ถ้าพูดถึงมิวสิควิดีโอเพลงของเพลง Hip-Hop หนุ่ม ๆ หลายคนอาจคุ้นชินกับภาพของการอวดรวยแบบ New School ซึ่งกำลังได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่รายล้อมด้วยสาว ๆ รถหรูที่คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้สัมผัส รวมไปถึงธนบัตรกองโตที่ถูกโยนไปมาราวกับเป็นของหาง่าย ซึ่งคงไม่ได้อะไรนอกจากความเพลิดเพลิน แต่ขณะเดียวกันกลับมี MV เจ๋ง ๆ ของแร็ปเปอร์ชาวอังกฤษที่ช่วยให้หนึ่งครอบครัว สามารถกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาได้ด้วยเช่นกัน มิวสิกวีดีโอเพลง Run ของศิลปิน Bugzy Malone กลายมาเป็นความภาคภูมิในของแร็ปเปอร์หนุ่มโดยที่เขาไม่รู้ตัว หลังจากเพลงของเขาถูกอัปโหลดขึ้น Youtube ในวันที่ 6 สิงหาคม 2018 ในตอนนั้นแร็ปเปอร์วัย 27 ปี หวังแค่ว่าบทเพลงของเขาซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการเติบโตอันยากลำบากของเด็กหนุ่ม จะสามารถเป็นพลังให้กับคนฟังได้ไม่มากก็น้อย แต่ผลของมันกลับเป็นได้มากกว่าที่คาดหวังเอาไว้ เพราะในเวลาต่อมาค่ายเพลงได้รับการติดต่อจากผู้หญิงคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นแม่ของชายไร้บ้านที่อยู่ในมิวสิกวิดีโอดังกล่าว สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ MV ของ Bugzy Malone ถูกถ่ายทำขึ้นจริงโดยอาศัยการเก็บฟุตเทจรอบเมืองแมนเชสเตอร์ในประเทศอังกฤษ ส่วนตัวนักแสดงก็ไม่ใช่ใครนอกจากเด็กและคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ซึ่งพวกเขาว่าจ้างให้บุคคลเหล่านี้มาเข้ากล้องแทนนักแสดง ก่อนจะมอบสิ่งของหรือเงินเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบแทน นอกจากนี้พวกเขายังมีโอกาสได้พูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตอันยากลำบากจากคนเหล่านั้นอีกด้วย โดย Bugzy Malone บอกว่าจะใช้มันเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงในอนาคตของตัวเขาเองด้วย View this post on Instagram Today
แม้เราจะรัก Adam Levine มากแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีศิลปินอยากมาแจมกับวงดนตรีชื่อดังจากอย่าง Maroon 5 ที่มีคิวขึ้นแสดงสดในช่วงพักครึ่งของ Super Bowl ครั้งที่ 53 ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีหน้า แต่ต้นเหตุไม่ได้มาจากเหตุผลว่าศิลปินทั้งหลายไม่ชอบพวกเขา แต่เป็นเพราะความตึงเครียดในสถานการณ์ของ NFL กรณีของ Colin Kapernick ต่างหากที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้น ดูเหมือนงานถ่ายทอดสดซึ่งมีผู้ชมมากที่สุดในโลกจะไม่ได้เป็นที่ต้องการของเหล่านักร้องดังทั้งหลายในเมืองลุงแซมเสียแล้ว หลังจาก US Weekly ได้เปิดเผยว่าวงดนตรีซึ่งเป็น Line-Up หลักของงานอย่าง Maroon 5 กำลังประสบปัญหาในการหานักร้องมาร่วมแสดงในช่วงพักครึ่งของการแข่งขันชิงถ้วย Vince Lombardi หรือที่รู้จักกันในชื่อ Super Bowl โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ของปีหน้าซึ่งกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ว่ากันว่าเหตุผลที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นเพราะ “ไม่มีใครอยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับ NFL” เพราะจุดยืนทางการเมืองของพวกเขาในกรณีผู้เล่นของทีม San Francisco 49ers ที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ Colin Karpernick ที่เลือกจะคุกเข่าในการเคารพเพลงชาติสหรัฐอเมริกาเพื่อประท้วงการใช้ความรุนแรงต่อคนผิวสี โดยเขาแสดงเหตุผลของตัวเองว่า “ผมจะไม่ยืนขึ้นเพื่อแสดงความภูมิใจต่อธงชาติและเพลงชาติของประเทศที่กดขี่คนผิวดำหรือเชื้อชาติอื่น ๆ” ซึ่งภายหลังก็มีกระแสทั้งด้านลบและด้านบวก รวมไปถึงการเข้ามาเกี่ยวข้องของประธานาธิบดี Trump ก็มีส่วนทำให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้น จนสุดท้ายเขาก็ถูกเลิกจ้างจากทีมและสปอนเซอร์ต่าง ๆ เหลือเพียงแค่ Nike
หลังจากเริ่มธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาเป็นของตัวเองมาได้สักระยะ ดูเหมือนว่าอดีตแชมป์โลกในรุ่น Heavyweight อย่าง Mike Tyson จะโฆษณาธุรกิจเก่งขึ้นเป็นกอง หลังจากเขาออกมายอมรับว่าเคยสูบกัญชาก่อนขึ้นฟาดกับคู่ต่อสู้ แถมผลการแข่งขันในแมทช์ดังกล่าวก็เป็นเหมือนการเชือดหมูสำหรับเขาอีกด้วย นักชกเจ้าของฉายา “มฤตยูดำ” ถูกรู้จักดีในฐานะหนึ่งในนักมวยที่ดีและโหดที่สุดของรุ่น Heavyweight วงการมวยโลก โดยเขาเป็นที่รู้จักครั้งแรกหลังเอาชนะ Trevor Berbick แบบ TKO ในยกที่สองของการแข่งขัน ซึ่งนั่นทำให้ตัวเขากลายเป็นชายอายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์โลกของ World Boxing Council (WBC) ด้วยวัยเพียง 20 ปีกับอีก 4 เดือน โดยตลอดระยะเวลา 20 ปีที่เขาโลดแล่นอยู่บนสังเวียนก็มีครบทุกรสชาติทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดของชีวิต แม้จะเคยกัดหูคู่ต่อสู้ขาดเหมือนหมาบ้า แต่ผู้คนยังคงจดจำภาพความเป็นสุดยอดนักชกผู้รีไทร์ไปพร้อมสถิติการชก 58 ครั้ง ชนะ 50 โดยเป็นการชนะน็อกถึง 44 ครั้ง แพ้ 6 และ No Contest 2 ครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประสบการณ์การชกแบบ Get High นั่นเอง ไมค์เปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวผ่านการสัมภาษณ์ของรายการ The Dan Patrick
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับกัญชามาตลอดปีที่ผ่านมา คงจะสังเกตเห็นว่าหลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมุมมองและแนวคิดต่อกัญชาในทางบวกมากขึ้น ทั้งในด้านการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการใช้เพื่อสันทนาการ ทำให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กัญชากลายเป็นพืชที่มีอิทธิพลในตัวเองทั้งด้านประโยชน์ทางการแพทย์รวมถึงเม็ดเงินมหาศาล ซึ่งแรงสั่นสะเทือนในครั้งนี้ก็ส่งผลกระทบมาถึงในบ้านเราด้วยเช่นกัน ปลุกกระแสเสรี มีข้อมูลโดย dr. John Collins จาก London Scholl of Economics พูดถึงภาพการเปลี่ยนแปลงโดยรวมต่อกัญชาทั่วโลกผ่าน BBC อย่างน่าสนใจว่า จุดเริ่มต้นของทัศนคติที่ดีขึ้นต่อสมุนไพรชนิดนี้ มีจุดเริ่มจากช่วงปี 2012 หลังจากอุรุกวัยกลายเป็นประเทศแรกในโลก ที่ออกมาจัดการให้กัญชากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในการใช้งานทุกรูปแบบ โดยเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการกวาดล้างและแทนที่ผู้ค้ากัญชาผิดกฎหมาย เพื่อถ่ายโอนเม็ดเงินทั้งหมดให้รัฐและเอกชนบางส่วนดูแลแทน เพราะไหน ๆ คนก็เสพกันอยู่แล้ว สู้เอาขึ้นมาบนดินให้รายได้เข้ารัฐน่าจะดีกว่า ต่อมาในปีเดียวกันรัฐวอชิงตัน ดีซี และโคโลราโดก็มีมติโหวตผ่านให้สามารถใช้กัญชาในทางสันทนาการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยการกระทำในครั้งนั้นสามารถก็สร้างความหวังให้กับหนุ่ม ๆ สายเขียวทั่วโลกที่หลงใหลอาการ High ให้มีความหวังว่าสักวันหนึ่งประเทศของพวกเขาจะเปิดเสรีกัญชาเหมือนที่รัฐทั้งสองทำได้ ซึ่งแน่นอนว่าในทางปฏิบัติต้องใช้เวลารวมถึงผ่านการวิจัยรวบรวมข้อมูล และออกแบบขั้นตอนทางกฎหมายต่าง ๆ เพราะมันยังคงเป็นเรื่องเปราะบางในหลายประเทศ แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นชื่อว่าเสรีสุด ๆ แต่รัฐบาลของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก็ยังถูกวิจารณ์ว่ายอมอ่อนข้อให้กับสงครามยาเสพติดที่ทำต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี แม้แต่ในสมัยของประธานาธิบดี Donald Trump ประชาชนในรัฐอย่าง แคลิฟอร์เนีย, แอริโซนา,
กลายเป็น Talk of the town ภายในชั่วข้ามคืน สำหรับการประกาศร่วมงานข้ามสายระหว่าง Samsung และแบรนด์สเก็ตบอร์ดสุดไฮป์อย่าง Supreme ซึ่งอาจสร้างความตื่นเต้นให้กับหนุ่ม ๆ ในบ้านเราให้ได้ลุ้นกันได้ไม่ทันข้ามวัน แต่ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นจะถูกดับฝันไปเสียแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วแบรนด์ Supreme ที่พูดถึงกันดันเป็นแบรนด์จดลิขสิทธ์ลอกเลียนแบบจากช่องโหว่ของกฎหมายมาซะงั้น ไม่รู้ว่าเป็นความผิดพลาดหรือความตั้งใจของโคตรแบรนด์จากเกาหลีใต้ ในระหว่างงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Samsung Galaxy A8S รุ่นล่าสุดออกมาตีตลาดในประเทศจีน ก่อนจะสร้างเสียงฮือฮาด้วยการประกาศแผนการในอนาคตว่าจะ Collaboration ร่วมกับสุดยอดแบรนด์เสื้อผ้าสตรีตอย่าง Supreme รวมไปถึงเชิญชาย 2 คนที่อ้างว่าตัวเองว่าเป็น CEO ของแบรนด์ ขึ้นมาพูดคุยถึงแนวทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต่อหน้าคนดูจำนวนมากอีกด้วย แต่หลังข่าวได้แพร่สะพัดออกไปด้าน CEO ตัวจริงของ Supreme อย่าง James Jebbia ก็ไม่รอช้าออกมาปกป้องชื่อเสียงและผลประโยชน์ของสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมากับมือ ด้วยการส่งข้อความผ่านทาง Instagram ของ Supreme NY และบอกไว้อย่างชัดเจนว่า “ทาง Supreme ไม่มีแผนที่จะร่วมงานกับ Samsung รวมไปถึงการเปิด Flagship Store ขึ้นในกรุงปักกิ่งและงานแฟชั่นโชว์ใน
ถึง Magazine จะเริ่มตายไปจากตลาด แต่พลังของ Magazine สายข่าวอย่าง TIME ก็ยังได้รับความเชื่อถือเสมอ ส่วนหนึ่งมาจากวัตถุประสงค์ชัดเจนของการเป็น Magazine สายข่าวที่เน้นการนำเสนอประเด็นในโลกที่น่าจับตามอง รวมถึงการเฟ้นหาบุคคลสำคัญในทุกวงการทั่วโลกมานำเสนอและขึ้นปก เพียงการขยับของบุคคลเหล่านั้นก็ส่งผลกระทบมาหลายริกเตอร์ต่อสังคม สำหรับคนไทยในปก TIME เอเชียเอง เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นและคุ้นหน้าคุ้นตากันเพราะล้วนเป็นคนขับเคลื่อนประเทศของเราในระดับโลกทั้งนั้น กลางปีนี้นายกฯ คนปัจจุบันของเรา – พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาก็เพิ่งได้ขึ้นกับเขาไปหมาด ๆ นอกจากการเลือกบุคคลสำคัญตามมภูมิภาคสาขาเพื่อขึ้นปก TIME แล้ว หนึ่งในธรรมเนียมปฏิบัติที่ TIME ทำเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2470 คือการเลือก TIME’s person หรือการเลือกบุคคลแห่งปี ความน่าสนใจคือคนที่ TIME เลือกคือดาวเด่นของปีนี้ และคำว่า “ดาวเด่น” ก็หมายถึง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โลกถล่มแผ่นดินทลาย “เขา” หรือ “เธอ” ผู้นั้นมีอิทธิพลสูงสุดในเหตุการณ์ปีนั้นเสมอ และนี่คือ Shortlist ทำเนียบสำหรับคนสุดเจ๋งที่ตัวเลือกขึ้นเป็น TIME’s person 2018 ในปีนี้ คนกลุ่มนี้บอกเลยว่าต่อให้ไม่โดนเลือกแต่ได้ลองไปรู้จักประวัติเขาไว้ก็ไม่ผิดหวัง
เมื่อจะต้องเดินทางไกลทั้งที เรื่องหนึ่งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาก็คงไม่พ้นเรื่องของการเลือกที่นั่งบนเครื่องบิน ที่คิดยังไงก็คิดไม่ตก ทั้งเรื่องของความสะดวกสบาย รวมไปถึงระบบความปลอดภัยเพื่อความสบายใจของชีวิต UNLOCKMEN จึงได้รวบรวมงานวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการเลือกที่นั่งบนเครื่องเพื่อให้เหล่านักเดินทางได้ศึกษาเผื่อจะจองที่นั่งบนเครื่องบินครั้งต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ามันเป็นเพียงสถิติที่มีการศึกษาจากทีมวิจัยต่างประเทศ ไม่ได้แปลว่าที่นั่งอื่นนั่งไม่ได้แต่อย่างใด เพราะปัจจุบันเครื่องบินทุกลำของทุกสายการบินมีการตรวจสอบอย่างละเอียดยิบทุกขั้นตอน จึงมีความปลอดภัยที่สูงมาก ๆ เรียกว่าแทบจะมีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันเป็น 0% เลยทีเดียว (สถิติเครื่องบินพาณิชย์ในปี 2018) ว่ากันว่าการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดคือการเดินทางโดยเครื่องบิน แม้จะมีความเสี่ยงต่อชีวิตถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อย เรียกว่าใกล้กับคำว่า 0% ปลอดภัยยิ่งกว่ารถยนต์หรือรถไฟฟ้าเสียอีก แต่อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยก็ไม่หยุดตั้งตำถามว่า จากตำแหน่งที่นั่งหลายร้อยที่บนเครื่องบินโดยสาร ตำแหน่งไหนมีความปลอดภัยมากที่สุดในเชิงสถิติ เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่เมื่อเครื่องบินตกแล้วผู้โดยสารจะเสียชีวิตยกลำเสมอไป ยกตัวอย่างกรณีเครื่องบินของสายการบิน US-Bangla ตกและมีผู้เสียชีวิต 49 คน จากทั้งหมด 67 คน หรือในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก็พึ่งมีข่าวว่าเครื่องบินของสายการบิน Aeromexico เที่ยวบิน AM2431 เกิดอุบัติเหตุจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่และมีผู้โดยสารบาดเจ็บบ้างแต่รอดชีวิตทั้งลำ แล้วคนที่รอดชีวิตส่วนมากนั่งกันตรงไหน? จากสถิติการสำรวจของ The Popular Mechanics ระบุว่าเหตุการณ์อุบัติเหตุของเครื่องบินในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 20 ครั้ง ที่ได้ข้อมูลจากสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งสหรัฐ ฯ หรือ National Transportation
คงไม่มีใครอยากทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ ยกเว้นแต่จะเป็นเจ้าของธุรกิจเพราะอันนั้นไม่ต้องร้องหาวันหยุดให้เสียเวลา เราก็อยากอยู่กับดอกผลที่หว่านลงไป แต่ว่าล่าสุดผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์จาก Melbourne Institute Worker Paper เขาบอกว่าถ้าคุณอายุ 40 หรือเกิน 40 ไปแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ทำงาน 5 วันเหมือนสมัยวัยรุ่น งานวิจัยระบุว่าอย่าพยายามทำงานเกิน 3 วันต่ออาทิตย์เลยจะดีกว่า “3 วันกำลังดี” ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ไม่ได้สนับสนุนการอู้งาน แต่เพื่อบอกหนุ่มใหญ่ว่าอย่างเราจะทำงานได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าทำตามเวลานี้ เพราะนักวิจัยศึกษาด้วยการติดตามอาสาสมัครหญิงและชายในวัยนี้จำนวนถึง 6,500 คน แบ่งเป็นชาย 3,000 คน หญิง 3,500 คน โดยระหว่างการทดสอบจะมีการสอบถามและทดสอบความรู้ความเข้าใจ และนำมาคิดวิเคราะห์อุปนิสัยการทำงาน ความจำ การใช้หลักเหตุผล รวมถึงการให้เหตุผลในรูปแบบนามธรรมไปพร้อมกัน ในการทดสอบมีการทดสอบนอกจาก IQ แล้วยังรวมถึงการประมวลผลจากการให้อาสาสมัครอ่านเนื้อหาย้อนจากหลังมาหน้า อ่านออกเสียงให้ชัดเจน และจับคู่ตัวเลขกับข้อความภายใต้ความกดดันด้วย จากนั้นนักวิจัยจะเพิ่มชั่วโมงการทำงานเป็นชั่วโมงที่ 25 เข้าไป แต่พอทดสอบแล้วพบว่าหลังจากชั่วโมงที่ 25 ทักษะและความสามารถของการทำงานจะเริ่มถดถอยไม่ว่าผู้ทดสอบจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ซึ่งการที่บอกว่าแค่ 3 วันก็เหลือแหล่มันก็มาจากตัวเลขการทำงานแบบ 9
กัญชา พืชสารพัดประโยชน์ที่เป็นได้มากกว่าสารมึนเมา ทั้งคุณสมบัติอันน่าพิศวงในด้านการแพทย์ รวมถึงเส้นใยพิเศษที่ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอีกสารพัดส่วนผสมในหลากหลายรูปแบบ ล่าสุดพืชใบเขียวอย่างกัญชายังถูกนำมาเป็นส่วนผสมในไวน์ได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าไวน์แดงและไวน์ขาวที่มีส่วนผสมจาง ๆ ของกัญชานั้นจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่วันนี้ UNLOCKMEN จะขอนำเสนอ ไวน์สีเขียว เครื่องเดิมที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบหลัก เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้หลงใหลในควันแต่พร้อมดื่มด่ำไปกับมิติใหม่ของการจิบไวน์ให้ High สบายใจสบายตัว Canna Wine หรือ Weed Wine มีความหมายเหมือนกันคือไวน์ที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบหลัก เกิดจากกรรมวิธีการผลิตที่พิถีพิถัน โดยเริ่มจากการนำองุ่นขาวที่ปลูกแบบไบโอไดนามิคไร้สารเคมี มาบ่มพร้อมกับกัญชาออแกนิคตากแห้งในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ โดยใช้กัญชาในปริมาณครึ่งกิโลกรัมต่อไวน์ขาวหนึ่งถังไม้โอ๊คและบ่มไว้เป็นเวลาหนึ่งปี จนได้ออกมาเป็นไวน์สีเขียวที่มีความแตกต่างจากไวน์แดงและไวน์ขาวทั่วไป เพราะไวน์กัญชานั้นจะมีสารที่ชื่อว่า เตตร้าไฮโดรแคนนาบินอล หรือ ทีเอชซี (Tetrahydrocannabinol – THC) ซึ่งเป็นสารมีฤทธิ์กล่อมประสาทแบบอ่อน ๆ ในปริมาณที่พอดิบพอดี ไวน์กัญชาเจ้าแรกอย่าง Mary Jane จึงได้ถือกำเนิดขึ้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไวน์ที่เมื่อดื่มก็จะให้ความรู้สึกผ่อนคลายและทำให้มึนเมาอยู่แล้ว แต่ใน Canna Wine นั้นให้ได้มากยิ่งกว่า ด้วยฤทธิ์สาร THC ในไวน์กัญชาจะช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้มสุขใจ นอนหลับง่าย และกระตุ้นให้เจริญอาหารมากขึ้น แถมยังปราศจากอาการหลอนเหมือนการใช้กัญชาโดยการสูบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดื่มในปริมาณที่พอดีเป็นสำคัญ แล้ว Canna Wine มีขายที่ไหนบ้าง ?
“Words are more powerful than weapons.” หนึ่งในวลียอดฮิตที่ทุกคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง ยิ่งถ้าเราลองเปิดบันทึกประวัติศาสตร์โลกดูจะพบว่าในเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ คำพูดหรือ Speech เพียงไม่กี่นาทีกลับพลิกประวัติศาสตร์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ นอกจากจะส่งผลต่อเรื่องราวในอดีตแล้ว Speech ที่ยิ่งใหญ่นั้น ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่ตกยุค ยังร่วมสมัยและสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราได้เสมอ วันนี้เราจึงยก 5 Speech สำคัญในบันทึกประวัติศาสตร์จากปากบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่ากาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้ และเราเชื่อว่านี่จะเป็นบทเรียนชีวิตชั้นดีให้กับหนุ่ม ๆ ได้แน่นอน Duties of American Citizenship – Theodore Roosevelt Buffalo, New York, January 26, 1883 Speech ที่ดีที่สุดของประธานาธิบดีคนที่ 26 แห่งสหรัฐอเมริกาในการกล่าวกล่าวปาฐกถาที่เมือง Buffalo มลรัฐ New York ครั้งนี้ Theodore Roosevelt พูดถึง ‘หน้าที่ของพลเมืองอเมริกัน’ เขาเจาะลึกเหตุผลทางทฤษฎีว่าทำไมทุกคนจึงควรมีส่วนร่วมทางการเมือง อีกทั้งยังกล่าวว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองของรัฐที่จะสร้างรัฐบาลที่ดีขึ้นมาและเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเอาใจใส่ ผ่านมากว่า 120 ปีแล้ว แต่ Speech