‘ความผิดพลาด’ เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก ไม่ว่าจะในธุรกิจหรือในชีวิตจริง แม้ว่าเราจะพยายามหลีกเลี่ยงมันโดยตลอด แต่การทำธุรกิจหรือการลองทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อความเติบโตย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดข้อผิดพลาดที่เราคาดไม่ถึง ‘ความผิดพลาด’ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจที่เพิ่งเริ่มเติบโตหรือคนตัวเล็ก ๆ อย่างเราเท่านั้น บริษัทน้ำดำยักษ์ใหญ่อย่างโค้กก็เคยผิดพลาดครั้งใหญ่โตมาแล้วเช่นกัน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1985 เมื่อโค้กอยากชนกับเป๊ปซี่และหวังจะได้รับชัยชนะ พวกเขาจึงได้ริเริ่มไอเดียสุดเด็ดขึ้น ทีมวิจัยการตลาดของโค้กได้สำรวจและพบว่า โค้กรสชาติใหม่ของพวกเขาถ้าออกมาครั้งนี้ต้องได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนเป๊ปซี่ต้องแพ้กระจุยกระจาย พวกเขาจึงสรรค์สร้างโค้กรสชาติใหม่ที่หวานกว่าเดิมออกมา จนถึงวันที่สินค้าถูกปล่อยออกไป ทีมงานบริษัทโค้กต่างก็รอผลลัพธ์อันน่าทึ่ง แต่ปรากฏว่ามันพังไม่เป็นท่า! ไม่ใช่แค่เอาชนะเป๊ปซี่ไม่ได้ แต่ผู้บริโภคต่างไม่พอใจเพราะโค้กที่ออกมามันหวานเกินไปสำหรับพวกเขา มีคนเพียงร้อยละ 13 เท่านั้นที่ชอบโค้กแบบใหม่ แถมลูกค้ายังรวมตัวกันแบนไม่ยอมกินโค้กจนกว่าจะได้โค้กที่เหมือนเดิมกลับมา ภายใต้วิกฤตครั้งนั้น บริษัทโค้กปล่อยให้โค้กตัวใหม่โลดแล่นได้เพียง 77 วัน แล้วกลับไปใช้รสชาติตามเดิม ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลายเป็นบริษัทน้ำดำระดับโลกได้อย่างในปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดโค้ก ยังเคยผิดพลาดและผ่านมันมาได้ วิธีเปลี่ยนข้อผิดพลาดให้กลายเป็นความสำเร็จคืออะไร? 1.รู้ว่าอะไรคือความผิดพลาด เราไม่มีวันแก้ไขอะไรได้สำเร็จถ้าไม่รู้ว่าความผิดพลาดของเราคืออะไร หรือมาจากตรงไหน ทันทีที่เกิดข้อผิดพลาด อย่ามัวฟูมฟาย แต่หาให้เจอให้ตรงจุดให้ได้ว่าข้อผิดพลาดคืออะไรกันแน่ จะได้มุ่งตรงไปยังข้อผิดพลาดได้อย่างทันท่วงที เหมือนที่บริษัทโค้กเห็นว่าโค้กของตัวเองนั้นผิดพลาดที่ความหวาน 2.รู้ว่าเกิดความผิดพลาดได้อย่างไร ถ้ารู้ว่าความผิดพลาดคืออะไรแล้ว อย่างต่อไปที่ต้องรู้คือมันเกิดความผิดพลาดนั้นได้อย่างไร เพื่อหาหนทางแก้ไขจากสาเหตุที่มันเกิดขึ้นได้ถูกจุด และไว้เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดนี้ต่อไป 3.รับมือความผิดพลาดอย่างสงบ การฟูมฟาย หรือแม้แต่โกรธเกรี้ยวใส่กันในธุรกิจหรือวงเพื่อนฝูงกันเองเมื่อเกิดความผิดพลาดไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราควรยอมรับว่าปัญหาเกิดขึ้นแล้วและช่วยกันหาวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน
ว่ากันว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้เปลี่ยนงานบ่อยกันเป็นว่าเล่น นอกเหนือจากความขี้เบื่อแล้ว เหตุผลเรื่องฐานเงินเดือนที่ขึ้นเอา ๆ ทุกครั้งที่เปลี่ยนงานก็เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันมาก แต่ UNLOCKMEN ขอเสนอว่าเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนงานเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองเสมอไป แต่มีวิธีตรงชัดแมน ๆ อย่างการขอขึ้นเงินเดือนด้วยตัวเองกันไปเลย! เพราะงานวิจัยชี้ว่ากว่าร้อยละ 70 ของคนที่กล้าขอขึ้นเงินเดือนนั้นประสบความสำเร็จได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจริง ๆ 1.ทำการบ้าน ไม่ใช่อยู่ ๆ เรามีตัวเลขใหม่ที่อยากได้ในใจแล้วจะจบ เดินดุ่ม ๆ ไปคุยกับผู้มีอำนาจตัดสินใจแล้วขอเงินเดือนเพิ่มเสียดื้อ ๆ เราควรต้องทำการบ้านก่อนว่าตำแหน่งแบบเรานั้นเขาได้เงินเดือนกันอยู่เท่าไหร่ เรามีหน้าที่รับผิดชอบเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับตำแหน่งเดียวกันในที่ทำงานเดียวกัน หรือตำแหน่งเดียวกันในที่อื่น ๆ แล้วลองดูความเป็นไปได้กับตัวเลขในมือที่ตั้งใจไว้ดู 2.รู้คุณค่าของตัวเองที่มีต่อบริษัท แต่ความเป็นไปได้เรื่องจำนวนเงินเดือนที่เราต้องการเพิ่มก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตำแหน่งหน้าที่ของเราอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราทำงานอย่างมีคุณค่าให้กับที่ทำงานของเรามากแค่ไหน ผู้จัดการส่วนใหญ่เปิดเผยว่าพนักงานที่ทำงานที่สร้างคุณค่าให้บริษัทมากกว่าก็มีแนวโน้มที่เขาจะเพิ่มเงินเดือนให้มากกว่า รู้อย่างนี้แล้วก็ทบทวนตัวเองตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่าว่าอยากได้เงินเดือนเพอ่ม เราทำงานสร้างคุณค่าให้บริษัทเพิ่มแล้วหรือยัง? 3.รู้จังหวะเวลา จังหวะเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่มีตัวเลขในมือแล้วอยากเดินเข้าไปคุยเมื่อใดก็ได้ จังหวะที่คุณเพิ่งทำโปรเจกต์สำคัญเสร็จลุล่วงไปด้วยดีใหม่ ๆ หรือเพิ่งขายงานผ่านฉลุย หรือความสำเร็จใดก็ตามที่เป็นการสร้างคุณค่าให้กับบริษัทและหน้าที่ของคุณ เมื่อคุณทำมันได้ดี ก็รีบใช้โอกาสหลังจากนั้นในการขอปรับขึ้นเงินเดือนซะ เพราะมันมีแนวโน้มจะสำเร็จมากกว่าขอตอนที่คุณเพิ่งทำอะไรพังลงไม่เป็นท่า หรือไม่มีผลงานอะไรเลยแน่ ๆ 4.รุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง เหตุผลที่คนจำนวนมากเลือกจะลาออกจากงานเพื่อไปหวังเงินเดือนที่มากกว่ากับที่ทำงานแห่งใหม่นั้น เป็นเพราะความกลัว ความกลัวที่จะผิดหวัง ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องก้าวข้ามไปให้ได้ สงบนิ่งเข้าไว้ และคิดเสียว่านี่ก็ไม่ต่างจากการเจรจาต่อรองทั่วไป มีโอกาสสมหวัง
ขอบคุณเทคโนโลยีและความยืดหยุ่นในปัจจุบันที่ทำให้เราสามารถทำงานจากที่บ้านได้ แม้การทำงานที่บ้านจะเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย แต่ถ้าสบายเกินไป เราอาจทำงานไม่เสร็จได้ นี่จึงเป็น 5 วิธีที่จะช่วยให้คุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแม้จะอยู่ภายใต้บรรยากาศสุดสบายอย่างการทำงานที่บ้านก็ตาม 1.สบายได้ แต่ให้พอดี สิ่งที่ดีที่สุดของการได้ทำงานอยู่ที่บ้านก็คือความสบาย สบายไปหมดตั้งแต่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เราคุ้นเคย ได้สวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการมาก จะนั่งทำงาน นอนทำงานก็สบายไปหมดทุกสิ่งอย่าง ความสบายเป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้ามากเกินไป แทนที่จะทำงานก็อาจจะกลายเป็นนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้ ดังนั้นจัดท่าทาง พื้นที่ของตัวเองให้สบายได้ แต่อย่าสบายเกินไปจนไม่เป็นอันทำงาน 2.จัดพื้นที่ให้เหมาะสม การทำงานที่บ้านเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย และสิ่งรบกวน ทั้ง ๆ ที่กำลังจะตั้งใจทำงานอยู่ดี ๆ หันไปเจอตู้เย็นที่เต็มไปด้วยของกินก็เสียสมาธิเสียแล้ว หรือหันไปเจอโทรทัศน์พร้อมกับจินตนาการถึงหนังเรื่องโปรดก็พร้อมจะปรี่เข้าไปหา สิ่งเหล่านี้ควรถูกกำจัดให้พ้นทางด้วยการหาโต๊ะทำงาน จัดบรรยากาศให้เหมาะแก่การทำงานที่ห่าง หรือให้สิ่งรบกวนอยู่พ้นสายตาออกไปหน่อย จะได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานมากขึ้น 3.จัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ พอไม่ต้องเดินทางไปกลับจากที่ทำงาน เวลาที่มีเท่าเดิมก็ดูเหมือนมีเพิ่มจนมากมายแบบไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเรารู้สึกว่ามีเวลาเหลือมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเดี๋ยวค่อยทำนั่น เดี๋ยวค่อยทำนี่ก็ได้ ซึ่งสุดท้ายจะทำให้งานไม่เสร็จโดยไม่รู้ตัว หรือถ้าเสร็จก็เสร็จแบบไม่ทันเวลา ดังนั้นคุณควรจัดลำดับความสำคัญว่างานไหนที่ต้องทำเสร็จเป็นลำดับแรก ๆ และต้องเสร็จภายในเวลาเท่าไหร่ เป็นการกำหนดเดดไลน์ให้ตัวเอง 4.จัดเวลา ทำงานที่บ้านก็ยังแปลว่าทำงาน ถ้าคุณไม่ได้ทำงานเสร็จเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมง การแบ่งสัดส่วนเวลาทำงานก็เป็นสิ่งที่ดี เพื่อไม่ให้ตัวเองทำงานมากเกินไป หรือมัวแต่พักผ่อนเพลินเกินไป โดยคุณอาจแบ่งเวลา 6-8 ชั่วโมงว่านี่เป็นเวลาทำงาน
ในยุคที่การทำธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบ Brick and Mortar เข้าสู่ยุคออนไลน์ในโลกดิจิตัลแบบเต็มรูปแบบ ต้องบอกเลยว่าใครปรับตัวได้ก่อนย่อมได้เปรียบ เพราะในยุคที่ Digital Disrupt เทคโนโลยีมีบทบาทเข้ามาสู่ชีวิตประจำวัน เรียกได้ว่าตั้งแต่ตื่นนอนก็เปิดเฟสบุ๊คอัพเดทข่าวสาร กดเรียก Uber ไปทำงาน ซื้อของผ่านออนไลน์ และการทำธุรกรรมอีกมากมายผ่านทางอินเทอร์เน็ต ยุคที่ต้องมีการปรับตัวอย่างมากเพื่อให้ธุรกิจตอบโจทย์กับความต้องการที่ไร้ขอบเขต เป็นโอกาสอันดีที่ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้เข้าร่วมงาน THE PREMIER Success Forum 2017 : BEHIND the PRidE-TITUDE ที่จัดโดย บริการเดอะพรีเมียร์ ธนาคารกสิกรไทย ได้เปิดเวทีเล่าแนวคิดและแรงขับเคลื่อนชีวิตสู่เป้าหมายของ 4 บุคคลที่ประสบความสำเร็จบนโลกดิจิทัลในแต่ละสายงาน ซึ่งต้องบอกว่าแต่ละคนมีแนวคิดที่เจ๋ง และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนยุคใหม่ เราจึงไม่พลาดที่จะนำแนวคิดดี ๆ ของเขาเหล่านั้นมาแบ่งปันกัน ยอด ชินสุภัคกุล ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น “วงในดอทคอม” (wongnai.com) ถ้าพูดถึงเรื่องการหาที่กินใหม่ ๆ เรามั่นใจว่าใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก ”wongnai.com” เว็บไซด์ที่รวมรวมร้านอาหารอร่อย สถานที่เจ๋ง ๆ มาไว้ในที่เดียว
เผลอแป๊บเดียวก็เกือบหมดปี 2017 กันอีกแล้ว สำหรับบางคนไฟที่เคยลุกโชนโชติช่วงเมื่อต้นปี ก็มีท่าทีจะริบหรี่มอดลงซะแล้ว ฉะนั้นเห็นทีคงต้องหาทางมาเติมเชื้อไฟให้ชีวิตกันหน่อย เริ่มจากการ ประมวลผลเวลาที่ใช้ไปตลอดที่ผ่านมากันดีกว่า ไม่แน่อาจจะพบว่าคุณใช้เวลาชีวิตอย่างพร่ำเพรื่อ จนไม่เวลาเหลือให้กับการพัฒนาตัวเองมากจนคาดไม่ถึงก็ได้ วันนี้เรามีวิธีการที่ชื่ว่า “The Rule of 3″ หรือ “กฎ 3 สิ่ง” ที่สามารถเติมเชื้อไฟให้กับชีวิต ทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่ทำผ่าน ๆ ไปแบบซังกะตายไปวัน ๆ มาฝาก What is the Rule of 3? จริง ๆ กฏ 3 อย่างนี้ ถูกตีความไว้หลายแบบ แต่แบบที่เราสนใจ และคิดว่าน่าจะนำมาปรับใช้ได้ง่ายที่สุด คือ การที่เริ่มวันใหม่ด้วยการกำหนดทิศทางของตัวเองให้ชัดเจน ก่อนที่จะเริ่มทำงานในตอนเช้าทุกวัน ๆ โดยให้คุณตัดสินใจว่า 3 สิ่ง ที่คุณจะพิชิตให้สำเร็จภายในวันนี้มีอะไรบ้าง และก่อนเริ่มสัปดาห์ใหม่ ก็ลองกำหนดเป้าหมายใหญ่ๆ 3 สิ่ง ของแต่ละสัปดาห์เอาไว้ด้วย ฟังดูแล้วเหมือนจะง่าย ๆ แต่บอกเลยว่า
การเจอใครสักคนเป็นครั้งแรกไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะการเจรจาทางธุรกิจที่ไม่ว่าแมนแค่ไหนก็ต้องมีหวั่น ๆ กันบ้าง แค่จะคุยให้ราบรื่น ไม่มือไม้สั่นก็ยากแล้ว แต่จะคุยอย่างไรให้คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกชอบคุณได้ใน 5 นาที? ไม่ต้องคิดเองให้สมองระเบิด UNLOCKMEN มี 5 ข้อง่าย ๆ ทำได้จริง ที่ไม่ว่าเจรจากับใคร คนที่คุยด้วยก็จะชอบคุณได้ใน 5 นาที 1.ถามคำถามปลายเปิด คำถามปลายปิด หรือการเปิดโอกาสให้คู่สนทนาที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกตอบได้แค่ใช่หรือไม่ใช่นั้นทำให้บทสนทนาสั้นลงกว่าที่ควรเป็นหลายระดับ แต่การถามคำถามปลายเปิดให้คู่สนทนามีโอกาสคิดคำตอบกว้าง ๆ เป็นการทำให้เขารู้สึกว่าเราอยากรับฟังเขา เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญยังทำให้เราสามารถต่อบทสนทนาให้ยาวขึ้นอีก ด้วยการถามคำถามเพิ่มเติมจากคำตอบที่เขาให้กลับมา 2.นิ่งฟังอย่างตั้งใจ แม้ว่าเราจะอยากนำบทสนทนาไปสู่กาเจรจาอันสมบูรณ์แบบที่เราตั้งความหวังไว้ต้งแต่แรก แต่คุณควรนิ่ง ตั้งใจฟัง สบตาคู่สนทนา พยักหน้าแสดงความสนใจเพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังตั้งใจฟังอยู่ เมื่อฟังไปสักพัก ค่อยตั้งคำถามกลับจากเรื่องที่คู่สนทนากำลังเล่า แต่ไปในทิศทางที่คุณต้องการ เพื่อให้เขารู้สึกว่าคุณไม่ได้จงใจมาสื่อสารแค่เรื่องของคุณ แต่ตั้งใจฟังเรื่องของเขามากกว่า 3.หาอะไรที่คุณกับอีกฝ่ายมีเหมือนกัน การมีความสนใจคล้าย ๆ กัน การมีะไรเหมือน ๆ กัน จะยิ่งทำให้คุณสองคนหาเรื่องคุยได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง แต่ความสนใจที่เหมือนกันจะทำให้คุณหาเรื่องมาคุยได้ไม่รู้จบ ยิ่งทำให้ทั้งคุณและคู่สนทนาไม่รู้สึกดดันกับการคุยกับคนคนนั้นเป็นครั้งแรก ดังนั้นพยายามชวนคุยด้วยคำถามปลายเปิดเยอะ ๆ เพื่อที่จะรู้ว่าคนคนนั้นชอบอะไรบ้าง และมีอะไรที่เราชอบเหมือนกัน ถ้าเจอแล้วคุยถูกคอ
เราต่างมีเวลาในหนึ่งวันเท่า ๆ กัน แต่การจัดการและการเลือกใช้เวลาไม่เหมือนกัน คนประสบความสำเร็จเขาทำอะไรในหนึ่งวันเราคงพอจะรู้กันมาบ้าง แต่สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาทำก่อนนอนคืออะไรบ้าง ทำแล้วจะช่วยให้นอนอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นไหม? หรือทำแล้วชีวิตวันต่อไปจะง่ายขึ้นบ้างหรือเปล่า? เรามาดูกันว่าคนประสบความสำเร็จระดับโลก 7 คนเขาทำอะไรก่อนเข้านอนกัน 1.Bill Gates: อ่านหนังสือก่อนนอน เจ้าพ่อไมโครซอฟต์อย่าง Bill Gates มักจะเผื่อเวลาก่อนเข้านอนของตัวเองไว้สำหรับการอ่านหนังสือเสมอ โดยเขาจะอ่านหนังสือก่อนเข้านอนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ไม่ว่าคืนนั้นเขาจะนอนดึกขนาดไหน 2.Sheryl Sandberg: ตัดขาดการติดต่อสื่อสาร Sheryl Sandberg คืออดีตกรรมการอำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของโซเชียลมีเดียชื่อก้องโลกอย่างเฟซบุ๊ก เธอเลิกที่จะชัตดาวน์การสื่อสาร ด้วยการปิดโทรศัพท์มือถือคู่กายลงเมื่อเธอจะต้องเข้านอน โดยเธอยอมรับว่าแม้มันจะเจ็บปวดมากเมื่อต้องปิดมือถือแต่ละที แต่ก็คุ้มค่ากับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ 3.Oprah Winfrey: นั่งสมาธิ ถ้าจะให้บอกว่า Oprah Winfrey เป็นใคร ก็คงต้องไล่กันยาว เพราะเธอเป็นทั้งนักธุรกิจ นักแสดง โปรดิวเซอร์ และพิธีกรชื่อดัง แต่ไม่ว่าในแต่ละวันเธอจะยุ่งมากขนาดไหน ก่อนนอนเธอก็จะแบ่งเวลาให้กับการทำสมาธิเสมอ ๆ 4.Elon Musk: หยุดกินกาแฟ CEO ระดับโลกที่กำลังมาแรงที่สุดขณะนี้อีกคนหนึ่งคงหนีไม่พ้น Elon Musk ที่ปกติเขาต้องดื่มกาแฟ
ต้นสัปดาห์ทีไร อาการง่วง เหงา หาว นอน รู้สึกว่าวันหยุดทำไมมันช่างแสนสั้นเหลือเกิน อยากจะนอนพักผ่อนอยู่บ้านหายใจทิ้งไปอย่างเฉย ๆ ยังไม่พร้อมจะลุกขึ้นมาทำงาน ด้วยภารกิจหน้าที่การงาน ทำให้เราต้องลุกขึ้นมารับผิดชอบกับกิจกรรมประจำวันที่สำคัญกับชีวิต ซึ่งเราเข้าใจว่าการสร้างแรงบันดาลใจในเช้าวันจันทร์เป็นอะไรที่ยาก ดังนั้นเราจึงต้องหาเคล็ดลับในการช่วยเพิ่มพลังอย่างง่าย ๆ นั้นคือการฟังเพลง ซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยนำเสนอเรื่องราวที่ว่าดนตรีสามารถปลุกเร้าอารมณ์ให้ผู้ฟังรู้สึกฮึกเหิมละพร้อมจะทำงานไปบ้างแล้ว แต่ข้อดีอีกอย่างของการมี playlist ที่ดี คือสามารถกระตุ้นการตอบสนองทางร่างกาย และจิตใจ ที่เป็นประโยช์นสำหรับการทำงาน และปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้ดีอีกด้วย เพราะนักวิจัยที่ Dennis Hsu จากมหาวิทยาลัย Northwestern University ได้ลองทำการสำรวจโดยการสังเกตพฤติกรรมของนักกีฬา เมื่อเขาเปิดเลือกเพลงหลากหลายประเภท อาทิ ฮิปฮอป เร้กเก้ เฮฟวีเมทัล จำนวนกว่า 30 เพลง ผลลัพธ์ที่ได้คือเพลงที่มีจังหวะเบสหนักแน่น จะช่วยเพิ่มแรงขับให้รู้สึกฮึกเหิม และมีกระตุ้นความมั่นใจพร้อมที่จะเริ่มงาน ในเช้าวันใหม่มากขึ้น (CNN) ไม่เท่านั้นเขายังพยายามศึกษาต่อไปว่า เพลงที่มีทำนองเบสเป็นจุดเด่น ยังเสริมความมั่นใจให้กับคนที่กำลังรู้สึก กังวลใจ หรือไม่มั่นใจในตัวเอง สำหรับสถานการณ์ที่น่าตื่นเเต้น อาทิ สัมภาษณ์งาน หรือขายงานลูกค้า ดังนั้นเราจึงไปค้นหาเพลงจังหวะเบสดี ๆ
เชื่อว่าในช่วงชีวิตของคนเรา เกือบทุกคนต้องเคยเจอกับจังหวะที่ชีวิตหมดไฟ ไม่อยากทำอะไร ทุกอย่างดูน่าเบื่อหน่ายไปหมด ขาดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของตัวเอง เป็นอาการยอดฮิตมากโดยเฉพาะในหมู่ผู้คนยุคปัจจุบัน ยุคที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ชีวิตตามที่สังคมเห็นว่าดี บอกว่าใช่ ดูเหมือนหลายคนเลือกที่จะเชื่อ ที่จะเป็น โดยลืมความเป็นตัวเองไปจนหมดสิ้น คนที่เจอกับอาการนี้มักจะหาสาเหตุไม่เจอ เพราะ Comfort Zone ในยุคนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ายุคก่อน ๆ มาก จากการบอกต่อกันว่าแบบนั้นไม่ดี แบบนี้ไม่ได้ จะเรียกว่าสังคมส่วนใหญ่เลือกทางให้เดินตาม ๆ กันก็ไม่ผิดนัก เราอาจจะเผลอเดินในเส้นทางที่สังคมนิยมสร้างไว้ให้อย่างแข็งขัน จนลืมไปว่า ตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น เป็นใครกันแน่? สิ่งที่เราอยากทำ สิ่งที่เราชอบทำ ทำไมเราถึงไม่ได้ทำมัน? เพราะเราทำไม่ได้ เพราะเราไม่มีเวลาทำ หรือเพราะเรากลัวสังคมมองว่าแปลก ถ้าเราจะทำ? คำว่า BE WHAT U WANNA BE การเป็นตัวเอง ดูจะกลายเป็นเรื่องยาก หรือเราทำให้มันยากเองกันแน่? ‘Man is only great when he acts from passion’ quote อันโด่งดังของ Benjamin
บางทีการฝึกสมองก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธียาก ๆ หรือชวนเบือนหน้าหนีอย่างการฝึกทำโจทย์เลข การแก้ปัญหาเชาว์ แต่อาจง่าย ๆ แค่เปลี่ยนวิธีแปรงฟัน! ใช่ เราไม่ได้โกหกคุณ แค่เปลี่ยนวิธีแปรงฟัน เล่นเกม หรือเปลี่ยนชนิดอาหารก็ทำให้สมองเราแข็งแกร่งขึ้น รวมถึงความทรงจำ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในความเข้าใจสามารถฝึกฝนกันได้เช่นกันด้วยวิธีง่าย ๆ แต่สม่ำเสมอ ทำทุกวันรับรองฉลาดกว่าเดิมแน่นอน 1.ตั้งคำถาม วิธีง่ายดายสุดสามัญ แต่เป็นสิ่งที่ใครหลายคนอาจไม่กล้าทำ เพราะกลัวว่าจะดูเป็นคนไม่รู้เรื่อง ดูเป็นคนไม่ฉลาด แต่การตั้งคำถามนี่เองที่จะทำให้คุณเข้าใจอะไรรอบตัวคุณได้ความรู้มากขึ้นทุกวัน ๆ 2.ออกกำลังกาย งานวิจัยเรื่อง Effects of acute bouts of exercise on cognition แสดงให้เห็นว่าการวิ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับการเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ การจดจำของสมอง เพราะฉะนั้นออกกำลังกายได้ทั้งความแข็งแรงของร่างกาย ได้ทั้งความแข็งแรงของสมอง การเรียนรู้ และการจดจำ จะมัวหาข้ออ้างในการไม่ออกกำลังกายอยู่ทำไม? 3.กินอาหารเพื่อสุขภาพ งานวิจัยเปิดเผยว่าการกินโปรตีนลีน ๆ อย่างปลา กินผักและผลไม้เยอะ ๆ หรือมื้ออาหารแบบที่เรียกว่า Mediterranean-type diet มีส่วนช่วยบำรุงสมองของเราให้แข็งแรง โดยอาทิตย์หนึ่งกินแบบนี้สัก 2 ครั้งก็ช่วยบำรุงสมองได้มากแล้ว