News | Video
UNLOCKMEN Logo
News | Video
Unlockmen Facebook Page Unlockmen Twitter Unlockmen YouTube channel
  • World
  • Entertainment
    :
    Films
    |
    Music
  • Guide
    :
    EVENT
    |
    MENU
    |
    TRAVEL
  • TECH
    :
    APPS
    |
    CARS
    |
    GADGETs
  • Style
    :
    DESIGN
    |
    FASHION
    |
    GROOMING
  • Business
  • Girls
  • Life
  • Work
  • Play
  • Survival
UNLOCKMEN Logo

News

World Entertainment Guide TECH Style Business Girls Life
Work Play Survival

Videos

Tag "world"

  • World
    By: unlockmen January 18, 2019
    THE PROFILES: ความดุเดือดของกลุ่มก่อการร้าย AL-SHABAAB พวกเขาต้องการบอกอะไรกับโลก?

    เหตุการณ์วางระเบิดและบุกกราดยิงที่โรงแรม Dusit D2 ในเมืองไนโรบี เมืองหลวงของประเทศเคนยากลายเป็นข่าวดังครึกโครมไปทั่วโลก หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว กลุ่มก่อการร้าย Al-Shabaab อ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีในครั้งนี้ Al-Shabaab เป็นใคร? และพวกเขาทำแบบนี้ทำไม? Al-Shabaab หรือกลุ่มอัล-ชาบับ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 เป็นกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงที่เป็นผลผลิตจากความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลังจากโค่นล้มผู้นำเผด็จการซึ่งเป็นฐานอำนาจเดิม กลุ่มก่อการร้ายนี้มีฐานกำลังอยู่ในสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียบริเวณใกล้กับประเทศเคนยา หัวหน้ากลุ่มของ Al-Shabaab คือนาย Ahmad Umer วัย 47 ปี เขาคือชายที่ทางการสหรัฐฯ ต้องการตัวเป็นอย่างมากถึงกับตั้งค่าหัวให้ถึง 6 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยราว 190 ล้านบาท และเฝ้าจับตากลุ่มก่อการร้ายนี้เป็นพิเศษเนื่องจากกลุ่มก่อการร้าย Al-Shabaab นั้นมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังอย่างกลุ่ม Al-Qaeda แต่ภายหลังทั้งสองฝ่ายมีอุดมการณ์บางอย่างต่างกัน กลุ่มก่อการร้ายทั้งสองกลุ่มจึงแยกกันอย่างชัดเจน แม้จะเป็นกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิมหัวรุนแรง แต่สมาชิกระดับสูงของกลุ่ม Al-Shabaab นั้นมีคนจากหลากหลายเชื้อชาติเข้าร่วมด้วย และคาดว่ามีสมาชิกราว 8,000-10,000 คน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือตั้งรัฐบาลอิสลามเคร่งจารีตให้สำเร็จ กลุ่มก่อการร้ายที่มีสมาชิกเกือบหมื่นคนหารายได้และอาวุธสงครามมาจากไหน? เหล่านักวิเคราะห์คาดว่าที่มาของรายได้หลักคือการดีลกับเจ้าหน้าที่ท่าเรือขนส่งสินค้าหลายแห่งในแถบแหลมแอฟริกา ในปี 2011 สหประชาชาติเคยประเมินรายได้ของกลุ่มก่อการร้าย Al-Shabaab ว่าสร้างรายได้กว่า

  • World
    By: unlockmen January 18, 2019
    อีกขั้นของความทรงจำ เมื่อนักวิทยาศาสตร์สามารถถ่ายโอนความทรงจำได้สำเร็จ

    บ่อยครั้งที่ภาพยนตร์เลือกหยิบเรื่องราวเกี่ยวกับความทรงจำมาเล่าอย่างเหนือจริง ทั้งการถ่ายโอนความทรงจำของคนหนึ่งไปสู่อีกคน เมื่อโอนความทรงจำสำเร็จเราก็จะกลายเป็นคนคนนั้น เราจะมีลักษณะและบุคลิกที่เหมือนกันเพราะใช้ความทรงจำเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ดูเป็นสิ่งที่เป็นจริงได้แค่จินตนาการหรือหนังเท่านั้น แต่ UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าการถ่ายโอนความทรงจำไม่ได้มีแค่ไหนหนัง Sci-fi อีกต่อไป เพราะนักวิทยาศาสตร์สามารถถ่ายโอนความทรงจำของสัตว์ได้แล้ว แม้จะยังไม่สามารถถ่ายโอนความทรงจำของมนุษย์ได้ แต่การถ่ายโอนความทรงจำของสัตว์สำเร็จถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์พัฒนาไปอีกขั้น มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า UCLA ได้เริ่มทำการทดลอง Memory transplant เปลี่ยนถ่ายความทรงจำของหอยทากทะเล Aplysia californica ได้สำเร็จ ผลการวิจัยครั้งนี้ตีพิมพ์ลงวารสาร eNeuro รายงานถึงการฝึกให้หอยทากทะเลกลุ่มหนึ่งสร้างกลไกเพื่อป้องกันตัวเองจากอันตรายเมื่อโดนกระแสไฟอ่อน ๆ สัมผัสบริเวณส่วนหาง โดยสาเหตุที่เลือกใช้หอยทากทะเล Aplysia californica นั้นเป็นเพราะเซลล์ประสาทของหอยทากทะเลชนิดนี้มีระบบกลไกการทำงานที่คล้ายกันหลายอย่างกับเซลล์ประสาทของมนุษย์ ผลจากการฝึกให้หอยทากกลุ่มตัวอย่างมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าและรู้จักป้องกันตัว ในที่สุดหอยทากทะเลกลุ่มนี้ก็เรียนรู้ที่จะหดตัวกลับเข้าเปลือกเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องโดนกระแสไฟฟ้าช็อตอีกครั้ง และหลบอยู่ในเปลือกนานกว่า 50 วินาที ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมการหลบหนีที่นานกว่าหอยทากกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่เคยได้รับการฝึก เมื่อสอนให้หอยทากมีปฏิกิริยาตอบสนองแตกต่างจากหอยทากทั่วไปได้แล้ว ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้สกัด RNA ของหอยทากกลุ่มนี้ออกจากระบบประสาทและนำไปฉีดให้กับหอยทากทะเลอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่เคยถูกฝึกให้หลบหนีจากกระแสไฟฟ้าช็อต ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าทึ่งเพราะหอยทากกลุ่มหลังที่ไม่เคยผ่านการฝึกมาก่อนมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบเดียวกับหอยทากที่ผ่านการฝึก โดยการถ่ายโอน RNA ไม่ทำให้หอยทากทะเลกลุ่มที่สองได้รับบาดเจ็บหรือสร้างความเสียหายทางกายภาพจากการทดลองครั้งนี้อีกด้วย กุญแจสำคัญของการถ่ายโอนความทรงจำอยู่ใน RNA ที่มีชื่อเรียกแบบเต็ม ๆ ว่ากรดไรโบนิวคลีอิก (Ribonucleic acid

  • GADGETs
    By: Chaipohn January 18, 2019
    คืนชีพ MOTOROLA RAZR FLIP PHONE สุดคลาสสิกในราคาสุดแรงแพงระยับแตะ 50,000 บาท

    ปี 2004 โลกได้รู้จักกับ Motorola RAZR โทรศัพท์มือถือพับได้สุดหรูที่เหล่าลูกคุณหนู นักธุรกิจ ดารานักแสดงต่างต้องมีพกพาติดตัวอย่างน้อยหนึ่งเครื่อง ด้วยความหล่อหรูหราในการออกแบบ วัสดุที่บอกถึงความหรูหราได้ด้วยมือสัมผัส และความสามารถในการช่วยฆ่าเวลาหรือแก้เขินด้วยการเปิดปิดรัว ๆ แม้จะตั้งราคาไม่ค่อนข้างสูงในยุคนั้น แต่เสน่ห์ของมันก็สามารถทำยอดขายได้มากถึง 130 ล้านเครื่องทั่วโลก ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ Smartphone ปัจจุบันไม่สามารถทำให้เราได้ ด้วยจุดเด่นที่ไร้ใครมาเหมือน Motorola RAZR จึงมักจะมีข่าวลือว่ามันจะคืนชีพกลับมาในยุค 4G ก็หลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยังเคยกลับมาได้จริง ต่างกับข่าวความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดที่ออกมาจากทาง Motorola และบริษัทแม่ Lenovo จับมือกับ Verizon ในอเมริกา เตรียมนำ Motorola RAZR กลับมาแน่ครั้งนี้ในจำนวนจำกัด 200,000 เครื่อง ในราคาแพงมหาโหดถึง $1,500 หรือราว 50,000 บาทเลยทีเดียว แม้มันจะไม่แพงไปกว่าบรรดา Apple XS Max แต่คาดว่าความสามารถของ RAZR น่าจะทำได้ไม่มากเท่าอย่างแน่นอน Paul Pierce ทีมผู้ออกแบบ Motorola

  • World
    By: unlockmen January 17, 2019
    “ในวันที่ทุกคนต้องใส่หน้ากาก” ย้อนรอยชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้คนในช่วงสงครามโลก

    เมื่ออาวุธเคมีที่มีคุณสมบัติทำลายล้างสูงอย่างแก๊สพิษไม่ได้ถูกใช้แค่ในสมรภูมิรบเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายเพื่อทำลายล้างประชาชนทั่วไปด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครต่างก็ต้องเตรียมรับมือกับอากาศปนเปื้อนที่พร้อมจะฆ่าเราได้ทุกเมื่อ ชีวิตที่ต้องใส่หน้ากากกันแก๊สพิษตลอดเวลาจะเป็นอย่างไร ? UNLOCKMEN จะพาย้อนเวลาไปสู่ยุคที่ทุกคนต่างก็ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน สงคราม ควันและแก๊สเป็นสิ่งที่ถูกใช้งานคู่กันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยการใช้ควันไฟไล่ต้อนศัตรูคู่ตรงข้ามให้ออกมาจากถ้ำ และในบางครั้งก็เพิ่มสารหนูลงไปในวัตถุดิบที่ใช้เผาไหม้ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อมีแก๊สพิษจึงทำให้มีหน้ากากกันแก๊ส จุดเริ่มต้นของสังคมหน้ากากจึงเริ่มต้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่นับเป็นการนำ Chemical weapons หรืออาวุธเคมีมาใช้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นแก๊สน้ำตาที่เป็นอาวุธเคมีรุ่นแรกจากคลังแสงที่กลุ่มทหารฝรั่งเศสนำมาเริ่มใช้ในปีค.ศ. 1914 เมื่อทหารฝ่ายตรงข้ามสูดดมเข้าไปจะทำให้เยื่อบุโพรงจมูกระคายเคือง ส่งผลต่อหลอดลม ปอด รวมถึงดวงตา นอกจากแก๊สน้ำตาแล้วยังมีคลอรีนของฝ่ายกองทัพเยอรมัน เมื่อสูดดมเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและระบบการมองเห็น ทำให้ร่างกายเกิดสภาวะ Asphyxia หรือที่เรียกว่าภาวะร่างกายขาดออกซิเจนเฉียบพลัน มีอาการเจ็บหน้าอก อาเจียน และเสียชีวิตภายใน 2-3 นาที รวมไปถึงอาวุธเคมีชนิดอื่น ๆ อย่าง ฟอสจีน และ มัสตาร์ด จึงเรียกได้ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ต่างฝ่ายต่างก็งัดอาวุธเคมีขึ้นมาสู้กันอย่างดุเดือด เมื่ออาวุธเคมีทวีความร้ายกาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างต้องเร่งผลิตหน้ากากกันแก๊สพิษขึ้นมาใช้อย่างจริงจัง แต่หน้ากากในช่วงแรกนั้นไม่สามารถต้านพิษจากสารเคมีที่ลอยอยู่ในอากาศได้ 100% จึงทำให้หน้ากากเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนเผาใบหน้าของผู้สวมใส่ และเมื่อถอดหน้ากากออกก็จะต้องสูดดมแก๊สพิษ ซึ่งไม่ว่าจะใส่หรือถอดก็แย่อยู่ดี อาวุธเคมีมีประสิทธิภาพอย่างมากในการลดจำนวนฝ่ายตรงข้ามจึงทำให้บางครั้งมีการทิ้งระเบิดเคมีลงในเมืองใหญ่ ประชาชนต้องสูดดมอากาศที่เป็นพิษ แต่ละฝ่ายจึงต้องเร่งหาวิธีเพื่อป้องกันการจู่โจมของประเทศฝ่ายตรงข้ามที่ไม่รู้ว่าจะปล่อยระเบิดเคมีเมื่อไหร่

  • World
    By: unlockmen January 16, 2019
    HARVEST MOON ของจริง เมื่อจีนโชว์เมล็ดฝ้ายงอกพิสูจน์ว่าพืชโตบนดวงจันทร์ได้และคนอาจอยู่สบาย

    ในอดีตความฝันเรื่องอวกาศเหมือนสิทธิ์ผูกขาดของตะวันตก สหรัฐฯ จะบินไป โซเวียตจะบินมาเหนือดาวสีน้ำเงินก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อสำหรับพวกเราเหล่าซีกโลกตะวันออก แต่มาวันนี้ประเทศแดนมังกรอย่างจีนได้พิสูจน์แล้วว่าความฝันของมนุษยชาตินอกโลกนี้ เขาสามารถก้าวเข้ามาได้ในฐานะผู้นำและไปเอี่ยวมันได้ทั้งหมด นับจากเสียงฮือฮาตั้งแต่ปีที่แล้วที่จีนอุกอาจส่งดาวเทียมไปทำหน้าที่พระจันทร์เทียมเพื่อสร้างแสงสว่างประหยัดพลังงานให้ประเทศ มาถึงวันนี้จีนยังเหนือขั้นกับการไปนอกโลกแบบไม่ไปเปล่า พกของติดไม้ติดมือไปทดลองเพิ่มด้วย โดยคราวน้ีเป็นการนำเรื่อง “ชีววิทยา” อย่างการปลูกพืชและปล่อยสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ไปทดลองหายใจในต่างดาว (ไม่ใช่แค่ต่างแดน) ซึ่งเขาคือเจ้าแรกที่ทำให้มันโตได้สำเร็จ ก่อนจะโชว์ความเหนือชั้นของมนุษยชาติครั้งนี้ผ่านทางทวิตเตอร์ Chang’e 4 : อดีตยานพระรอง ที่กำลังเป็นพระเอกเพราะเมล็ดฝ้ายโต ถ้าใครเคยติดตามเรื่องราวของยานอวกาศจีนที่ยิงขึ้นไปปล่อยบนดวงจันทร์ ชื่อของ Chang’e 4 อาจจะเป็นชื่อที่เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแล้ว เพราะยานลำนี้แหละที่เคยสำรวจดวงจันทร์ด้านมืดมาก่อน แต่ก่อนจะไปสำรวจด้านมืดมันโดนวางตำแหน่งไว้ในฐานะยานสำรองของ Chang’e 3 ที่จีนมอบภารกิจลงจอดนิ่ม ๆ แล้วนำรถโรเวอร์ลงวิ่งบนพื้นผิวดวงจันทร์ ทว่าพอ Chang’e 3 ทำได้ดีโดยไม่ต้องการตัวสำรอง Chang’e 4 ก็เลยได้รับการปรับแต่งและมอบภารกิจใหม่ให้อย่างการสำรวจดวงจันทร์ด้านมืดแทน ระหว่างที่คนกำลังตื่นเต้นกับภารกิจสำรวจด้านมืดของดวงจันทร์ที่ไม่มีใครเคยสำรวจมาก่อนในวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา อยู่ ๆ เราก็ได้รับข่าวดีว่าภารกิจซ้อนที่เราไม่เคยรู้อย่างการทดลองชีววิทยาซึ่งถูกเหน็บไปพร้อมกันด้วย เพราะ Chang’e 4 ติดตั้งถังทดลองขนาด 18 เซนติเมตรไป ด้านในประกอบด้วย เมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ เช่น

  • World
    By: unlockmen January 15, 2019
    ‘5 SPEECH ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก’เป็นข้อคิดและบทเรียนชั้นดีในการใช้ชีวิตของหนุ่ม ๆ PART II

    “Words are more powerful than weapons.” หนึ่งในวลียอดฮิตที่ทุกคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง ยิ่งถ้าเราลองเปิดบันทึกประวัติศาสตร์โลกดูจะพบว่าในเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ คำพูดหรือสปีชเพียงไม่กี่นาทีกลับพลิกประวัติศาสตร์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ นอกจากจะส่งผลต่อเรื่องราวในอดีตแล้ว ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนสปีชที่ยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่ตกยุค ยังร่วมสมัยและสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราได้เสมอ ครั้งที่แล้วเราได้นำเสนอสปีชที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกให้ทุกคนได้เรียนรู้ถึงแนวคิดและสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ไปแล้วทั้งหมด 5 สปีช แต่สปีชที่ดีนั้นยังมีอีกมากมาย และเราเล็งเห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกคน เราจึงคัดมาอีก 5 สปีช ให้ทุกคนได้เรียนรู้จากร่องรอยประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก สามารถย้อนตามไปอ่านได้ที่ ‘5 SPEECH ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก’เป็นข้อคิดและบทเรียนชั้นดีในการใช้ชีวิตของหนุ่ม ๆ I Have a Dream – Martin Luther King Jr. August 28, 1963, Washington, D.C.  Martin Luther King Jr. คือหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดต่อการเรียกร้องสิทธิให้กับพลเมืองผิวสีในสหรัฐอเมริกา แม้ในช่วงนั้น (ยุค 50-60) จะผ่านพ้นช่วงเลิกทาสมาแล้วนับ 100 ปี สิทธิพลเมืองผิวขาวและผิวสีเท่าเทียมกันในแง่ลายลักษณ์อักษรตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัตินั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง คนผิวดำยังโดนกีดกันในการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ รวมถึงมีการแบ่งแยกสถานที่สำหรับคนผิวดำอย่างชัดเจน

  • World
    By: unlockmen January 15, 2019
    MAGIC MUSHROOM พืชสายเคลิ้มอีกชนิด ที่อาจถูกปรับโทษให้ลดลงในสหรัฐอเมริกา

    หลังจากที่เคยเป็นเมืองนำร่องในการผลักดันให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ จนเป็นต้นเหตุสำคัญนำมาสู่การกรุยทางใช้เพื่อสันทนาการเป็นวงกว้างในประเทศ ล่าสุดเมืองเดนเวอร์ (Denver) กำลังเดินหน้าสนับสนุนให้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับ Magic Mushroom ซึ่งเป็นพืชสายหลอนอีกชนิดที่อยู่ในบัญชียาเสพติดกลางของประเทศ  เพื่อลดหย่อนโทษให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น Psilocybin Mushroom AKA Magic Mushroom หรือในบ้านเราเรียกกันว่าเห็ดขี้ควาย คือเห็ดชนิดหนึ่งในวงศ์ Strophariaceae (เห็ดรา) ที่มีสาร Psilocybin ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้เกิดอาการมึนเมาและเกิดภาพหลอนต่าง ๆ รวมถึงอาจส่งผลให้มีความคิดหรืออารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ลักษณะคล้ายกับการเสพ LSD ซึ่งถูกใช้กันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลกมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ถือเป็นของผิดกฎหมายในเกือบทุกประเทศ แต่สำหรับในสหรัฐอเมริกามันถูกควบคุมภายใต้อนุสัญญาของสหประชาชาติ ว่าด้วยเรื่องวัตถุและสารที่ออกฤทธิ์ต่อประสาทปี 1971 โดยถูกกำหนดให้เป็นยาเสพติดที่อยู่ในระดับเดียวกันกับแอลเอสดีและเฮโรอีนเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนลักลอบใช้มันรวมถึงซื้อขายอยู่ดี โดยให้เหตุผลว่า Magic Mushroom สามารถใช้เพื่อหลบหนีจากความเครียดไม่ต่างกับกัญชา รวมถึงไม่เคยมีเคสของการ Overdose เกิดขึ้นอีกด้วย ยกเว้นการใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์ในบางกรณี ความเปลี่ยนแปลงล่าสุดในสหรัฐอเมริกาที่ตอนนี้เหล่านักเคลื่อนไหวและประชาชนในเมืองเดนเวอร์จัดแคมเปญที่เรียกว่า Decriminalize Denver ซึ่งสนับสนุนการยกเลิกบทลงโทษเกี่ยวกับ Magic Mushroom ด้วยการล่ารายชื่อกว่า 9,500 รายชื่อ เพื่อส่งคำร้องให้กับคณะกรรมการประชามติของเมือง ซึ่งจากการตรวจสอบจากสภาเมืองมีรายชื่อที่ถูกต้องตามลายเซ็น 4,726 รายชื่อเท่านั้น แต่ก็เพียงพอสำหรับการลงมติซึ่งจะมีการลงประชามติในช่วงเดือนพฤษภาคมของปีนี้ และถ้ามีมติโหวตผ่าน เมืองหลวงของรัฐโคโลราโดแห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่แรกที่มีการปรับลดโทษที่เกี่ยวกับ Magic Mushroom

  • World
    By: unlockmen January 11, 2019
    ส่อง STARSHIP สุดยอดจรวดของ ELON MUSK ที่จะพาเหล่ามหาเศรษฐีเที่ยวชมวิวรอบดวงจันทร์

    ฝันของมนุษย์ที่จะท่องไปในอวกาศอันเวิ้งว้างเริ่มดูเป็นรูปเป็นร่างและใกล้ความเป็นจริงเข้าไปอีกขั้น เมื่อไอรอนแมนในโลกแห่งความจริงอย่าง Elon Musk อวดโฉมจรวดทดสอบ Starship ที่มีไว้รองรับการเดินทางทัวร์รอบดวงจันทร์สำหรับเหล่ามหาเศรษฐีที่อยากท่องอวกาศ ก่อนหน้านี้บริษัทขนส่งทางอวกาศชื่อดังอย่าง SpaceX ของนักธุรกิจหนุ่มอัจฉริยะอย่าง Elon Musk เปิดตัวโครงการพามนุษย์เดินทางไปดาวอังคารด้วยระบบขนส่งระหว่างดาวแต่ละดวงในชื่อ ITS หรือ Interplanetary Transportation System โดยใช้กระสวยอวกาศชื่อ BFR หรือ Big Falcon Rocket BFR คือยานพาหนะที่จะพาเราท่องอวกาศที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Raptor Engine ที่ใช้พลังงานเป็นมีเทนเหลวมากถึง 42 ตัว เพื่อให้เกิดแรงยกกว่า 126 ล้านนิวตัน เทียบเท่าจรวดรุ่นก่อนหน้าอย่าง Flacon 9 ทั้งหมด 16 ตัว และ BFR สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้กว่า 200 คน เพื่อเดินทางไปยังดาวอังคารและดาวอื่น ๆ ในระบบสุริยะจักรวาล BFR สามารถบินขึ้นจากบริเวณใดก็ได้ในโลกและลงจอดได้ดั่งใจ SpaceX ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง แม้ขนาดจะใหญ่เทอะทะจนคนเอาไปล้อจาก Big Falcon Rocket เพี้ยนไปเป็น

  • World
    By: unlockmen January 11, 2019
    “พ่อค้ายาฯ ก็อยากรักษ์โลก”ผุดไอเดียเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์โคเคนเพื่อลดปริมาณพลาสติก

    ขึ้นชื่อว่า “พ่อค้ายาเสพติด”ซึ่งภาพลักษณ์เต็มไปด้วยความเลวร้ายก็ดูไม่มีทางจะไปกันได้กับ “ความดี”หรือ”ความรับผิดชอบต่อสังคม”เลย แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดกลุ่มหนึ่งดันกลับตาลปัตรใส่ใจปัญหามลภาวะและพยายามคิดหาวิธีขายโคเคนพร้อมกับรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กันโดยเลือกใช้บรรจุภัณฑ์แบบ Class A ที่สามารถนำกลับมาใช้ในการซื้อยาเสพติดครั้งต่อไปได้อีก เมื่อลูกค้าสั่งยาเสพติดปริมาณน้อย พ่อค้ายามักใส่ยาเสพติดในถุงพลาสติกเล็ก ๆ ที่มีซิปล็อก จากนั้นต้องห่อสองชั้นด้วยกระดาษล็อตตารี่และใช้น้ำมันหรือฟิล์มเพื่อยึดห่อยากับกระดาษไว้ด้วยกัน ก่อนจะนำมาส่งให้ลูกค้า การทำบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งยาเสพติดให้ถึงมือลูกค้าแต่ละครั้งนั้นจึงยุ่งยากและสร้างขยะเป็นจำนวนมาก รายงานฉบับหนึ่งในนิตยสาร The Metro ซึ่งลงพื้นที่สำรวจตลาดยาเสพติดท้องถิ่นพบว่ามีตัวแทนจำหน่ายมากกว่าหนึ่งเจ้าเริ่มขายโคเคนในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เพราะการใช้ถุงซิปล็อกแบบเดิมนั้นใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว ผู้ใช้โคเคนรายหนึ่งในเมืองเบอร์มิงแฮมบอกกับสื่อออนไลน์ว่า ตอนแรกคิดว่าพ่อค้ายาของเขาล้อเล่นตอนที่ยื่นโคเคนหนึ่งกรัมในขวดขนาดจิ๋วมาให้ โดยพ่อค้ายาบอกเขาว่าต่อไปนี้จะไม่ใส่โคเคนในถุงซิบล็อกหรือห่อกระดาษอีกต่อไป แต่ให้เก็บขวดนี้ไว้ เมื่อมาซื้อครั้งต่อไปก็ให้เอาขวดมาแลกกับยา ถึงพ่อค้ายาจะบอกแบบนั้น แต่ผู้ซื้อรายนี้ก็ยังคิดว่าเป็นแค่การล้อเล่น ท้ายที่สุดท่าทีของพ่อค้ายากลับจริงจังจนน่าตกใจ อาจเป็นเพราะการส่งยาแต่ละครั้งพวกพ่อค้าใช้ถุงพลาสติกและกระดาษเป็นจำนวนมาก พลาสติกและกระดาษเหล่านี้จึงมีส่วนสร้างมลภาวะ รวมถึงการใส่ยาในขวดช่วยให้จำหน่ายได้รวดเร็วขึ้นเพราะไม่ต้องมานั่งห่อซ้ำแล้วซ้ำอีก พ่อค้ายายังทิ้งท้ายไว้ว่าเขามั่นใจว่าจะต้องมีลูกค้าหัวใหม่ที่ชอบทั้งโคเคนและชอบแนวคิดรักษ์โลกแบบนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามการรักษาสิ่งแวดล้อมของพ่อค้ายาจำนวนหนึ่งคงไม่สามารถชดเชยความเสียหายจากการสร้างมลภาวะได้ทั้งหมด จากการวิจัยเรื่องสิ่งแวดล้อมในปี 2011 โดย State University of New York System พบว่าการผลิตยาเสพติดไม่ว่าจะชนิดไหนก็มีส่วนในการตัดไม้ทำลายป่าโดยเฉพาะกับประเทศโคลอมเบียที่เป็นแหล่งวัตถุดิบเจ้าใหญ่ของโลก นอกจากนี้ Liliana M. Dávalos  นักนิเวศวิทยาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมกล่าวว่าทางตอนใต้ของโคลอมเบียสูญเสียป่าจำนวนมากใกล้กับแหล่งเพาะปลูกต้นโคคาซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตโคเคน ยิ่งมีโคเคนอยู่มากเท่าไหร่ จำนวนป่าก็จะลดลงเท่านั้น แม้การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของยาเสพติดแบบผงจะช่วยลดมลภาวะได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าการไม่เริ่มทำอะไรเลยจริงไหมล่ะครับ ที่น่าสนใจคือเรื่องการซ้อนทับระหว่างความเป็นพ่อค้ายาที่ดูจะเป็นผู้ร้ายของสังคมสุด ๆ

  • World
    By: unlockmen January 10, 2019
    ยิ่งแก่ยิ่งพลาดง่าย “ผลวิจัยชี้ว่าผู้สูงอายุคือกลุ่มที่แชร์ข้อมูลผิด ๆ มากที่สุดในโลกโซเชียล”

    พ่อแม่ลุงป้าที่เคยบ่นเคยห้ามไม่ให้เราติดมือถือมากไป วินาทีหันไปจะคุยกับพวกท่าทีไรกลายเป็นว่า “โถ ติดมือถือหนักกว่าเราไปอีก!” เรียกได้ว่าตอนนี้ผู้สูงอายุใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Line หรือ Facebook ก็ตามแต่ ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือการทำให้ช่องว่างระหว่างวัยของสมาชิกในครอบครัวลดน้อยลง ผู้สูงอายุเหงาน้อยลงและได้ติดต่อกับเพื่อนมากขึ้น แต่ข้อเสียนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเหล่าผู้สูงอายุมักจะชอบแชร์ข่าวสารข้อมูลผิด ๆ ที่ส่งต่อกันโดยไม่รู้ว่าข่าวที่ตัวเองอ่านนั้นเป็นความจริงหรือไม่ การติดมือถือมากไปยังพอเยียวยาได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่หนักขึ้นมาอย่าง การแชร์ข้อมูลเรื่องสุขภาพแบบผิด ๆ ที่จะส่งผลต่อชีวิต หรือข่าวของเหล่าคนดังที่จะส่งผลให้เกิดการปลุกระดมเรื่องของความเกลียดชังอย่างไม่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงไม่น้อย ปัญหานี้ไม่ได้มีให้เห็นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ในสหรัฐฯ เองก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุมักมีแนวโน้มที่ชอบแบ่งปันข่าวปลอมต่าง ๆ ใน Facebook และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ กันเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยจาก New York Universitiy และ Princeton Universitiy ได้ร่วมกันค้นหาคำตอบจากการทำวิจัยและสำรวจว่ากลุ่มคนในช่วงอายุใดมักจะแชร์ข่าวปลอมมากกกว่ากัน งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ลงใน Science Advance แสดงให้เห็นถึงการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยรวบรวมผู้คนกว่า 3,500 คนที่ใช้งาน Facebook ไม่แบ่งเพศและอายุและขอให้เปิด Public เพื่อให้เหล่านักวิจัยสามารถเข้าถึงฟีดทั้งหมดได้ว่ากลุ่มตัวอย่างนั้นได้แชร์เรื่องราวอะไรกับเพื่อนใน Facebook บ้าง เป็นเรื่องน่าตกใจเมื่อผลสำรวจพบว่าผู้ใช้งาน Facebook ที่มีอายุ

« Previous 1 … 41 42 43 44 45 … 102 Next »

HOT THIS WEEK

#7daysinarow

< Prev Next >

most popular video of the week

#7daysinarow

THE REAL EP 1 : Tamaryn Cooper
Unlockmen Channel
19,592

EVERYTHING GUYS NEED
TO UNLOCK YOUR TRUE
POTENTIAL EVERYDAY

Unlockmen

Subscribe now

Unlockmen
  • About Us
  • Our team
  • Jobs
  • Contact Us
  • Terms of Use
  • Privacy Policy
© 2016 whiteline thaithayan. All rights reserved.
Use of this site constitutes acceptance of our User Agreement (effective 1/4/2016) and Privacy Policy (effective 1/4/2016).The material on this site may not be reproduced,
distributed, transmitted, cached or otherwise used, except with prior written permission of thaitayan ltd.