Entertainment

ULM Playlist: รวมฮิตเพลงเด็ดจากปี 2012 มาดูกันว่าเพลงไหนกระแทกหูสุดเมื่อ 10 ปีก่อน

By: Chaipohn February 18, 2022

ปี 2012 หรือ 10 ปีที่แล้ว วงการดนตรีเริ่มจะเข้าสู่ยุคไร้รูปร่างตายตัว ไม่มีแนวดนตรีไหนที่ยึดหัวหาดความนิยมได้อย่างเหนียวแน่นทนนานเหมือนทศวรรษก่อนๆ แต่สิ่งที่ทดแทนมาคือความหลากหลายที่ทำให้รับรู้ได้ว่า หากเพลงที่ทำดีและเจ๋ง ก็สามารถสร้างความนิยมให้คนฟังได้เสมอ โดยเฉพาะวัฒนธรรม K-Pop ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน สุดท้ายก็สัมฤทธิ์ผลเป็นกระแสสุดแรงแจ่มชัดในปีนี้

เรามาย้อนเวลากลับไปหาเพลงเหล่านี้กัน มาดูกันว่าเมื่อปี 2012 เพลงไหนที่ฮิตและโดนใจเป็นกระแสในวงกว้างกันบ้าง

 

Arctic Monkeys – R U Mine?

ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้ม AM ที่สุดจะ Garage Rock ของคณะลิงขั้วโลก ในยุคที่ทำเพลงได้มันส์สะเด่าเด็ดดวง โดย R U Mine? ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาที่วงได้เดินสายทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันกับ The Black Keys โดยฟรอนท์แมนอย่าง Alex Turner ได้บอกถึงที่มาของเพลงนี้ว่า

“มันเป็นช่วงเวลายาวนานที่เรากินนอนอยู่บนรถทัวร์ ระหว่างนั้นเราก็ทั้งรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเล่นเพลงอัลบั้มก่อนหน้า (Suck It and See ) เราอยากยกระดับการแสดงสดของเราให้คนที่มาดูไม่ยืนหาวหรือเดินออกไปซื้อฮอตด็อกหรือป็อปคอร์นแดกกันขณะที่พวกเรากำลังเล่นสดอยู่”

โดย Alex ได้แรงบันดาลใจจากการเขียนเพลงแนวพรรณาโวหารของแร็ปเปอร์ Lil Wayne และ Drake เขาจึงลองเขียนเพลงในแบบนี้บ้าง โดยเนื้อหากล่าวถึงรักเก่าที่เขายังไม่มูฟออน และโหยหาเธออยากจะร่วมรักกับเธอ พูดง่ายๆ หวังแค่ Sex แต่จะกลับมารักดังเดิมเหรอ…เมินเสียเถอะ

โดยแฟนเพลงหลายคนเชื่อมโยงว่าเพลงๆนี้อาจจะเป็นเพลงที่ Alex เขียนถึงแฟนเก่าอย่าง Alexa Chung ในเชิงประชดประชัน


The Lumineers – Ho Hey

ซิงเกิ้ลเปิดตัว และเป็นซิงเกิ้ลแจ้งเกิดของวงดนตรี American indie Folk จากเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด หลังจากน้องชายของ Jeremiah Fraites ซึ่งเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทมากๆของ Wesley Schultz ได้จากไปจากการเสพยาเกินขนาด

ทั้ง 2 เป็นสมาชิกหลักและผู้ก่อตั้งวง The Lumineers จึงร่วมกันแต่งเพลงขึ้นมา เพื่อรับมือกับความทุกข์ และการสูญเสียอย่างแสนสาหัสในครั้งนี้

ขณะเดียวกัน เนื้อเพลงที่ร้อง Ho และ Hey ในทุกๆท่อนนั้น ก็เป็นความตั้งใจของตัววงเองที่ต้องการจะเรียกร้องความสนใจจากคนที่กำลังยืนเล่นมือถือ หรือไม่สนใจการแสดงของพวกเขาให้หันกลับมามองนั่นเอง

เพลง Ho Hey นับเป็นเพลงเปิดตัวที่แสนเกรียวกราวของวง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลง One Hit Wonder ของวงเช่นกัน เพราะหลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ยังไม่มีเพลงไหนของ The Lumineers ที่สามารถโค่นล้มความฮิตของเพลงนี้ได้เลย


Blur – Under the Westway

อีกหนึ่งเพลงที่สานสัมพันธ์ระหว่าง Damon Albarn และ Graham Coxon ให้กลับคืนสู่บรรยากาศเก่าๆของ Blur อีกครั้ง โดยเพลงๆนี้ กล่าวถึงทางคู่ยกระดับ A40 ทางตะวันตกของลอนดอน ที่บรรจบเข้าด้วยกัน เสมือนความรักของหนุ่มสาวที่หากันจนเจอ ซึ่ง Damon เคยเขียนถึงที่แห่งนี้ในเพลง “For Tomorrow” มาแล้ว

แม้เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ไม่ถูกรวมไว้ในอัลบั้มชุดไหน และเป็นเพลงที่อยู่ในความนิยมน้อยกว่าเพลงอื่นๆที่ผ่านมา แต่ความพิเศษของเพลงนี้ก็คือ เป็นเพลงแรกและเพลงเดียวของวง Blur ที่อัดสดกันแบบ “เทคเดียวผ่าน” จากที่เห็นได้ใน MV นี้ ซึ่งถือเป็นความยอดเยี่ยมและความเจ๋งของวงที่เรารอคอยเหลือเกินว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะกลับมาทำเพลงด้วยกันอีกครั้ง


Muse – Madness

เพลงของคนคลั่งรักที่ผสมผสานซาวด์อีเล็กทรอนิคส์เข้ากันกับสโลว์ร็อคได้อย่างสมบูรณ์แบบจากวง Muse โดยความหมายของเพลงกล่าวถึงคู่รักที่มักจะมีปากมีเสียงเถียงทะเลาะกันอยู่เสมอ จนผู้ชายต้องตั้งคำถามว่า “ที่เรายังคบกันทุกวันนี้เพียงเพราะความรักหรือเพราะความหลงใหลที่บ้าคลั่งเท่านั้น”

ซึ่งท้ายที่สุดชายหนุ่มเองก็ตระหนักดีว่าเขาน่าจะเป็นคนคลั่งรักที่ขาดเธอไม่ได้ เพลงทำนองโหยหวน ล่องลอย ค่อยๆไต่ระดับจากความเงียบเชียบเย็นชาเป็นความเร่าร้อนและคุ้มคลั่งได้โหดสมชื่อเพลงจริงๆ


Passion Pit – Take a Walk

เพลงจังหวะสนุกที่แจ้งเกิดวงอินดี้ทรอนิก้าอย่างเต็มตัวเพลงนี้ แม้จังหวะของดนตรีจะสนุกสนานจนชวนให้เราต้องขยับแข้งขาไปตามบีท แต่เนื้อหาของเพลงนี้กลับหนักอึ้งคนละเรื่องกับจังหวะสนุกสนานกันเลย เพราะมันเกี่ยวข้องกับการอพยพย้ายถิ่นฐานมาแสวงโชคยังเมืองใหญ่ของสมาชิกในวงเอง ที่ตอนแรกเต็มเปี่ยมด้วยความหวังก่อนจะค่อยๆริบหรี่อย่างเศร้าหมอง

แต่ถึงกระนั้น Take a Walk ก็เป็นเพลงที่ถูกใช้เปิดตามปาร์ตี้ รวมไปถึงโฆษณามากมาย จนทำให้ Passion Pit กลายเป็นวงอินดี้ที่คนรู้จักกันอย่างแพร่หลาย และ Take a Walk ก็กลายเป็นเพลงที่วงต้องเล่นทุกครั้งที่ทัวร์คอนเสิร์ตในที่สุด


Mumford and Sons – I Will Wait

ดนตรีโฟล์คที่หลายคนมองว่าแสนจะเชย ถูกปลุกเร้าให้กลายเป็นบทเพลงร่วมสมัยผ่านวงดนตรีจากเกาะอังกฤษที่อัลบั้มชุดแรกได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์

อัลบั้มชุดที่ 2 Babel พวกเขาคลี่คลายมันให้กลายเป็นเพลงพ็อพร่วมสมัย ขณะเดียวกันก็ยังไม่ทิ้งกลิ่นไอของสำเนียงทุ่งหญ้าป่าใหญ่ ผ่านเครื่องดนตรีพื้นเมือง ทำให้ I Will Wait กระหึ่มทุกครั้งที่ Mumford and Sons ปรากฏตัวบนเวทีคอนเสิร์ต เป็นจุดสูงสุดของวงในการทำเพลงที่ปัจจุบันพวกเขายังไม่สามารถหวนคืนความสำเร็จสูงสุดทั้งชื่อเสียงและคุณภาพได้อีกเลย


Rihanna – Diamonds

เพลงเจ๋งจากแม่ค้าสุดแซ่บที่กำลังจะเป็นแม่คน Rihanna ซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้ม Unapologetic ที่เป็นอัลบั้มชุดที่ 7 ของเธอ โดย Benny Blanco โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงชื่อดัง ในตอนแรกตั้งใจแต่งเพลงนี้ให้กับ Kanye West แต่เมื่อเขาลองทำเดโม่หยาบๆดูแล้ว เขาพบว่าบทเพลงนี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับตัว Rihanna

โดย Benny ส่งให้เธอฟัง จนเวลาผ่านมาเนิ่นนานไม่มีเสียงตอบรับจากจาก Rihanna เลย สุดท้ายเขารวบรวมความกล้าโทรหาไปหาเธอ จนได้พบว่าเธอชอบเพลงนี้มากๆ และเธอก็ผลักดันความชอบนี้อย่างสุดตัว ด้วยเพลง Diamonds ที่เปรียบคนรักดุจดั่งดาวตกที่ระยับพรายบนท้องฟ้า ไม่ต่างกับเพชรเม็ดงามที่เลอค่าในยามค่ำคืน

แน่นอนว่า เพลงๆนี้ ย่อมเป็นเพชรเม็ดงามของดนตรีพ็อพยุคปัจจุบันอย่างแน่นอน และเราก็รอคอยว่าเมื่อไหร่ เธอจะผันตัวจากแม่ค้ากลับมาจับไมค์อีกครั้ง


Bruno Mars – Locked Out Of Heaven

ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มย่างก้าวที่ 2 ในอัลบั้ม Unorthodox Jukebox ของ Bruno Mars บทเพลงสไตล์ Reggae Rock ที่ทั้งมันส์และดุดันเพลงนี้ เป็นการร่วมงานกันอีกครั้ง ระหว่าง Bruno กับ Mark Ronson ที่ช่วยสร้างสีสันให้เพลงๆนี้ให้เป็นเพลงที่มันส์สุดขั้ว โดย Bruno เปรียบเปรยความรักเมื่อเจอคนที่ใช่ก็ไม่ต่างกับถูกล็อกกุญแจปิดตายบนสรวงสวรรค์ นับเป็นพัฒนาการอีกขั้น จากอัลบั้มชุดแรกที่ดูป็อปๆหวานๆ Bruno เปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายร่างเป็นราชาเพลง Funk สุดต๊าซที่มีลีลาการร้องการเล่นที่แจ่มว้าวของยุคไปแล้ว


Grimes – Oblivion

ซิงเกิ้ลเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะศิลปินค่ายใหญ่ของอดีตคุณนายของ Elon Musk ที่ในตอนนั้นเธอยังเป็นเด็กสาวสุดเฟี้ยวที่ออกอัลบั้มในบ้านเกิดที่แคนาดา ก่อนที่ความเพี้ยนความกล้าที่จะแหวกขนบของดนตรีอีเลคโทรพ็อพจะทำให้เธอกลายเป็นดาวดังระดับโลกในเวลาต่อมา โดยเพลง Oblivion คือประตูที่เปิดให้คนทั้งโลกรู้จักตัวตนของเธอนั่นเอง

ถึงแม้เธอจะเป็นสาวแกร่งแรงเกินร้อยขนาดนี้ เธอเองเคยถูกคนที่เธอรักทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจไม่ใช่น้อย เพลงนี้จึงบรรยายถึงความอันตรายรอบด้านที่เธอหวังเพียงใครสักคนมาช่วยให้เธอรอดพ้นจากภัยอันตรายนี้ นับเป็นเพลงสนุกๆแต่เนื้อหาชวนหนักอึ้ง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Grimes กลายเป็นตัวแทนของพลังหญิงยุคใหม่เลยทีเดียว


PSY – Gangnam Style

โลกอาจจะไม่รู้จัก BTS / Blackpink หรือวัฒนธรรม K-Pop ก็เป็นได้ หากเพลงๆนี้ไม่เปิดวัฒนธรรมสุดแซ่บให้โลกได้รับรู้ถึงความเจ๋งของเพลงป็อปแดนกิมจิ

แม้ว่า Gangnam Style จะเริ่มจากการเป็นเพลงมีมที่เล่าเนื้อหาเชิงประชดประชันถึงย่านกังนัม เมืองแห่งธุรกิจที่กำลังเติบโตของเกาหลีใต้ แต่ PSY กลับทำให้เมืองๆนี้กระหึ่มไปทั่วทั้งโลกอย่างเป็นทางการ ทั้งท่าเต้นอันแสนกวนจนทำให้เหล่า YouTuber ทั่วทั้งโลกรวมไปถึงของไทยเกาะกระแสนำไปเลียนแบบท่าเต้นควบม้าจนแจ้งเกิดหลายราย ไม่นับรวมตัว PSY เองที่แจ้งเกิดเดินสายโปรโมทเพลงนี้ทั่วโลก จนสร้างสถิติมากมาย ไล่ตั้งแต่มิวสิควีดีโอที่มียอดไลก์กระหึ่มโลก / มิวสิควีดีโอเพลงแรกที่มียอดผู้เข้าชมระดับพันล้าน

ปัจจุบัน Gangnam Style มียอดเข้าชมสูงถึง 4 พันล้านวิว นับเป็นสถิติที่แรงมากๆ จนเรียกได้ว่า Gangnam Style พลิกหน้าประวัติศาสตร์ K-Pop ไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line