เชื่อว่าไม่น่าจะมีใครคุ้นตา BMW คันนี้กันมากนัก หรือบางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงภาพจำลองในอดีต ที่จริงแล้ว BMW M12 สุดลึกลับคันนี้ คือรถที่เคยถูกสร้างขึ้นในฐานะ Concept car สามารถใช้งานได้ทุกอย่าง และเกือบจะถูกส่งต่อไปในขั้นตอน pre-production model เพื่อขายให้ลูกค้าทั่วไป แต่น่าเสียดาย ที่รถคันนี้ไม่ได้ถูกขึ้นไลน์ผลิตสู่สาธารณะในปี 1991 BMW Nazca M12 รถยนต์ที่ BMW ได้มอบหมายให้ Giorgetto Giugiaro และ Fabrizio Giugiaro เจ้าของ Italdesign สำนักออกแบบรถยนต์อันโด่งดังเป็นผู้ดีไซน์เพื่อนำไปจัดแสดงในงาน Geneva Motor Show ซึ่งในปีนั้นทุกสื่อต่างพูดถึงชื่อ BMW Nazca M12 และถูกนำไปพาดหัวข่าวกันอย่างครึกโครม Italdesign สำนักออกแบบสุดเนื้อหอมมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีผลงานระดับตำนานผ่านมือมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน เช่น 1976 Lotus Esprit, 1981 DeLorean DMC-12, 1984 Saab 9000, 2004
แม้ Mercedes จะไม่สร้างตัวถัง AMG G63 Convertible ออกมา แต่ก็หยุดความต้องการของสำนัก Refined Marques ไม่ได้ โดยจุดเริ่มต้นของไอเดียนี้มาจากลูกชายที่ขับ Brabus G700 แล้วปรึกษาพ่อว่าอยากทำหลังคา soft-top roof ความเป็นพ่อที่มีและมีกำลังทรัพย์สูง จึงนำไอเดียนี้ไปรวมทีมเพื่อสร้างแบบ One-off ให้ลูกชาย เพื่อพบว่ามีลูกค้าอีกมากมายต้องการ G63 Cabriolet เช่นกัน จึงเปิดรับออเดอร์ในจำนวนจำกัดเพียง 20 คันเท่านั้น ความเจ๋งของไอเดียนี้คือบอดี้ที่ดัดแปลงให้เข้าออกได้สะดวกกว่า G500 Cabriolet Final Edition 200 limited 200 คัน เครื่อง 5.5-liter V8 388 แรงม้า ซึ่งทาง Refined Marques เลือกใช้ประตู suicide doors เพื่อความสะดวกสบาย หลังคา soft-top ที่เปิดและปิดง่ายกว่า และที่สำคัญคือขุมพลัง 4.0-liter twin-turbo
เหมือนจะทิ้งทวนก่อนเข้าสู่ยุคของการจูนรถไฟฟ้า Manhart ถึงได้จัดเต็มสร้าง M5 ที่แรงที่สุดเท่าที่สำนักเคยทำมา รหัส MH5 900 สื่อถึงตัวเลขแรงม้าทะลุ 928 horsepower (ปกติมีแต่คนปัดขึ้น แต่ Manhart ปัดเลขแรงม้าลง) 914 lb-ft of torque จากขุมพลัง 4.4-liter twin-turbo V8 engine ในจำนวนจำกัดเพียง 5 คันเท่านั้น เครื่องยนต์ S63 ถูกนำมาอัพเกรดระบบและไส้ในใหม่ทั้งหมด จัดเต็มทุกจุดไม่ว่าจะเป็น carbon fiber intake, Wagner Tuning intercooler, Carillo forged pistons, H-shaft connecting rods สามารถรองรับแรงม้าได้สูงสุดถึง 1,200 HP ระบบไอเสีย racing downpipes พร้อมท่อ stainless steel และปรับจูน ECU เต็มระบบ
หากพูดถึง true icon ของ Volkswagen ต้องยกให้ Golf โมเดลเก่าแก่ที่มาช่วยเติมเต็มตำนานต่อจาก Beetle เปิดประตูสู่โลกแห่ง compact cars ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์วงการรถยนต์ของโลก และขณะที่พวกเรากำลังเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่ง VW Golf จะมีอายุครบ 50 ปีบริบูรณ์ ความสำคัญของ VW Golf ตั้งแต่เปิดตัวในปี 1974 หลังใช้เวลาพัฒนานานถึง 20 ปี ผ่านการทดสอบผ่าน prototypes มานับไม่ถ้วน จนได้ผลลัพธ์ทีดีที่สุดสำหรับโจทย์ ณ ตอนนั้น คือการเป็นโมเดลที่เปลี่ยนถ่ายระหว่างยุคเครื่อง air-cooled วางหลังขับหลังใน Beetle สู่ยุคของเครื่องยนต์ water-cooled วางหน้าขับหน้าได้อย่างสวยงาม เป็นโมเดลที่ราคาเอื้อมถึงได้ง่าย มันจึงเป็นรถคันแรกของหลาย ๆ บ้านที่อึด ถึก ทน ดูแลรักษาง่าย และไว้ใจได้เสมอในทุกการเดินทาง ซึ่งหากเราอยู่ในยุค 50 ปีที่แล้ว มันถือเป็นโมเดลที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ของ
The Ultra Rare BMW 333i E30 ตัวหายากจากการร่วมมือกันระหว่าง BMW South Africa และ Alpina รูปทรงบอดี้เดิม เพิ่มเติมคือเครื่องยนต์ M30B32 6 สูบเรียง จากรุ่นใหญ่อย่าง 533i, 633CSi และ 733i ทำให้มันแรร์ยิ่งกว่า E30 M3 เพราะมีเพียง 210 คันในโลก รวม prototypes และรถเทส สาเหตุที่ BMW South Africa มี E30 รุ่นพิเศษแบบนี้วางขายแค่ที่เดียว เป็นเพราะคนที่นั่นก็ชื่นชอบและบ้า BMW มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่รถยนต์เป็นพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา และในเมื่อ M3 E30 หรือ Alpina B6 3.5S เป็นพวงมาลัยซ้าย จึงยากที่จะทำตลาดเพราะต้องกลับพวงมาลัย ทาง BMW
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2506 ที่งานตูริน มอเตอร์ โชว์ (Turin Motor Show) ครั้งที่ 45 หนึ่งในงานมหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสมัยนั้น มาเซราติ ได้สร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัว “มาเซราติ ควอตโตรปอร์เต้ (Maserati Quattroporte)” สู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก จนถึงปีนี้ นับว่าเป็นการครบรอบ 60 ปีพอดีที่รถยนต์ซีดานสุดหรูตระกูลนี้ยืนยงในวงการยานยนต์และได้ส่งรถรุ่นใหม่ลงตลาดต่อเนื่องมาแล้วถึง 6 เจเนอเรชั่น ในงานฉลองโอกาสพิเศษนี้ มาเซราติได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญของมาเซราติไว้ด้วยกันอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านความก้าวหน้าด้านการผลิต ดีไซน์สุดล้ำ นวัตกรรม ความก้าวหน้าด้านเทคนิค และทุกองค์ประกอบที่ทำให้รถยนต์ของมาเซราติเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมาตลอดกว่าสองศตวรรษที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เต เป็น ยนตรกรรมขั้นสุดที่ได้รวบรวมความโดดเด่นทุกด้านแห่งวงการยานยนต์มาไว้ในคันเดียว และเป็นซีดานหรูที่ตอบทุกโจทย์ของนักขับหลากหลายกลุ่มในสังคม รวมทั้งกลายมาเป็นเซกเมนต์ที่สำคัญของธุรกิจยานยนต์ด้วย เช่นเดียวกันกับรถที่เป็นไอคอนแห่งวงการในแต่ละยุค ควอตโตรปอร์เตได้รับการยกย่องและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้วมากมายนับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในยุค 1960 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เตไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองแบบไม่เกรงกลัวอะไร เป็นยนตรกรรมที่มุ่ง สรรค์สร้างความเป็นเลิศด้านดีไซน์ สมรรถนะ และสะท้อนจิตวิญญาณของมาเซราติซึ่งเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างสรรค์รถยนต์ที่เปี่ยมนวัตกรรมอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร และตลอดกว่าร้อยปีที่ผ่านมา มาเซราติได้ผลิตควอตโตรปอร์เตออกสู่ตลาดแล้วกว่า 75,000 คัน
ร้อนแรงออกจากโรงงานก็จัดเต็มมาให้ถึง 816 แรงม้า กลายเป็น SL ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ผลพวงจากการเสริมมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปช่วยเครื่องยนต์ twin-turbocharged 4.0-liter V8 ใน Mercedes-AMG SL63 S E Performance แบ่งเป็นม้าจากเครื่องยนต์ 612 ตัว และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 204 ตัว รวมให้แรงบิดเต็มกราฟถึง 1,420 นิวตันเมตรพร้อมให้ใช้งานได้ทุกรอบความเร็ว สามารถเปิดหลังคารับลมปะทะใบหน้าที่ความเร็ว 0-100 ได้ใน 2.9 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 317 km/h Mercedes-AMG SL63 S E Performance ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 400-volt แบตเตอรี่ 6.1-kWh พัฒนาโดยทีมงาน AMG’s Electric Drive Unit สำหรับรถตระกูลไฟฟ้า high-performance ของแท้โดยเฉพาะ สามารถคายกระแสไฟได้รวดเร็วพร้อมระบายความร้อนควบคุมอุณหภูมิยืดอายุขัยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น สามารถขับด้วยไฟฟ้าล้วนได้ 13 กิโลเมตร การจะเป็นรถ
ในปี 1986 ยุคที่ AMG ยังไม่ถูกรวมเข้ากับ Mercedes-Benz เป็นเพียงสำนักแต่งของ Aufrecht (Hans Werner Aufrecht) และ Melcher (Erhard Malcher) แห่งเมือง Großaspach ทีมอาวุธลับหลังบ้านที่ถนัดการปลุกเสกเครื่องยนต์ Mercedes-Benz ให้ทรงพลังสำหรับลงแข่ง Group A และ Group N โดยเฉพาะ ซึ่งมีผลงานระดับ Icon แห่งประวัติศาสตร์คือ Mercedes 300 SEL “Red Pig” คันสีแดงที่เราคุ้นตา ตามมาด้วย AMG ‘The Hammer’ สุดดุดันคันนี้ 1986 500 SEC AMG 6.0 “Wide-Body” คันนี้เป็นรถ original ของแท้มาจากยุคที่ได้รับขนานนามว่า The Hammer ด้วยเลขไมล์เพียง 4,716 km แสดงให้เห็นถึงการเก็บรักษาโดยนักสะสมเป็นอย่างดี
อดีตเป็น Concept ปัจจุบันใกล้เข้าสู่ Production version ภายในปี 2026 แล้วสำหรับ two-seater coupe คันใหม่จาก Toyota จากที่เคยเดากันไปว่าอาจจะเป็น MR2 แต่สรุปแล้วไม่น่าใช่ เพราะมันใช้ขุมพลังไฟฟ้าล้วน ด้านหน้าเน้นดุดันใส่ความสปอร์ตมาเต็มด้วยช่องดักอากาศและกระจังหน้าขนาดใหญ่ ไฟ daytime running lights แนวตั้งที่ฉีกแนวคิดการออกแบบที่ผ่านมาไปอย่างสิ้นเชิง เส้นสายที่เฉียบคมยังลากต่อเนื่องไปถึงด้านท้าย ทำให้ประตู ซุ้มล้อ และ diffuser หลังมีความเป็น Sports car อย่างชัดเจน ซึ่งแม้จะเป็น concept แต่ก็มีรายละเอียดที่ครบสมบูรณ์พร้อมผลิตมาก ๆ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับขุมพลัง Mr. Fumihiko Hazama, chief engineer บอกว่า FT-Se จะใช้ระบบ dual-motor ประกบเพลาหน้าหลังส่งกำลังแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ใช้แบตเตอรี่ high-performance ตัวเดียวกับใน Lexus LF-ZC และหวังว่าจะสามารถทำความเร็ว 0-100 ได้ในเวลาไม่ถึง 3
เห็น Cybertruck โผล่มาอยู่บนเว็บ Tesla Thailand ก็เลยสนใจและลุ้นไปด้วยว่าจะมาขายจริงหรือไม่ ถ้ามาแล้วราคาน่าสนใจ เชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากลอง รวมถึงแอดเองด้วย แต่ด้วยสเปคที่ล้ำยุคสมัยไปไกลก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า “แล้วถ้าต้องซ่อม บ้านเราจะทำได้มั้ย?” เอาแค่บอดี้ Metal Alloy ที่ผลิตจาก Stainless Steel panels หนา 3mm แข็งแรงถึงขั้นกันกระสุนได้ ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตขึ้นรูป ซึ่ง Musk เคยบอกว่าเครื่องบีบอัดที่ใช้โรงงานรถยนต์ทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นอู่นอกหรือช่างแถวบ้านไม่น่าจะมีเครื่องมือที่ซ่อมแซมมันได้ หรือได้ แต่อาจจะใช้เวลานานจนช่างไม่อยากรับงาน เส้นสายที่ตรงและลากยาว แปลว่าช่างต้องซ่อมถึง เคาะจนตรงเป๊ะเท่าโรงงาน จะโปะสีทับ ๆ ก็ไม่ได้อีก เพราะตัวถังเป็นวัสดุเปลือยไม่มีการพ่นสี หรือแม้แต่การเปลี่ยนใหม่ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ราคาถูก ๆ แน่นอน เพราะต้องเปลี่ยนทั้งชิ้น ในต่างประเทศพึ่งจะมีเจ้าของรถ Rivian R1T โดนชนท้ายมุมบุบธรรมดา แต่เจอบิลราคาค่าซ่อมสูงถึง 1.5 ล้านบาท เพราะมันซ่อมไม่ได้ และบอดี้ที่ผลิตแบบชิ้นเดียว ทำให้ต้องยกเปลี่ยนทั้งชุด หากเป็นวัสดุ Metal Alloy