่อมต่อกันจากด้านข้างซ้ายและขวาขนาดใหญ่เข้าไป ซึ่งของเดิมไม่มี ทำให้ด้านหน้าของ Audi TT ดูเต็มตา ใหญ่โตมากขึ้น ส่วนกันชนหลังมีการเพิ่มช่องระบายอากาศ และ Air Diffuser บริเวณท่อไอเสียเพิ่มขึ้น สำหรับล้อลายใหม่นั้น เราคิดว่า Audi Thailand
มีภาพยนตร์มากมายที่ใช้รถเป็นตัวหลักของเรื่อง จนทำให้รถคันนั้นดูเด่นพอ ๆ กับนักแสดงนำของเรื่องเสียอีก แม้ว่าปัจจัยหลักส่วนใหญ่เวลาค่ายหนังจะเลือกใช้รถซักคันมักมาจากสปอนเซอร์ แต่ทว่าหนึ่งในยี่ห้อรถที่ถูกนำมาใช้ค่อนข้างมากคือแบรนด์สุดเก๋าอย่าง Ford อาจเพราะพวกเขามีรถให้เลือกใช้หลายประเภทตั้งแต่รถสปอร์ตยันรถกระบะคันใหญ่ ซึ่งส่วนมากหนังจากฮอลลีวูด มักจะเลือกรุ่นสปอร์ตอเมริกันยอดนิยมอย่าง Mustang ดังนั้นวันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำรถ Ford 5 คันที่ถูกเลือกนำไปใช้ประกอบหนังจนโด่งดังเป็นพลุแตกให้ได้รับชมกันครับ 1968 Ford Mustang Fastback – BULLITT เริ่มคันแรกกับ 1968 Ford Mustang Fastback สีเขียวเข้ม Dark Highland Green จากหนังไล่ล่าชื่อดังระดับตำนานอย่าง BULLITT ที่นำแสดงโดย Steve McQueen นักแสดงชื่อดังผู้ล่วงลับ ว่าด้วยเรื่องของตัวเอก Frank Bullitt นายตำรวจแห่งเมืองซานฟรานซิสโกผู้ถูกมอบหมายให้คุ้มครองพยานปากเอกคนสำคัญ ซึ่งจะต้องขึ้นให้การกับศาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่งานกลับไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อ Bullitt ค้นพบว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลกับพยานคนนี้ โดย Bullitt ก็ได้ใช้รถ Mustang Fastback ปี 1968 สีเขียวเข้มคันนี้เป็นรถประจำตัวเองอีกด้วย และจุดเด่นของเรื่องนี้คือฉากไล่ล่าระดับตำนานซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังรถยุคใหม่
เจอรถติดใช่มั้ย ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ใช่ปัญหาของ taxi คันนี้ (ที่จริงต้องใช้คำว่าลำนี้) ท่ามกลางความเดือดของการแข่งขันด้าน Flying Taxi หรือรถบินได้ ที่มีทั้งบริษัทใน Dubai และทาง Uber ดูจะเป็นผู้นำหน้าเทคโนโลยีอยู่ในขณะนี้ ทางด้าน Rolls-Royce Holdings plc บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินชั้นนำของโลกที่เรานั่งโดยสารกันอยู่ในปัจจุบัน (เครือเดียวกับ Rolls-Royce Motor Cars ผู้ผลิตยนตรกรรมสุดหรูราคาแพงระยับจากอังกฤษ) ได้ทำการประกาศศักดาลุยธุรกิจสายใหม่ เปิดตัว Hybrid Flying Taxi ในงาน Farnborough International Airshow 2018 Flying Taxi ลำนี้มีรหัสเรียกขานว่า Electric Vertical Take-off and Landing (EVTOL) หรือ “อากาศยานพลังงานไฟฟ้าที่บินขึ้นลงได้ในแนวดิ่ง” สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 4-5 คน ทำความเร็วได้ประมาณ 400 กม. ต่อชั่วโมง ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้งสามารถบินได้ไกลราว 800