รอยยิ้มคือตัวแทนความรู้สึกที่ครอบคลุมอารมณ์หลากหลาย อย่างที่รู้กันดีว่าแต่ละรอยยิ้มล้วนมีนิยามต่างกัน แต่มีอยู่รอยยิ้มหนึ่งที่จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครกล้านิยามความหมาย รอยยิ้มของสุภาพสตรีที่แฝงไปด้วยปริศนา รอยยิ้มอันโด่งดังที่ทำให้คนงุนงงและครุ่นคิดมากว่า 5 ศตวรรษ เป็นรอยยิ้มที่ถูกจารึกไว้บนหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาพวาดที่ทิ้งความสงสัยเอาไว้หลายชั่วอายุคน เจ้าของรอยยิ้มที่ว่าคือโมนาลิซา สตรีแห่งเมืองฟลอเรนซ์ที่ปรากฏกายอยู่บนภาพเขียนของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ภาพเขียนสีน้ำมันบนพื้นไม้ภาพนี้มีความสูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร และถูกขนานนามว่าเป็นภาพที่ล้ำค่าที่สุดในโลก ด้วยความเย้ายวนชวนหลงใหลจากทักษะการสร้างสรรค์เฉดสีให้ออกมาคลับคล้ายคลับคลามนุษย์ตัวเป็น ๆ บวกกับอัตราส่วนทองคำที่สร้างความสมดุลและสมบูรณ์ให้กับภาพ พร้อมฝีมือการสะบัดฝีแปรงอย่างประณีตบรรจงของจิตรกรเอกแห่งยุค ทำให้โมนาลิซากลายเป็นภาพวาดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 และเป็นตัวแทนของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (The Renaissance Period) จากรอยยิ้มปริศนาที่ฝากเอาไว้บนภาพนี้ แม้จะถูกวาดมาแล้วกว่า 500 ปี แต่ก็ทำให้ภาพเต็มไปด้วยคำถามและน่าค้นหาอยู่เสมอ ในขณะที่รอยยิ้มของโมนาลิซาถูกวิเคราะห์และตีความไปต่าง ๆ นานา เหล่านักประสาทวิทยากลับมองว่ารอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มจอมปลอม เมื่อโมนาลิซาไม่ได้มีรอยยิ้มจริงใจ Dr. Luca Marsili, Dr. Lucia Ricciardi และ Matteo Bologna สามนักประสาทวิทยาที่ศึกษาโครงสร้าง การเจริญเติบโต และระบบประสาทของมนุษย์ ร่วมกันทำวิจัยเพื่อตรวจสอบความสมมาตรของริมฝีปากและกล้ามเนื้อบนใบหน้าของโมนาลิซา หวังจะเพิ่มความเข้าใจเชิงลึกให้คนรุ่นหลังได้รู้ซึ้งถึงแก่นแท้ของงานศิลปะคลาสสิก
หลังซีรีส์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones ลาจอไปหมาด ๆ ทางช่อง HBO ก็ไม่ยอมปล่อยให้กระแสเรตติ้งซา รีบส่งซีรีส์เรื่องใหม่ที่สร้างขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริง ของเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่เข้ามาแทนที่ ‘โศกนาฎกรรมแห่งเมืองเชอร์โนบิล’ ที่ได้รับการบันทึกความเลวร้ายไว้ในประวัติศาสตร์ ได้รับการตีความและนำเสนอใหม่โดยใช้ชื่อเดียวกันกับสถานที่ที่เกิดเหตุว่า ‘Chernobyl (2019)’ UNLOCKMEN จะพาคอซีรีส์ทุกคนไปทำความรู้จักกับเมืองเชอร์โนบิลให้มากขึ้น และค้นหาคำตอบไปพร้อมกันว่า เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 26 เมษายน 1986 เพื่อสร้างอรรถรสและเรียกความอินให้กับการดูหนัง เสียงระเบิดและขี้เถ้าที่ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ รุ่งเช้าของวันที่ 26 เมษายน 1986 ย่านชานเมืองเชอร์โนนิลที่เงียบสงบเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด ส่งผลให้รังสีและสารเคมีอันตรายจำนวนมากแพร่กระจายสู่ชั้นบรรยากาศปกคลุมทั่วทั้งเมือง ความผิดพลาดที่ทั่วทั้งโลกต้องจดจำเกิดขึ้นจากนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทดสอบระบบหล่อเย็นกลางแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่แรงดันไอน้ำกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างฉับพลัน แถมระบบตัดการทำงานฉุกเฉินก็ดันใช้การไม่ได้ ส่งผลให้เครื่องร้อนจัดจนแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลอมละลาย ลุกไหม้ และระเบิดสารเคมีทั้งหลายที่อัดแน่นอยู่ภายในเตาปฏิกรณ์จึงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ความรุนแรงของรังสีนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้สารพิษปกคลุมเมืองไว้กว่า 30 ปี และมีอานุภาพมากกว่ารังสีนิวเคลียร์ที่ถล่มใส่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงสี่ร้อยเท่า เปลี่ยนชีวิตผู้คนในเชอร์โนบิลและละแวกใกล้เคียงไปตลอดกาล ทันทีที่เกิดการระเบิดของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 31 คน (บางรายงานบันทึกว่า 28 คน) ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องปฏิกรณ์และคนงานในโรงงาน แต่ระหว่างที่สารพิษกับรังสีจากนิวเคลียร์กระจายไปทั่วทั้งเมือง แทนที่จะเร่งสั่งให้ประชาชนในพื้นที่อพยพ
ถ้าพูดถึงสารหล่อลื่น หรือ เจลหล่อลื่น คงดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับผู้ชายหลายคน เรามักจะคิดว่าการมีเซ็กซ์ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้ เนื่องจากในช่องคลอดของผู้หญิงก็มีน้ำหล่อลื่นอยู่แล้ว ทำไมจะต้องใช้เจลหล่อลื่นด้วยล่ะ? ถึงแม้การเล้าโลมและกระตุ้นจุดสำคัญของผู้หญิงจะช่วยเพิ่มความเสียวซ่านและมีผลต่อการหลั่งน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะหลั่งน้ำออกมามากพอจนทำให้การสอดใส่เป็นไปอย่างสันติ ฉะนั้นสารหล่อลื่นก็ยังจำเป็นต่อการมีเซ็กซ์ของหนุ่ม ๆ เสมอ นอกจากจะช่วยลดแรงเสียดทานและอาการบาดเจ็บขณะมีเซ็กซ์ ยังทำให้ฉากรักบนเตียงของคุณสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นอีกด้วย UNLOCKMEN เลยอยากพาทุกคนย้อนกลับไปดูต้นกำเนิดของสารหล่อลื่นที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อน ถือเป็นตัวช่วยสุดคลาสสิกที่ทำให้เซ็กซ์ราบรื่นไม่สะดุด ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม จุดเริ่มต้นของสารหล่อลื่น ว่ากันว่าสารหล่อลื่นกำเนิดขึ้นในยุคเดียวกับที่มนุษย์คิดค้นเกวียน ในขณะที่สร้างเกวียนเพื่อการขนส่ง บรรพบุรุษเรากลับพบว่าตัวฮับของล้อที่ช่วยลดอาการส่าย ถูกเผาไหม้จากความร้อนและแรงเสียดทานจึงหาวิธีทำให้ฮับเย็นลงด้วยการใช้ ไขมัน น้ำมันมะกอก น้ำ และของเหลวชนิดอื่น ๆ จนท้ายที่สุดพบว่าของเหลวที่มีความหนืดอย่างน้ำมันมะกอก ช่วยกระจายความร้อนได้ดี ช่วยป้องกันไม่ให้ฮับเสียดสีจนดำเป็นตอตะโก แถมยังทำให้ล้อหมุนได้อย่างอิสระมากขึ้น นักวิชาการจึงคาดว่าการค้นพบครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของสารหล่อลื่นที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน น้ำมันมะกอก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าสารหล่อลื่นมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโรมัน หรือราว 350 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งผู้คนตอนนั้นนิยมใช้น้ำมันมะกอกเป็นตัวช่วยเพิ่มความลื่นไหลให้เซ็กซ์ นักวิชาการจึงเชื่อว่าน้ำมันมะกอกคือสารหล่อลื่นยอดนิยมที่ชาวกรีกและโรมันใช้ในตอนนั้น สาหร่ายทะเล Ryan Drum นักพฤกษศาสตร์ชื่อดังผู้คร่ำหวอดในแวดวงสมุนไพร เผยว่าคนจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใช้สารสกัดที่ได้จากสาหร่ายทะเลมาผลิตเป็นสารหล่อลื่นนานนับ 1,000 ปี โดยนำสาหร่ายแดงมาต้มเพื่อให้กลายเป็นของเหลวที่ข้นหนืดและได้ออกมาเป็นคาราจีแนน (Carrageenan) ที่มีลักษณะคล้ายเมือกวุ้นและมีคุณสมบัติเหมือนกับเจลาติน แต่ไม่เหนียวและยืดหยุ่นเท่า งานวิจัยยังยืนยันว่าการใช้สารสกัดจากสาหร่ายทะเลช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิด HPV
แม้อายุอานามจะล่วงเลยมาจนใกล้จะย่างเข้าเลขสี่ แต่เรื่องความฟิตปั๋งเต็มเปี่ยมด้วยพลังช้างสารเหมือนหนุ่มเอ๊าะกลัดมันเราต้องขอยกให้กับชายที่ชื่อว่า ‘Ken Shimizu’ หรือหลายคนอาจรู้จักเขาในนาม ‘Shimiken’ แต่เราเชื่อว่าผู้ชายทั้งหลายคงไม่คุ้นทั้งชื่อจริง และชื่อในวงการของพี่คนนี้สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่คงคลับคล้ายคลับคลา คุ้นหน้าคุ้นตารวมถึงท่วงท่าลีลาของพี่เขาจากหนัง AV เรื่องโปรดที่ถูกเก็บอยู่ใน HDD กันเสียมากกว่า ซึ่งเหตุผลที่ต้องยอมยกนิ้วให้ในเรื่องความฟิตของพี่แกก็เพราะว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปีของอาชีพพระเอก AV ยอดชายนาย Shimiken คนนี้ รับเล่นหนังมาแล้วกว่า 7,000 เรื่อง ผ่านการโจ๊ะพรึมพรึมกับหญิงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 7,500 นาง จัดได้หมดทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสาวน้อยหน้าใสอดีตไอดอล, สาวต่างชาติพลังสูง หรือแม้กระทั่งคุณยายแฝดวัย 72 ปี ก็ยังผ่านมาได้อย่างสง่างาม ท่ามกลางสายตาของตากล้อง ช่างไฟ เด็กถือไมค์บูม และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เจ้า Shimiken น้อยก็ไม่เคยงอแง ยังคงแข็งขันพร้อมรบอยู่เสมอ จนได้รับการขนานนามว่า ‘King of Porn’ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ในวัย 38 ปี คุณพี่ Shimiken ก็ยังไม่มีทีท่าจะแขวนพวง(สวรรค์)
ถ้าพูดถึงศิลปะ หลายคนจะมองว่าเป็นเรื่องของอารมณ์งานสร้างสรรค์ หรือสุนทรีย์ที่เข้าไม่ถึง แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวสุดระห่ำรวมถึงความเหลวแหลก และความตายก็เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะด้วยเช่นกัน วันนี้ UNLOCKMEN สนใจเรื่องราวของจิตรกรผู้แต่แผ่ความดิบเถื่อนออกมาเป็นรูปภาพของมิเกลลันเจโล คาราวัจโจ ศิลปินใจนักเลงผู้นิยมความรุนแรง และถ่ายทอดมันออกมาเป็นศิลปะ Michelangelo Merisi da Caravaggio คือชื่อเต็มที่แสนจำยากของคาราวัจโจ จิตรกรชาวอิตาลีที่โลดแล่นอยู่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เดิมทีเขาเป็นชายตัวคนเดียวเพราะพ่อเสียชีวิตด้วยกาฬโรคตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนแม่ก็เสียตามไปอีก ถึงแม้จะเป็นเด็กกำพร้าแต่ก่อนหน้านี้คาราวัจโจคลุกคลีอยู่กับสีและผืนผ้าใบ เพราะก่อนแม่เสียชีวิตเคยส่งเขาไปเรียนศิลปะเป็นเวลาเกือบ 4 ปี และได้เทคนิคเกี่ยวกับศิลปะติดตัวมาด้วย ปี 1592 คาราวัจโจวัย 21 ปี เดินทางไปยังกรุงโรมเพื่อหางานทำตามแบบศิลปินหน้าใหม่ด้วยสภาพตัวเปล่า ไร้เงิน ไร้งาน และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินโดยการเป็นผู้ช่วยของจิตรกรที่มีชื่อในช่วงเวลานั้น และรอวันที่สปอตไลต์จะฉายแสงมายังเขา แสงเงาสื่ออารมณ์รุนแรง การสร้างสรรค์ที่จิตรกรในยุคเดียวกันไม่กล้าทำ สามปีหลังจากเป็นผู้ช่วยจิตรกรอยู่กรุงโรม คาราวัจโจเริ่มสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองขึ้นมาโดยเริ่มต้นจากการวาดภาพสีน้ำมัน บอกเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของผู้คน แต่สิ่งที่ทำให้งานของเขาโดดเด่นขึ้นมาเพราะการบอกเล่าชีวิตสุดธรรมดาแต่ใช้เทคนิคสุดพิเศษด้วยแสงและเงาบนผลงานของเขานั้นคม จับใจ และสื่ออารมณ์อย่างรุนแรง ผลงานยุคเริ่มต้นของเขามีหลายชิ้นที่ได้รับความสนใจ โดยเฉพาะกับภาพ The Cardsharps ที่เก็บรายละเอียดครบถ้วน เช่น หน้าตาสื่ออารมณ์ของคนในวงไพ่ที่พยายามเล่นกลโกงอะไรบางอย่าง และเน้นรายละเอียดไปยังรอยขาดบนถุงมือ นักวิจารณ์หลายคนกล่าวว่าผลงานชิ้นนี้มีความซับซ้อนทางจิตวิทยาเป็นอย่างมาก แถมผลงานของเขายังเข้าตาจิตรกรชื่อดังในโรม และอนุญาตให้คาราวัจโจไปนั่งทำงานที่บ้านของเขาเมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กหนุ่มต้องการอีกด้วย
จริงอยู่ที่ในปัจจุบันบรรดานักบินอวกาศยังไม่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามบนอวกาศ แต่สมมติถ้าวันหนึ่งพวกเขาเกิดเผชิญกับมนุษย์ต่างดาวระหว่างอยู่นอกโลก หรือเพื่อนของเขาเกิดสูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเองไป พวกเขาจะป้องกันตัวเองอย่างไร? มาลองดูอาวุธที่เคยถูกนำขึ้นไปบนอวกาศ ซึ่งมีจุดประสงค์สำหรับใช้ป้องกันตัวทั้งระหว่างอยู่บนอวกาศ และช่วงลงจอดบนโลกแล้ว มีดพก มีดพก ถือเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ที่พร้อมสำหรับใช้ทุกสถานการณ์ โดยมีดพกเคยถูกนำขึ้นสู่อวกาศในภารกิจแรกของสหรัฐ พร้อมกับ Alan Shepard ในปี 1961 โดยเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ของชุดเอาตัวรอดบนยาน ส่วนในปัจจุบันนั้นนักบินอวกาศใช้มีด Emerson Specwar กับมีดพก Victorinox Swiss Army Knife หรือมีดสวิสที่เรารู้จักกันนั่นเอง โดยมันได้ถูกนำขึ้นไปอวกาศตั้งแต่สมัยกระสวยอวกาศ มาจนถึงปัจจุบัน ปืน แม้การใช้ปืนในสภาวะไร้น้ำหนักอย่างบนอวกาศจะไม่เป็นที่แนะนำมากนัก แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่เคยถูกนำขึ้นไปบนอวกาศ โดยในยานโซยูสของรัสเซียนั้นจะมีปืนเก็บไว้ในชุดอุปกรณ์เอาตัวรอดบนยาน เนื่องจากยานโซยูสนั้นจะกลับมาลงจอดบนพื้นดิน และบางครั้งก็อาจไปลงจอดในบริเวณป่าห่างไกลจากผู้คน จึงทำให้ลูกเรือจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ป้องกันตัวเองจากบรรดาสัตว์ร้ายอยู่ด้วย สำหรับปืน TP-82 นั้นถูกพัฒนามาสำหรับยานโซยูสโดยเฉพาะ โดยนักบินอวกาศสามารถเปลี่ยนกระสุนได้สามรูปแบบด้วยกัน ได้แก่กระสุนปกติ ลูกซอง และไฟส่งสัญญาณ แถมด้ามปืนยังสามารถถอดออกมาเป็นมีดสปาร์ตาได้อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่มันถูกเลิกใช้ไปตั้งแต่ปี 2006 โดยมีข่าวลือว่าทางหน่วยงานอวกาศของรัสเซียไม่มีกระสุนของปืนรุ่นนี้เหลือแล้ว ส่วนในปัจจุบัน บนยานโซยูสจะใช้เป็นปืนแบบกึ่งอัตโนมัติ Makarov 9mm ที่ทหารและตำรวจในรัสเซียต่างก็ใช้งานอยู่ (แน่นอนว่านักบินอวกาศจะใช้มันในยามฉุกเฉินเท่านั้น) นอกจากปืนแบบปกติ รัสเซียก็เคยให้นักบินอวกาศนำปืนเลเซอร์ขึ้นไปใช้บนอวกาศด้วย
หนังยาง ไอเทมเด็ดที่ผู้ชายไทยอย่างเราพบเห็นได้ทั่วไปตามถุงแกงอาหาร และบ่อยครั้งที่เราโยนมันทิ้งโดยไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่สำหรับเมืองที่เคร่งเรื่องกฏหมายและความสะอาดในที่สาธารณะอย่างสิงคโปร์ การทิ้งหนังยางลงพื้นสามารถทำให้คุณต้องเสียค่าปรับอย่างน้อย $300 ดอลลาร์สิงคโปร์เลยทีเดียว ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ชื่อ @khrluffy โพสต์ภาพใบค่าปรับ ซึ่งระบุความผิดไว้ว่าเขาได้ทิ้งหนังยางไว้บนท้องถนน และผิดกฏหมายมาตราที่ 17(1)(A) ของพระราชบัญญัติด้านสาธารณสุขของสิงคโปร์ ซึ่งระบุว่าผู้กระทำความผิดครั้งแรกจะถูกปรับ $300 ดอลล่าร์สิงคโปร์ หากทิ้งขยะลงบนท้องถนน ไม่ว่าขยะนั้นจะเป็นสิ่งใดก็ตาม นอกจากนั้นข้อมูลของ National Environment Agency หรือ NEA ในปี 2018 ก็ระบุว่ามีการปรับผู้กระทำความผิดไปแล้วมากกว่า 39,000 ครั้ง และค่าปรับนั้นก็ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ $300 ดอลลาร์สิงคโปร์เท่านั้น เพราะหากคุณทิ้งก้นบุหรี่ลงจากตึกระฟ้า (และเจ้าหน้าที่เห็นคุณทำผิด) ก็จะโดนปรับสูงถึง $19,800 ดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือเทียบเป็นเงินไทยก็คือสูงถึง 450,000 บาทด้วยกัน ถ้านั่นยังเลวร้ายไม่พอ สิงคโปร์ก็ยังมีมาตรการที่ให้คุณมาบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ นั่นก็คือการทำความสะอาดท้องถนน พร้อมกับใส่เสื้อกั๊กสะท้อนแสงสีเหลืองและชมพู ซึ่งจะถูกมอบให้กับผู้ทำผิดโดยการทิ้งขยะลงท้องถนนเท่านั้น โดยมาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากที่จำนวนผู้ทำผิดเพิ่มขึ้นจากปี 2017 ถึง 30% ด้วยกัน และมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ที่คิดจะกระทำผิดยั้งคิดให้ดีเสียก่อนจะโยนอะไรทิ้ง แม้กฏของสิงคโปร์ดูค่อนข้างรุนแรง แต่นี่คือสิ่งที่จะส่งผลดีต่อสาธารณะ รวมทั้งโลกของเราอีกด้วย
ภารกิจชวนตื่นเต้นนี้ประกอบไปด้วยทีมลูกเรือจำนวน 6 คน ที่จะลงไปประจำการอยู่ในห้องทดลองใต้ทะเลเป็นเวลา 10 วัน โดยภารกิจมีชื่อเต็มว่า NASA Extreme Environment Mission Operations หรือ NEEMO 23 โดยภารกิจจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายนนี้ ภารกิจที่ลูกเรือจะลงไปทดสอบในห้องทดลองใต้น้ำแห่งนี้ ได้แก่การทดสอบอุปกรณ์ที่จะนำไปใช้งานบนพื้นผิวดวงจันทร์ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเร็วที่สุดในปีค.ศ. 2024 นี้มาใช้งาน เช่น เครื่องมือขุดเจาะ เพื่อเก็บตัวอย่างชั้นหินใต้พื้นผิวกลับมาวิเคราะห์บนโลก รวมถึงการทดสอบการนำทางในยานอวกาศด้วยการใช้ Augmented Reality จำลองขึ้นมา ไปจนถึงติดตามการนอนหลับของลูกเรือ เพื่อนำไปศึกษาเพิ่มเติม และเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจสำรวจห้วงอวกาศที่จะกินเวลานานหลายเดือนในอนาคต นอกจากจะทำงานอยู่ภายในห้องทดลองแล้ว ลูกเรือก็จะได้ออกมาสำรวจภายพื้นน้ำภายนอกอีกด้วย ซึ่งจะคล้ายคลึงกับการทำ ‘Spacewalk’ บนอวกาศ โดยจะมีการทดสอบต่างๆ ที่อาจจะช่วยปรับปรุงการทำ ‘Spacewalk’ ในอนาคตอีกด้วย และขณะอยู่ภายในห้องทดลอง ก็จะทำงานเพื่อสนับสนุนการวิจัยบนสถานีอวกาศนานาชาติไปด้วยเช่นกัน Samantha Christoforetti นักบินอวกาศหญิงชาวอิตาลี จะเป็นผู้บัญชาการของภารกิจ NEEMO 23 ในหนนี้โดยเธอเคยเดินทางขึ้นไปบนสถานีอวกาศมาแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2014 จนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ.
เช้าวันที่ 24 พฤษภาคมของประเทศไทย SpaceX ได้ปล่อยดาวเทียม Starlink ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเองจำนวน 60 ดวงขึ้นสู่อวกาศ ซึ่งนี่เป็นก้าวแรกของโครงการที่ SpaceX ตั้งเป้าจะให้ผู้คนทั่วทุกมุมโลกเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้ และอินเทอร์เน็ตจะต้องมีความเสถียรเท่ากันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม รวมทั้งมีราคาไม่แพงอีกด้วย Elon Musk CEO ของ SpaceX ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการปล่อยในครั้งนี้ว่า “นี่คือโครงการวิศวกรรมที่ยากที่สุดที่ผมเคยเห็นทีมของพวกผมทำเลย และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ค่อนข้างน่าประทับใจอย่างยิ่ง” ซึ่งดาวเทียมทั้ง 60 ดวงนั้นถูกซ้อนไว้ด้วยกันในจรวด Falcon 9 และมีน้ำหนักรวมสูงถึง 18,500 กิโลกรัม โดยนี่เป็นสถิติน้ำหนักสูงสุดที่จรวด Falcon 9 เคยนำส่งขึ้นสู่อวกาศอีกด้วย ทาง SpaceX ตั้งเป้าจะส่งดาวเทียม Starlink ขึ้นไปสองระยะด้วยกัน โดยระยะแรกประกอบด้วยดาวเทียมจำนวน 4,409 ดวง ที่จะอยู่ในวงโคจรระหว่าง 550 กิโลเมตรกับ 1,325 กิโลเมตรจากพื้นโลก ก่อนที่ระยะสองจะปล่อยอีก 7,518 ดวง เพื่อโคจรในวงโคจรที่ต่ำกว่าเล็กน้อย นั่นคือระหว่าง 335 ถึง 346
วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อต้าน เต็มไปด้วยความคิดนอกกรอบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง รวมถึงการแสดงออกเพื่อให้สังคมยอมรับ ในประเทศญี่ปุ่นก็มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีความคิดเป็นของตัวเอง รวมถึงแฟชั่นที่จัดจ้านโดดเด่น ที่คนทั่วไปเรียกเด็กเหล่านี้ว่า “แยงกี้” UNLOCKMEN สนใจเรื่องราวของกลุ่มแยงกี้และจะพาไปทำความรู้จักกับแก๊งเด็กวัยรุ่นญี่ปุ่นให้มากขึ้นว่าพวกเขาเป็นใคร มีแฟชั่นแบบไหน คิดอะไรอยู่ และทำไมถึงกลายเป็นคนชายขอบของสังคมญี่ปุ่น แท้จริงแล้ว “แยงกี้” คืออะไร ? แยงกี้เป็นคำที่เกิดขึ้นช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา สำหรับคนทั่วโลกเวลาเรียกแยงกี้จะหมายถึงคนอเมริกันแบบรวม คล้ายกับคำเหยียดดูหมิ่นกลาย ๆ แต่สำหรับคนอเมริกันเองจะมองว่าแยงกี้คือคำที่ใช้เรียกคนทางภาคเหนือของประเทศ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แยงกี้กลายเป็นคำเรียกของทีมเบสบอลชื่อดังของนิวยอร์ก แต่สำหรับแยงกี้ในญี่ปุ่นจะเป็นคำเรียกของนักเลง เด็กเกเรที่ต่อต้านสังคม แยงกี้สไตล์ญี่ปุ่น ความเข้าใจร่วมกันของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อคำว่า “แยงกี้” คือกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีวัฒนธรรมและความคิดเฉพาะตัว มีมุมมองหลายเรื่องแตกต่างกับคนอื่น ๆ ในสังคม เช่น แฟชั่น เสื้อผ้า ความชื่นชอบการ์ตูนต่อสู้ อาวุธ การแต่งรถ และค่านิยมแบบลูกผู้ชายญี่ปุ่น ตามคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาของคนญี่ปุ่น จุดเริ่มต้นของแยงกี้เกิดขึ้นในย่านอเมริกามูระ เมืองโอซาก้าปี 1960-1970 ช่วงเวลาแห่งความสูญเสียจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นบอบช้ำอย่างหนักจากการแพ้สงคราม สภาวะบ้านเมืองย่ำแย่ ผู้คนอยู่ในความสับสน