ในอดีตความฝันเรื่องอวกาศเหมือนสิทธิ์ผูกขาดของตะวันตก สหรัฐฯ จะบินไป โซเวียตจะบินมาเหนือดาวสีน้ำเงินก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อสำหรับพวกเราเหล่าซีกโลกตะวันออก แต่มาวันนี้ประเทศแดนมังกรอย่างจีนได้พิสูจน์แล้วว่าความฝันของมนุษยชาตินอกโลกนี้ เขาสามารถก้าวเข้ามาได้ในฐานะผู้นำและไปเอี่ยวมันได้ทั้งหมด นับจากเสียงฮือฮาตั้งแต่ปีที่แล้วที่จีนอุกอาจส่งดาวเทียมไปทำหน้าที่พระจันทร์เทียมเพื่อสร้างแสงสว่างประหยัดพลังงานให้ประเทศ มาถึงวันนี้จีนยังเหนือขั้นกับการไปนอกโลกแบบไม่ไปเปล่า พกของติดไม้ติดมือไปทดลองเพิ่มด้วย โดยคราวน้ีเป็นการนำเรื่อง “ชีววิทยา” อย่างการปลูกพืชและปล่อยสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ไปทดลองหายใจในต่างดาว (ไม่ใช่แค่ต่างแดน) ซึ่งเขาคือเจ้าแรกที่ทำให้มันโตได้สำเร็จ ก่อนจะโชว์ความเหนือชั้นของมนุษยชาติครั้งนี้ผ่านทางทวิตเตอร์ Chang’e 4 : อดีตยานพระรอง ที่กำลังเป็นพระเอกเพราะเมล็ดฝ้ายโต ถ้าใครเคยติดตามเรื่องราวของยานอวกาศจีนที่ยิงขึ้นไปปล่อยบนดวงจันทร์ ชื่อของ Chang’e 4 อาจจะเป็นชื่อที่เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแล้ว เพราะยานลำนี้แหละที่เคยสำรวจดวงจันทร์ด้านมืดมาก่อน แต่ก่อนจะไปสำรวจด้านมืดมันโดนวางตำแหน่งไว้ในฐานะยานสำรองของ Chang’e 3 ที่จีนมอบภารกิจลงจอดนิ่ม ๆ แล้วนำรถโรเวอร์ลงวิ่งบนพื้นผิวดวงจันทร์ ทว่าพอ Chang’e 3 ทำได้ดีโดยไม่ต้องการตัวสำรอง Chang’e 4 ก็เลยได้รับการปรับแต่งและมอบภารกิจใหม่ให้อย่างการสำรวจดวงจันทร์ด้านมืดแทน ระหว่างที่คนกำลังตื่นเต้นกับภารกิจสำรวจด้านมืดของดวงจันทร์ที่ไม่มีใครเคยสำรวจมาก่อนในวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา อยู่ ๆ เราก็ได้รับข่าวดีว่าภารกิจซ้อนที่เราไม่เคยรู้อย่างการทดลองชีววิทยาซึ่งถูกเหน็บไปพร้อมกันด้วย เพราะ Chang’e 4 ติดตั้งถังทดลองขนาด 18 เซนติเมตรไป ด้านในประกอบด้วย เมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ เช่น
“Words are more powerful than weapons.” หนึ่งในวลียอดฮิตที่ทุกคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง ยิ่งถ้าเราลองเปิดบันทึกประวัติศาสตร์โลกดูจะพบว่าในเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ คำพูดหรือสปีชเพียงไม่กี่นาทีกลับพลิกประวัติศาสตร์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ นอกจากจะส่งผลต่อเรื่องราวในอดีตแล้ว ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนสปีชที่ยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่ตกยุค ยังร่วมสมัยและสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราได้เสมอ ครั้งที่แล้วเราได้นำเสนอสปีชที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกให้ทุกคนได้เรียนรู้ถึงแนวคิดและสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ไปแล้วทั้งหมด 5 สปีช แต่สปีชที่ดีนั้นยังมีอีกมากมาย และเราเล็งเห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกคน เราจึงคัดมาอีก 5 สปีช ให้ทุกคนได้เรียนรู้จากร่องรอยประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก สามารถย้อนตามไปอ่านได้ที่ ‘5 SPEECH ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก’เป็นข้อคิดและบทเรียนชั้นดีในการใช้ชีวิตของหนุ่ม ๆ I Have a Dream – Martin Luther King Jr. August 28, 1963, Washington, D.C. Martin Luther King Jr. คือหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดต่อการเรียกร้องสิทธิให้กับพลเมืองผิวสีในสหรัฐอเมริกา แม้ในช่วงนั้น (ยุค 50-60) จะผ่านพ้นช่วงเลิกทาสมาแล้วนับ 100 ปี สิทธิพลเมืองผิวขาวและผิวสีเท่าเทียมกันในแง่ลายลักษณ์อักษรตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัตินั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง คนผิวดำยังโดนกีดกันในการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ รวมถึงมีการแบ่งแยกสถานที่สำหรับคนผิวดำอย่างชัดเจน
หลังจากที่เคยเป็นเมืองนำร่องในการผลักดันให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ จนเป็นต้นเหตุสำคัญนำมาสู่การกรุยทางใช้เพื่อสันทนาการเป็นวงกว้างในประเทศ ล่าสุดเมืองเดนเวอร์ (Denver) กำลังเดินหน้าสนับสนุนให้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับ Magic Mushroom ซึ่งเป็นพืชสายหลอนอีกชนิดที่อยู่ในบัญชียาเสพติดกลางของประเทศ เพื่อลดหย่อนโทษให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น Psilocybin Mushroom AKA Magic Mushroom หรือในบ้านเราเรียกกันว่าเห็ดขี้ควาย คือเห็ดชนิดหนึ่งในวงศ์ Strophariaceae (เห็ดรา) ที่มีสาร Psilocybin ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้เกิดอาการมึนเมาและเกิดภาพหลอนต่าง ๆ รวมถึงอาจส่งผลให้มีความคิดหรืออารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ลักษณะคล้ายกับการเสพ LSD ซึ่งถูกใช้กันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลกมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ถือเป็นของผิดกฎหมายในเกือบทุกประเทศ แต่สำหรับในสหรัฐอเมริกามันถูกควบคุมภายใต้อนุสัญญาของสหประชาชาติ ว่าด้วยเรื่องวัตถุและสารที่ออกฤทธิ์ต่อประสาทปี 1971 โดยถูกกำหนดให้เป็นยาเสพติดที่อยู่ในระดับเดียวกันกับแอลเอสดีและเฮโรอีนเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนลักลอบใช้มันรวมถึงซื้อขายอยู่ดี โดยให้เหตุผลว่า Magic Mushroom สามารถใช้เพื่อหลบหนีจากความเครียดไม่ต่างกับกัญชา รวมถึงไม่เคยมีเคสของการ Overdose เกิดขึ้นอีกด้วย ยกเว้นการใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์ในบางกรณี ความเปลี่ยนแปลงล่าสุดในสหรัฐอเมริกาที่ตอนนี้เหล่านักเคลื่อนไหวและประชาชนในเมืองเดนเวอร์จัดแคมเปญที่เรียกว่า Decriminalize Denver ซึ่งสนับสนุนการยกเลิกบทลงโทษเกี่ยวกับ Magic Mushroom ด้วยการล่ารายชื่อกว่า 9,500 รายชื่อ เพื่อส่งคำร้องให้กับคณะกรรมการประชามติของเมือง ซึ่งจากการตรวจสอบจากสภาเมืองมีรายชื่อที่ถูกต้องตามลายเซ็น 4,726 รายชื่อเท่านั้น แต่ก็เพียงพอสำหรับการลงมติซึ่งจะมีการลงประชามติในช่วงเดือนพฤษภาคมของปีนี้ และถ้ามีมติโหวตผ่าน เมืองหลวงของรัฐโคโลราโดแห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่แรกที่มีการปรับลดโทษที่เกี่ยวกับ Magic Mushroom
ฝันของมนุษย์ที่จะท่องไปในอวกาศอันเวิ้งว้างเริ่มดูเป็นรูปเป็นร่างและใกล้ความเป็นจริงเข้าไปอีกขั้น เมื่อไอรอนแมนในโลกแห่งความจริงอย่าง Elon Musk อวดโฉมจรวดทดสอบ Starship ที่มีไว้รองรับการเดินทางทัวร์รอบดวงจันทร์สำหรับเหล่ามหาเศรษฐีที่อยากท่องอวกาศ ก่อนหน้านี้บริษัทขนส่งทางอวกาศชื่อดังอย่าง SpaceX ของนักธุรกิจหนุ่มอัจฉริยะอย่าง Elon Musk เปิดตัวโครงการพามนุษย์เดินทางไปดาวอังคารด้วยระบบขนส่งระหว่างดาวแต่ละดวงในชื่อ ITS หรือ Interplanetary Transportation System โดยใช้กระสวยอวกาศชื่อ BFR หรือ Big Falcon Rocket BFR คือยานพาหนะที่จะพาเราท่องอวกาศที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Raptor Engine ที่ใช้พลังงานเป็นมีเทนเหลวมากถึง 42 ตัว เพื่อให้เกิดแรงยกกว่า 126 ล้านนิวตัน เทียบเท่าจรวดรุ่นก่อนหน้าอย่าง Flacon 9 ทั้งหมด 16 ตัว และ BFR สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้กว่า 200 คน เพื่อเดินทางไปยังดาวอังคารและดาวอื่น ๆ ในระบบสุริยะจักรวาล BFR สามารถบินขึ้นจากบริเวณใดก็ได้ในโลกและลงจอดได้ดั่งใจ SpaceX ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง แม้ขนาดจะใหญ่เทอะทะจนคนเอาไปล้อจาก Big Falcon Rocket เพี้ยนไปเป็น
ขึ้นชื่อว่า “พ่อค้ายาเสพติด”ซึ่งภาพลักษณ์เต็มไปด้วยความเลวร้ายก็ดูไม่มีทางจะไปกันได้กับ “ความดี”หรือ”ความรับผิดชอบต่อสังคม”เลย แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดกลุ่มหนึ่งดันกลับตาลปัตรใส่ใจปัญหามลภาวะและพยายามคิดหาวิธีขายโคเคนพร้อมกับรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กันโดยเลือกใช้บรรจุภัณฑ์แบบ Class A ที่สามารถนำกลับมาใช้ในการซื้อยาเสพติดครั้งต่อไปได้อีก เมื่อลูกค้าสั่งยาเสพติดปริมาณน้อย พ่อค้ายามักใส่ยาเสพติดในถุงพลาสติกเล็ก ๆ ที่มีซิปล็อก จากนั้นต้องห่อสองชั้นด้วยกระดาษล็อตตารี่และใช้น้ำมันหรือฟิล์มเพื่อยึดห่อยากับกระดาษไว้ด้วยกัน ก่อนจะนำมาส่งให้ลูกค้า การทำบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งยาเสพติดให้ถึงมือลูกค้าแต่ละครั้งนั้นจึงยุ่งยากและสร้างขยะเป็นจำนวนมาก รายงานฉบับหนึ่งในนิตยสาร The Metro ซึ่งลงพื้นที่สำรวจตลาดยาเสพติดท้องถิ่นพบว่ามีตัวแทนจำหน่ายมากกว่าหนึ่งเจ้าเริ่มขายโคเคนในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เพราะการใช้ถุงซิปล็อกแบบเดิมนั้นใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว ผู้ใช้โคเคนรายหนึ่งในเมืองเบอร์มิงแฮมบอกกับสื่อออนไลน์ว่า ตอนแรกคิดว่าพ่อค้ายาของเขาล้อเล่นตอนที่ยื่นโคเคนหนึ่งกรัมในขวดขนาดจิ๋วมาให้ โดยพ่อค้ายาบอกเขาว่าต่อไปนี้จะไม่ใส่โคเคนในถุงซิบล็อกหรือห่อกระดาษอีกต่อไป แต่ให้เก็บขวดนี้ไว้ เมื่อมาซื้อครั้งต่อไปก็ให้เอาขวดมาแลกกับยา ถึงพ่อค้ายาจะบอกแบบนั้น แต่ผู้ซื้อรายนี้ก็ยังคิดว่าเป็นแค่การล้อเล่น ท้ายที่สุดท่าทีของพ่อค้ายากลับจริงจังจนน่าตกใจ อาจเป็นเพราะการส่งยาแต่ละครั้งพวกพ่อค้าใช้ถุงพลาสติกและกระดาษเป็นจำนวนมาก พลาสติกและกระดาษเหล่านี้จึงมีส่วนสร้างมลภาวะ รวมถึงการใส่ยาในขวดช่วยให้จำหน่ายได้รวดเร็วขึ้นเพราะไม่ต้องมานั่งห่อซ้ำแล้วซ้ำอีก พ่อค้ายายังทิ้งท้ายไว้ว่าเขามั่นใจว่าจะต้องมีลูกค้าหัวใหม่ที่ชอบทั้งโคเคนและชอบแนวคิดรักษ์โลกแบบนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามการรักษาสิ่งแวดล้อมของพ่อค้ายาจำนวนหนึ่งคงไม่สามารถชดเชยความเสียหายจากการสร้างมลภาวะได้ทั้งหมด จากการวิจัยเรื่องสิ่งแวดล้อมในปี 2011 โดย State University of New York System พบว่าการผลิตยาเสพติดไม่ว่าจะชนิดไหนก็มีส่วนในการตัดไม้ทำลายป่าโดยเฉพาะกับประเทศโคลอมเบียที่เป็นแหล่งวัตถุดิบเจ้าใหญ่ของโลก นอกจากนี้ Liliana M. Dávalos นักนิเวศวิทยาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมกล่าวว่าทางตอนใต้ของโคลอมเบียสูญเสียป่าจำนวนมากใกล้กับแหล่งเพาะปลูกต้นโคคาซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตโคเคน ยิ่งมีโคเคนอยู่มากเท่าไหร่ จำนวนป่าก็จะลดลงเท่านั้น แม้การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของยาเสพติดแบบผงจะช่วยลดมลภาวะได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าการไม่เริ่มทำอะไรเลยจริงไหมล่ะครับ ที่น่าสนใจคือเรื่องการซ้อนทับระหว่างความเป็นพ่อค้ายาที่ดูจะเป็นผู้ร้ายของสังคมสุด ๆ
พ่อแม่ลุงป้าที่เคยบ่นเคยห้ามไม่ให้เราติดมือถือมากไป วินาทีหันไปจะคุยกับพวกท่าทีไรกลายเป็นว่า “โถ ติดมือถือหนักกว่าเราไปอีก!” เรียกได้ว่าตอนนี้ผู้สูงอายุใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Line หรือ Facebook ก็ตามแต่ ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือการทำให้ช่องว่างระหว่างวัยของสมาชิกในครอบครัวลดน้อยลง ผู้สูงอายุเหงาน้อยลงและได้ติดต่อกับเพื่อนมากขึ้น แต่ข้อเสียนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเหล่าผู้สูงอายุมักจะชอบแชร์ข่าวสารข้อมูลผิด ๆ ที่ส่งต่อกันโดยไม่รู้ว่าข่าวที่ตัวเองอ่านนั้นเป็นความจริงหรือไม่ การติดมือถือมากไปยังพอเยียวยาได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่หนักขึ้นมาอย่าง การแชร์ข้อมูลเรื่องสุขภาพแบบผิด ๆ ที่จะส่งผลต่อชีวิต หรือข่าวของเหล่าคนดังที่จะส่งผลให้เกิดการปลุกระดมเรื่องของความเกลียดชังอย่างไม่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงไม่น้อย ปัญหานี้ไม่ได้มีให้เห็นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ในสหรัฐฯ เองก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุมักมีแนวโน้มที่ชอบแบ่งปันข่าวปลอมต่าง ๆ ใน Facebook และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ กันเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยจาก New York Universitiy และ Princeton Universitiy ได้ร่วมกันค้นหาคำตอบจากการทำวิจัยและสำรวจว่ากลุ่มคนในช่วงอายุใดมักจะแชร์ข่าวปลอมมากกกว่ากัน งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ลงใน Science Advance แสดงให้เห็นถึงการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยรวบรวมผู้คนกว่า 3,500 คนที่ใช้งาน Facebook ไม่แบ่งเพศและอายุและขอให้เปิด Public เพื่อให้เหล่านักวิจัยสามารถเข้าถึงฟีดทั้งหมดได้ว่ากลุ่มตัวอย่างนั้นได้แชร์เรื่องราวอะไรกับเพื่อนใน Facebook บ้าง เป็นเรื่องน่าตกใจเมื่อผลสำรวจพบว่าผู้ใช้งาน Facebook ที่มีอายุ
แม้เป็นเรื่องยากจะยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหล่าพ่อค้ายานั้นมีอิทธิพลทั้งในธุรกิจบนดินและใต้ดิน แถมยังมีส่วนในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่บางครั้งกฎหมายก็ยากที่จะต้านทานอำนาจของเม็ดเงินที่เหล่าพ่อค้ายามี แต่ความราบรื่นก็ไม่ได้เป็นของทุกคนที่ทำอาชีพนี้ มีน้อยคนนักที่จะร่ำรวยมหาศาล จำนวนมากต้องล้มตายหรือจบชีวิตลงในคุก UNLOCKMEN จึงจะพาไปทำความรู้จักกับเหล่าพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ว่าเขาได้เงินเหล่านั้นมาจากไหน และเอาเงินเหล่านั้นไปทำอะไรบ้าง 5. KHUN SA ทรัพย์สินราว 5 พันล้านเหรียญ ขุนส่า หรือ จางชีฟูที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ จันทร์ จางตระกูล ราชายาเฮโรอีนผู้ล่วงลับที่ครอบครองเขตพื้นที่แถบสามเหลี่ยมทองคำทางภาคเหนือของไทยและใช้เป็นฐานการผลิตยาเสพติด ได้รับการจัดอันดับให้เป็นพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับ 5 ด้วยเม็ดเงินที่ได้มาจากการค้าฝิ่น เฮโรอีน รวมถึงธุรกิจใต้ดินต่าง ๆ ขุนส่ามีอิทธิพลมากต่อระบบการเมืองของพม่าเพราะเขาคือผู้นำกองทัพเมิงไตที่ร่วมต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับชนกลุ่มน้อยชาวไทใหญ่ในประเทศพม่า จนกระทั่งลุกลามเป็นสงครามฝิ่น ค.ศ. 1967 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้มากมายจากการค้ายา แต่ขุนส่าได้กล่าวถึงธุรกิจของตัวเองว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะต้องการจะปลดแอกตัวเองจากการกดขี่ของกองทัพพม่าตั้งแต่ปี 1947 และเฮโรอีนคือหนทางทำเงินที่รวดเร็วที่สุดเพื่อนำเงินทั้งหมดทุ่มไปกับการซื้ออาวุธสงครามเพื่อต่อสู้ 4. Jorge Luis Ochoa Vásquez ทรัพย์สินราว 6 พันล้านเหรียญ สามพี่น้องตระกูล Ochoa นำโดย Jorge Luis
การกลับมาอีกครั้งของแคมเปญตบหน้าสังคมของ Nike หลังประสบความสำเร็จอย่างมากกับ Colin Kaepernick อดีต NFL quarterback ชื่อดังที่มากับ Tagline เงินล้านอย่าง “Believe in something even if it means sacrificing everything.’’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Kaepernick เลือกที่จะแสดงออกเพื่อต่อต้านการไม่เท่าเทียมในสังคมของคนผิวดำ แม้จะรู้ว่าผลที่ตามมาจะรุนแรงถึงขั้นทำให้อาชีพต้องจบลงก็ตาม ซึ่งการที่ Nike เลือกสนับสนุน Colin Kaepernick ก็ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากมาย แต่สุดท้ายดูเหมือนคนชนะจะเป็น Nike เมื่อความเด็ดเดี่ยวนี้กลับสร้างยอดขายได้อย่างมหาศาลชนิดที่ทำ Promotion ยังไม่ได้ขนาดนี้ เหมือนหนังภาคแรกประสบความสำเร็จ ย่อมต้องมีภาคสองตามออกมา กับ Campaign ล่าสุดของ Nike ที่เลือกใช้ Approach เดิมในการยืนหยัดข้างนักกีฬาผิวสีที่โดนกระทำอย่างไม่เสมอภาคอีกครั้ง โดยคราวนี้เป็นเรื่องราวของนักฟุตบอลมากพรสวรรค์แห่ง Manchester City ‘Raheem Sterling’ ที่มีปัญหากับการถูกเลือกปฏิบัติจากสื่ออังกฤษและแฟนบอลอย่างไม่เท่าเทียมกับนักเตะผิวขาวเสมอ Sterling เคยโพส Instagram เปรียบเทียบความไม่เสมอภาคจากการนำเสนอของสื่อ โดยเปรียบเทียบตัวเค้ากับ Phil Foden
ในบางครั้งเมื่อเราเข้าสู่โซเชียลมีเดียสารพัดรูปแบบ เช่น Facebook หรือ Instagram ก็มักเห็นบางคนที่มีแฟนแล้วแต่ชอบโพสต์รูปตัวเองอยู่เป็นประจำและลงรูปคู่กับคนรักน้อยมาก ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนั้นสามารถบอกได้ว่าผู้ที่ชอบโพสต์แต่รูปเซลฟี่ของตัวเองลงโซเชียลมีเดีย ในชีวิตจริงมักมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับคนรัก งานวิจัยจาก Florida State University ระบุว่าการเซลฟี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคู่รัก เพราะเมื่อออกไปเดตแล้วคนรักมักลงแต่รูปเซลฟี่ของตัวเองแต่ไม่ลงรูปคู่ จะทำให้อีกฝ่ายเกิดคำถามในใจมากมายว่าเพราะอะไรแฟนถึงไม่ลงรูปคู่ และคิดไปจนถึงขั้นว่าการมาเดตในแต่ละครั้งไม่สามารถสร้างความทรงจำที่ดีให้กับคนรักได้ รวมถึงไปความหวาดระแวงเรื่องของมือที่สาม ส่วนฝ่ายที่คลั่งการเซลฟี่ก็จะให้ความสนใจกับกระแสตอบรับจากโลกออนไลน์เวลาที่โพสต์ในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยอดไลก์หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ มากกว่าที่จะให้ความสนใจกับคู่ชีวิตที่อยู่ใกล้ตัว โดยงานวิจัยได้บอกเพิ่มเติมอีกว่า อาการชื่นชอบการเซลฟี่เป็นชีวิตจิตใจนั้นสามารถเป็นทั้งเพศชายและเพศหญิง นอกจากนี้ Dr.Nikki Goldstein ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยากล่าวว่า เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังไม่มั่นใจในความสัมพันธ์จึงมักจะแสดงออกถึงความต้องการจะแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้มากกว่าการโพสต์รูปคู่กับแฟน หรือเขียนสเตตัสว่าไปไหนมาไหนกับคนรัก และเสพติดการเล่นโซเชียลมีเดียเป็นชีวิตจิตใจ จากการเฝ้าศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์มาเป็นเวลานาน Dr. Goldstein ได้บันทึกเรื่องราวที่เธอพบเจอไว้ว่า ในแต่ละวันเธอมักจะเห็นคู่รักหลายคู่โพสต์เรื่องราวต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะมีความสุข ที่เน้นบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง แต่สิ่งที่ Dr. Goldstein ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเบื้องหลังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักนักเซลฟี่นั้นไม่ได้มีความสุขอย่างที่แชร์ลงในโซเชียลมีเดีย และการโพสต์เรื่องราวต่าง ๆ เพียงด้านเดียวแบบนี้ต่อไปจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักไม่มั่นคงมากกว่าเดิม การชื่นชอบเซลฟี่เกินควรนอกจากจะส่งผลกระทบกับชีวิตคู่แล้วก็ยังส่งผลเสียกับตัวเองเช่นกัน เพราะพฤติกรรมการชื่นชอบเซลฟี่จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า Generation me คล้ายกับอาการหลงตัวเองของวัยรุ่นที่เวลารูปที่ลงในโซเชียลแล้วได้รับการตอบรับเยอะก็จะรู้สึกมั่นใจ แต่เมื่อยิ่งได้รับฟีดแบคที่ดี คนรักของผู้ที่ชื่นชอบเซลฟี่มักจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจและหึงหวง ก็จะเป็นการย้อนกลับมาในเรื่องของปัญหาความสัมพันธ์อีกครั้งแบบไม่รู้จบ ดังนั้นคำถามที่เหล่านักเซลฟี่จะต้องถามตัวเองให้ชัดเจนคือ สิ่งที่ตัวเองจะต้องให้ความสำคัญนั้นคือความสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือสนใจฟีดแบคในโลกออนไลน์มากกว่ากัน
เหล่านักดื่มอาจต้องสับสนกันอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ผลวิจัยได้บอกว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันละน้อยจะช่วยเรื่องสุขภาพ แต่มาวันนี้ก็ได้มีงานวิจัยที่มาหักล้างกันอีกครั้ง แถมยังบอกอีกด้วยว่าการดื่มเพียงเล็กน้อยนั้นก็คือสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียกันเลยทีเดียว ข้อหักล้างที่ว่าด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยจะช่วยบำรุงสุขภาพนั้นถูกนำเสนอผ่านเว็บไซต์ข่าวชื่อดังอย่าง BBC กับการวิจัยที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการการศึกษาภาระปัญหาของโลกว่าด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บหรือ Global Burden of Disease ผลวิจัยชิ้นนี้สำรวจพฤติกรรมการดื่มของนักดื่มกว่า 195 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงอายุ 19-95 ปี เป็นจำนวนกว่า 28 ล้านคนทั่วโลก ด้วยระยะเวลายาวนานกว่า 26 ปี โดยวิจัยนี้เริ่มลงสนามสำรวจตั้งแต่ปี 1990-2016 ถือว่าเป็นงานวิจัยที่ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่มีมากถึงหลักหลายสิบล้านตัวอย่าง ผลการวิจัยครั้งนี้เผยให้เห็นถึงอัตราความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ อย่างมะเร็ง ตับแข็ง หรือระดับการเกิดอุบัติเหตุเพราะเมานั้นมีตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นตามปริมาณที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่เราดื่มในแต่ละวัน เช่น วันหนึ่งเราดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ 1 หน่วย หรือประมาณ 10 กรัม ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มเลย 0.5% ในขณะที่ถ้าดื่มวันละ 2 หน่วย ก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น 7% หรือถ้าดื่มวันละ 5 หน่วย ความเสี่ยงก็จะพุ่งสูงถึง 37% ผลวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ Lancet และได้ชี้แนะให้หน่วยงานสาธรณสุขของประเทศอังกฤษควรออกคำเตือนให้ประชาชนลดการดื่ม เพราะปัจจุบันในอังกฤษได้แนะนำให้ประชาชนบริโภคแอลกอฮอล์ไม่เกิน