Entertainment

A GIRL WE LOVE: สำรวจความฝันของ ‘แจนจัง’ ศิลปินผู้เริ่มฤดูใหม่บนเส้นทางสายซากุระ

By: PERLE August 31, 2018

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตเกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะมาเมื่อไหร่ หรือรูปแบบไหนแต่มันเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่ง A Girl We Love ของเราในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เธอเพิ่งผ่านการ Coming of Age ครั้งสำคัญในชีวิตมาไม่นานนัก และนั่นคือสิ่งที่เราจะพูดคุยกับเธอในบทสัมภาษณ์นี้

แจน, เซนต์แจน, หรือเชเช่ ไม่ว่าคุณจะรู้จักเธอในชื่อไหน แต่ในตอนนี้เธอคือ ‘แจนจัง – เจตสุภา เครือแตง’ หญิงสาวที่ตัดสินใจสลัดภาพของการเป็นไอดอลทิ้งไป และเลือกมุ่งสู่เส้นทางศิลปินเดี่ยวเต็มตัว วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเธอและการตัดสินใจครั้งนี้ให้มากขึ้น

เป็นช่วงบ่ายของวันหนึ่ง เราและทีมงาน UNLOCKMEN ไปถึงสถานที่นัดสัมภาษณ์ก่อนเวลาเล็กน้อยเพื่อเตรียมความพร้อม สารภาพเลยว่าเราอยู่ในอาการลิงโลดผสมกับอาการตื่นเต้นจนตัวสั่น เราติดตามเธอคนนี้มาตลอดไม่ว่าจะเป็นในฐานะแจนหรือแจนจัง แต่ก็เป็นแค่การติดตามผ่านหน้าจอ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้รู้จักเธอมากขึ้นในแง่มุมที่เราไม่คุ้นเคย ได้ถามคำถามที่เราอยากรู้ด้วยตัวของตัวเราเอง

เมื่อถึงเวลานัดหญิงสาวในชุดเดรสสีฟ้าก็ปรากฎตัว แจนจังไม่ลืมพกพาความสดใสอย่างที่เราคุ้นเคยมาด้วย และเมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยเราก็นั่งลงประจัญหน้ากัน บทสนทนาเริ่มต้นด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่ว ๆ ไปเพื่อคลายความตื่นเต้น (ของเรา) ก่อนจะเริ่มต้นการสัมภาษณ์ด้วยคำถามที่เราเตรียมมา

ช่วงนี้กำลังเดินสายโปรโมทงาน Nippon Haku Bangkok 2018 อยู่ใช่ไหม งั้นให้พูดถึงงานนี้ก่อนเลยละกันว่ามีรายละเอียดอะไรบ้าง?

งาน Nippon Haku Bangkok 2018 จริง ๆ แล้วมันคืองาน Japan Expo นั่นเอง ซึ่งปีนี้หนูได้รับเลือกให้ร้อง Theme Song ของงานนี้ (เพลงวาดฝัน) สำหรับงานนี้เหมาะกับทุกเพศทุกวัยเลยค่ะ เพราะว่ามีกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการช็อปปิ้งหรือท่องเที่ยวมาครบเลย และสำหรับน้อง ๆ นักศึกษาก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับด้านการศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น ด้านการเรียนภาษาญี่ปุ่น แล้วก็มีด้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์ มีวงดนตรีทั้งจากญี่ปุ่นและไทยมาทำการแสดง ยังไม่หมดค่ะ (หัวเราะ) ยังมีเรื่องเกี่ยวกับแอนิเมชันแล้วก็มังงะด้วย ครบมาก ๆ ค่ะงานนี้

หลังจากให้แจนขายของเรียบร้อยแล้ว เราก็ถามคำถามที่จริงจังขึ้นว่าในตอนนี้แจนนิยามตัวเองว่ายังไง?

ในตอนนี้ทำหลายอย่างมากค่ะ เพราะผู้ใหญ่ให้โอกาสเราทำ เราก็รับหมดเลย ไม่เลือกงาน แต่ถ้าให้นิยามตัวเองเอาเป็นศิลปินฝึกหัดก็แล้วกันค่ะ เพราะความสามารถเรายังไม่ถึงขั้นที่เป็นศิลปินมืออาชีพขนาดนั้น

เอาเป็นว่าตอนนี้ขอเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปินฝึกหัดก่อนแล้วกันค่ะ

เมื่อเจ้าตัวนิยามตัวเองเป็นแบบนี้ เราจึงลบภาพการเป็นไอดอลของเธอออกไปทันที ก่อนจะเริ่มมองเธอด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป เรายิงคำถามต่อทันทีเกี่ยวกับรูปแบบการทำงานที่ทุกคนน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าแจนทำงานร่วมกับคนกลุ่มใหญ่ แต่ตอนนี้เธอออกมาทำงานคนเดียว นอกจากนั้นยังต้องทำงานต่างถิ่นอีกด้วย ความรู้สึกของเธอจะเป็นยังไง เหนื่อย ท้อ หรือเหงาบ้างหรือเปล่า?

สำหรับเรื่องการทำงานคนเดียวก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียค่ะ ข้อดีมันก็คือความคล่องตัว เพราะถ้าคนเยอะก็จะเคลื่อนตัวได้ช้า เหนื่อยน้อยลงในด้านนี้ อีกด้านหนึ่งถ้าถามว่าเหงามั้ย ก็เหงาค่ะ จากปกติมีเพื่อน ๆ คอยเล่นคอยแซว แต่พออยู่คนเดียวก็ไม่มีแล้ว แต่ว่าตอนเดินทางเราก็ไม่ได้ไปคนเดียว มีทีมงาน มีตุ๊กตา เราก็ไปคุยกับพี่ทีมงาน ทั้งเรื่องงานเรื่องเล่นด้วย ก็เลยเหงาน้อยลงมาหน่อย

แล้วตอนนี้ชีวิตประจำวันเป็นยังไงบ้าง ต้องบินไปกลับญี่ปุ่นบ่อยแค่ไหน?

เดือนนึงจะไปอยู่ญี่ปุ่นประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ ไปครั้งหนึ่งก็จะไปให้ได้นานที่สุด จะได้คุ้มค่าเดินทาง (หัวเราะ)

เราเผลอหัวเราะตามไปด้วยเพราะรู้ดีถึงนิสัยประหยัดของเธอ ก่อนจะถามต่อถึงรูปแบบการทำงานคนเดียว ว่าตอนนี้มีอิสระมากขึ้นขนาดไหน เพลงที่ทำ (You Make Me) เป็นแนวที่ชอบจริง ๆ หรือเปล่า?

คือตอนแรกต้องเล่าก่อนว่าผู้ใหญ่เขาติดต่อกับโปรดิวเซอร์ที่เป็นแนว EDM แบบ EDM จ๋ามาก ๆ แตกต่างจากตัวเราเลย มันก็เลยเกิดเป็นการผสมผสานกัน กลายเป็น Dream Pop, City Pop มีกลิ่นอายของยุค 80 ที่ฟังสบาย ๆ ด้านอิสระในการทำงานก็มีมากขึ้นเพราะว่าเราเป็นคนตัดสินใจที่จะเลือกแนวนี้ ทำภาษาอังกฤษ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในเนื้อเพลงด้วยตัวเอง

พูดถึง You Make Me (My Dream) ซิงเกิ้ลแรกของแจนจังให้เราฟังหน่อยสิ

สำหรับเพลง You Make Me ตอนแรกที่ไปคุยกับโปรดิวเซอร์ที่โตเกียว เราก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเราหลังออกมาจากวงให้เขาฟัง มันเป็นเรื่องราวจริง ๆ ที่เราสัมผัสได้ รับรู้ได้ เข้มข้นมาก (หัวเราะ) เล่าไปก็ร้องไห้ไป เขาก็เลยเข้าใจ เลยเอาสตอรี่ที่เราบอกไปแต่งเป็นเนื้อเพลง ซึ่งเรามีส่วนร่วมตัดสินใจในเรื่องภาษา แนวเพลง

ถ้าให้เขาทำเลยก็คงออกมาเป็น EDM จ๋ามาก แต่ว่าเราบอกเขาว่าเราไม่ใช่ Electronic Girl ขนาดนั้น เราก็เลยบอกว่าถ้าลองผสมผสานกันมันจะดีมั้ย ไม่ใช่แค่เพลง You make me ซิงเกิ้ลเดียว แต่ว่าหนูเป็นคนวางแผนให้โปรเจ็กต์นี้มี 3 เพลงด้วยกัน เพลงที่ 2 จะเป็นแนวสดใสสนุกสนาน เพลงสุดท้ายเป็นเพลงช้าเศร้า ๆ  ก็คือคอนเซปต์ของโปรเจ็กต์นี้มาจากสัญลักษณ์อินฟินิตี้ที่มีครบทุกอารมณ์สมดุลกัน

โดยอินฟินิตี้นี้ก็มาจากตัวเราเป็นเครื่องหมายที่สื่อถึงความรักของเรากับแฟนคลับ

แล้วนอกจากทั้ง 3 ซิงเกิ้ลนี้ ในอนาคตเราจะได้เห็นผลงานอะไรของแจนอีกบ้าง?

สำหรับในอนาคตอันใกล้นี้นะคะ ตอนนี้เอาตรง ๆ หนูทำหลายอย่างมาก ทั้งออกแบบ ถ่ายแบบ เดินแบบที่ญี่ปุ่นบ้างนิดหน่อยแล้วแต่โอกาส งานเพลง แล้วก็จะมีงานที่ไทยบ้าง แต่ว่าเมนหลักที่หนูจะพุ่งเป้าไปก็คือการทำเพลง

โปรเจ็กต์นี้เป็นโปรเจ็กต์เพลงภาษาอังกฤษ 3 เพลงที่อยู่ในเซ็ตเดียวกัน แต่ว่าในอนาคตก็วางแผนว่าอยากจะทำเพลงไทยให้แฟนคลับที่ไทยหรือคนทั่วไปได้ฟังด้วยค่ะ มีแนวโน้มสูงมาก ๆ ที่จะทำ ตอนนี้ก็เริ่มหาคอนเน็คชั่นนักดนตรี หนูคิดว่าถ้าเรามีวงเล่นสด คนดูจะสนุกกับเรามากกว่าที่จะใช้แค่ Backing Track แล้วเราร้องอยู่คนเดียว เราก็รู้สึกเหงาด้วย ถ้ามีเพื่อนมาเล่นอยู่ข้างหลังก็น่าจะรู้สึกอบอุ่นและมีชีวิตชีวามากกว่า

ผ่านพ้นเรื่องเพลง คำถามต่อไปเป็นคำถามที่เราค่อนข้างลำบากใจที่จะถาม เป็นคำถามที่ว่าแจนเคยคิดเสียใจมั้ยที่ตัดสินใจเดินออกจากเส้นทางเดิมมาเริ่มต้นเส้นทางของตัวเอง เราเลยบอกแจนว่าถ้าลำบากใจที่จะตอบก็ไม่เป็นไร แต่เธอก็ยิ้มรับและตอบเราในแทบจะทันที

เอาตรง ๆ ตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจตอนนั้น ก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องแลกกับอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะเริ่มทำอะไรบางอย่าง เพราะตัวเราก็มีแค่คนเดียว จะให้ทำทั้ง 2 ทางก็คงไม่ได้ ตอนที่ตัดสินใจ เครียดมาก ก็เห็นกระแสว่าอาจจะมีโดนว่าบ้าง แต่บางกลุ่มก็สนับสนุนเรา ในสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ ก็ตัดสินใจยากอยู่ แต่ทีนี้พอเราตัดสินใจออกมาแล้ว

ถามว่าเสียใจมั้ยตอบเลยว่าไม่เสียใจค่ะ

เราได้ทำในสิ่งที่มีอิสระมากขึ้น เป็นตัวตนเรามากขึ้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ดังเท่าก่อนออกมา แต่หนูคิดว่ามันเป็นการเริ่มต้น คนที่เพิ่งเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ มันก็คงจะไม่สามารถดังได้เลย หนูคิดว่าตอนนี้เรายังอยู่จุดเริ่มต้นอยู่นะ เหมือนนับหนึ่งใหม่เลย เราจะไปดังเหมือนคนที่พัฒนามานานแล้วได้ยังไง แต่ว่าจุดที่มุ่งเน้นอยู่ที่ว่าการเริ่มต้นใหม่ของเราจะพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน

เป็นคำตอบที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากสำหรับวัย 24 จนทำให้เรายิ่งทึ่งในตัวผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปอีก ก่อนจะยิงคำถามต่อไปว่าตัวแจนจังในตอนนี้กับแจนจังเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่ยังไม่มีคนรู้จักแตกต่างกันยังไงบ้าง?

เอาตรง ๆ ตัวตนข้างในก็เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือหน้าที่และความรับผิดชอบค่ะ เหมือนเราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งที่จริง ๆ เราก็เป็นเด็กคนหนึ่งแต่ว่าได้รับโอกาสการทำงานที่เหมือนผู้ใหญ่ ข้างในของเราก็เลยเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซึ่งหนูตอนนี้กับหนูในตอนนั้นมันแตกต่างกันในเรื่องความรับผิดชอบแล้วก็หน้าที่การงานในแต่ละวันแค่นั้นค่ะ

การเดินทางในเส้นทางนี้ก็คงมีเหนื่อยมีท้อบ้าง แจนต่อสู้หรือรับมือกับความรู้สึกเหล่านั้นยังไง?

มีค่ะ มีหลายครั้งเลย เช่นเวลาอ่านคอมเมนต์ลบ ๆ ก็รู้สึกว่าทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย แต่ว่ามันก็ต้องแลกเพราะว่าเราเริ่มก้าวขาเข้ามาเป็นบุคคลสาธารณะแล้ว หนูว่าทุกคนต้องเจออะไรแบบนี้ ถ้าถามว่าแก้ยังไง ตอบเลยว่า YouTube ค่ะ (หัวเราะ) อยู่ดี ๆ ก็เปิดเจอนักพูดเกี่ยวกับชีวิต ทั้งที่ก่อนหน้านี้หนูไม่สนใจอะไรแบบนี้เลย นักพูดจะมาพูดอะไรให้ชั้นฟัง (หัวเราะ)

แต่เมื่อเราฟังไปคลิปหนึ่ง เขาบอกว่าชีวิตเรามันสั้นเกินกว่าที่จะไปฟังความคิดเห็นของคนอื่น เราควรฟังเสียงหัวใจตัวเองมากกว่ามั้ย มันก็เลยทำให้เรากล้าที่จะทำอะไรมากขึ้น โดยที่เราไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดยังไง ก็ยังมีกลัวบ้างนิดหน่อย (หัวเราะ) แต่เราก็มีความกล้ามากขึ้น หนูก็เลยเปลี่ยนความคิดว่านักพูดนี่ก็เก่งเนอะ เหมือนนักจิตวิทยาเลย ทำให้เราเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งได้ค่ะ

เราชอบเพลงวาดฝันที่แจนร้องมาก แล้วสำหรับตัวแจนล่ะ แจนคิดว่าตัวเองเดินทางมาได้ไกลแค่ไหนแล้วบนถนนความฝันของตัวเอง และจุดหมายปลายทางของการเดินทางอยู่ตรงไหน?

ถ้าเปรียบเป็นแท่ง Timeline หนูคิดว่าหนูเปลี่ยนแท่ง Timeline อันใหม่มาเริ่มต้นที่เลขศูนย์ค่ะ เอาตรง ๆ เราก็คงไม่สามารถอยู่วงการบันเทิงได้จนอายุ 60-70 ก็คงอยู่ไปสักระยะหนึ่งที่เราจะทำไหว แล้วหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของชีวิตตัวเองที่ต้องหาความมั่นคงให้กับชีวิตตัวเอง

เอาตรง ๆ ความฝันคืออยากมีร้านหรือธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง อาจจะเป็น…ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอะไร แต่ว่าถึงสุดท้ายแล้วชีวิตเราก็ต้องมีความมั่นคง เพราะว่าตอนแก่แล้วเราคงทำอะไรได้ไม่เยอะแล้ว แต่ตอนนี้เรายังมีพลังอยู่ เส้น Timeline ในระยะแรกของเราเราก็จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ได้เยอะที่สุด อย่างที่บอกไปว่าเวลาผู้ใหญ่ให้งานมาเราไม่เคยเลือกเลยว่าหนูจะทำแค่นี้นะ เราบอกว่าหนูทำหมดเลยค่ะ

มาพูดถึงการทำงานกันบ้าง ในฐานะที่แจนมีประสบการณ์ทำงานทั้งที่ไทยและญี่ปุ่น คงเห็นถึงระบบการทำงาน มันมีความแตกต่างกันยังไงบ้าง?

ตอนแรกคิดว่าที่ญี่ปุ่นจะเป็นอะไรที่เครียดและเข้มงวดมาก ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย คนญี่ปุ่นเฟรนด์ลี่มาก ๆ เราอาจจะโชคดีด้วยที่เจอโปรดิวเซอร์ท่านนี้ที่เป็นคนสบาย ๆ แต่ในความสบาย ๆ นั้นมันก็มีมาตรฐานในการทำงานเหมือนกัน ซึ่งมันก็เป็นข้อดีค่ะ ทำให้ผลงานที่ออกมาอย่างดนตรีของเขา หนูเอาไปให้เพื่อนที่เป็นนักดนตรีฟัง เขาก็บอกว่าดนตรีดีมาก มีความแปลกใหม่ อันนี้พูดถึงพาร์ตดนตรีก่อนนะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องร้องละกัน (หัวเราะ)

ส่วนเรื่องร้องเขาก็รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ เขาก็แนะนำเราว่าให้ฝึกวอร์มเสียงไว้เรื่อย ๆ แล้วสุดท้ายสิ่งนั้นก็จะกลับมาตอบแทนเราในรูปแบบผลงานที่ดีขึ้น

ตอนนี้ทุกคนน่าจะรู้จัก You Make Me (My Dream) กันแล้ว และก็คงอยากรู้เกี่ยวกับซิงเกิ้ลที่ 2 แจนพอจะเล่าให้ฟังได้ไหม?

ซิงเกิ้ล 2 อย่างที่บอกว่าเป็น Theme สนุก มันจะสื่อถึงอารมณ์ของเราในช่วง Timeline นี้ค่ะ ว่าตอนนี้เรามีสิ่งต่าง ๆมากมายให้ทำ ทั้งที่ไทยและญี่ปุ่น เพลงของเราก็เลยออกเป็นแนวเพลงที่สนุกสนานให้เข้ากับอารมณ์ตอนนี้ เพลงชื่อว่าลั้นลาหรือลันลาอันนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ (หัวเราะ) ท่อนฮุกของมันจำได้ง่ายและก็น่าจะติดหู ส่วนดนตรีที่เค้าออกแบบมาคือมันสนุกมาก ฟังแล้วเหมือนเราออกไปเที่ยวทะเลเลย

ถ้าถามแฟนคลับแจนเรื่องที่ทุกคนน่าจะเป็นห่วงแจนที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องสุขภาพ ยิ่งตอนนี้ยิ่งโหมงานหนัก ดูแลตัวเองยังไงบ้าง?

เอาจริง ๆ ตอนแรกก็ทรุดไปเหมือนกัน ตอนที่ยังไม่ค่อยห่วงเรื่องร่างกายเท่าไร ทั้งเข่าและโดยเฉพาะที่คอ นักร้องมันต้องใช้เสียงเยอะใช่มั้ย แต่คอเราเป็นคอที่เซ้นซิทีฟ แล้วก็เรื่องของ…โห ถ้าไล่มาทั้งคอ หลัง ไหล่ เข่า เรียกได้ว่าเยอะอยู่ แต่ว่าตอนนี้ก็ให้คุณหมอดูแล อย่างล่าสุดเราทำงานหนัก เส้นเสียงไม่ได้พัก คอเราอักเสบ ถ้าเป็นเราเมื่อก่อนก็จะไปร้านขายยา บอกว่าพี่คะหนูเจ็บคอค่ะ ซื้อยามาพ่น เสร็จ! (หัวเราะ)

แต่เราในตอนนี้ มันไม่ได้แล้วค่ะ มันต้องไปหาหมอ ซึ่งมันเปลี่ยนจริง ๆ คือยาหมอมันดีกว่ายาที่เราซื้อเองมาก แล้วเราก็ปรับวิถีชีวิตของเราตามที่คุณหมอสั่งด้วย มันก็เริ่มดีขึ้นจริง ๆ ค่ะ อยางเช่นตอนนี้หัวเข่าเราไม่ก๊อกแก๊กละนะ (หัวเราะ)

แจนเป็นไอดอลให้คนอื่นมากมาย แล้วสำหรับตัวแจนเองใครคือศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจให้แจน?

เอาตรง ๆ ศิลปินที่เป็นไอดอลของเราจะเปลี่ยนไปตามเวลา ตอนนี้ก็มีพี่ภูมิ (ภูมิ วิภูริศ) คือเขาร้องเพลงภาษาอังกฤษเหมือนเราเลย แต่ดูโกอินเตอร์ สุดยอดมาก นี่มันไอดอลเราชัด ๆ สำเนียงภาษาอังกฤษเป๊ะมาก เขาไปทั้งเกาหลีทั้งยุโรป แล้วที่ไทยเองก็มีชื่อเสียงด้วย

เราเองก็เพิ่งมารู้จักพี่เขาเดือนที่แล้วค่ะ ทั้งที่เราไปแสดงงาน Cat T-Shirt ด้วยกัน แต่ตอนนั้นยังไม่รู้จักเลย พลาดมาก ไม่ได้ไปดูเขาเล่นสด แต่หลังจากที่เราดู MV หรือดูเขาเล่นสดเขาดูเป็นธรรมชาติมาก เราก็เลยยกให้เขาเป็นไอดอลเพราะว่ามีอะไรที่คล้าย ๆ กัน

เราอยากทำได้อย่างพี่เขาบ้าง แล้วตอนแรกเราคิดว่า Lover Boy เป็นเพลงแรกของเขา ทำไมมันดังได้ขนาดนี้ แต่พอเราย้อนไปดูที่ช่อง YouTube ของเค้า เขาทำเพลงมาหลายปีมาก ๆ แต่เราเพิ่งมารู้จักตอนเพลงนี้

เราก็เลยคิดได้ว่าในเมื่อเพลงแรกของเรามันยังไม่ดัง เราก็น่าจะเหมือนพี่เขาได้ถ้าเรายังทำต่อไปเรื่อย ๆ

ไม่รู้ว่าพี่หรือน้องเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าไร (หัวเราะ)

งั้นถ้าจะไปให้ถึงระดับนั้นคิดว่าตัวเองยังต้องพัฒนาด้านไหนอีกบ้าง?

(หัวเราะ) ต้องพัฒนาเยอะมากเลยค่ะ ตอนนี้ก็มีครูสอนร้องเพลง แต่ว่าช่วงเดือนสองเดือนนี้ไม่มีเวลาว่างที่จะไปเรียนเลย เราก็พยายามเปิด YouTube ฟัง อย่างเช่นเพลงที่เราได้รับเลือกให้ร้อง มันช่องเสียงต่ำ ตอนแรกก็ร้องไม่ได้ ทำยังไงก็ร้องไม่ได้ เพราะว่าเสียงเราบาง แหลม แล้วก็สูงขึ้นจมูก ก็ไปเปิดดู YouTube ว่าเทคนิคการร้องเพลงเสียงต่ำมันเป็นยังไง มันเป็นช่องทางที่เร็วและง่ายที่สุด ทำให้เรารู้เทคนิคและร้องเพลงได้ง่ายขึ้นถ้าเราฝึกไปเรื่อย ๆ ค่ะ

มาพูดถึงอีกบทบาทหนึ่งของแจนกันบ้างดีกว่า กับหน้าที่ฑูตการท่องเที่ยวประจำจังหวัดฮอกไกโด ในฐานะที่เรายังไม่เคยไปเที่ยวฮอกไกโดเลย อยากให้แจนลอง Present ฮอกไกโดให้เรารู้สึกอยากไปหน่อย?

ฮอกไกโดเป็นเมืองที่สวยมาก ๆ ครั้งแรกที่ไปคือหน้าหนาว แล้วเวลาเราขึ้น Rope Way ไป มันจะเป็นกระเช้าลอยฟ้า วิวที่มองลงไปเหมือนอยู่ในเทพนิยาย เหมือนรูปภาพที่เราเห็นในอินเตอร์เน็ต คือแบบอ้าปากค้างเลย นี่พูดจริง ๆ นะ

เหมือนเรามองลงไปข้างล่างแล้วจินตนาการได้เลยว่ามีหนูน้อยหมวกแดงเดินเข้ามา มีหมาป่าเดินเข้ามา สวยมากจริง ๆ อยากให้ลองไปสัมผัสดู นอกจากนั้นเมืองฮอกไกโดยังขึ้นชื่อด้านเกษตรกรรมด้วย ทำให้มีข้อดีอีกอย่างคืออาหารที่นี่จะอร่อยและสดมาก ราคาไม่แพงมากด้วย อย่างเช่น Soft Cream เดี๋ยววันหลังเปิดบริษัททัวร์ได้เลยเนี่ย (หัวเราะ)

ตอนนี้แจนมี Photobook ได้ยินว่าต้องเดินทางกว่า 5000 กิโลเมตรเผื่อถ่ายทำเลยใช่ไหม มีอะไรอยากเล่าให้เราฟังบ้าง?

การทำ Photobook เล่มนี้มันหนักมากสำหรับทีมงานค่ะ เราไปกันประมาณ 7-8 วัน ทุกวันเราต้องตื่นเช้า แล้วก็ถ่ายทั้งวันจนถึงค่ำ ถึงจะหนักแต่ว่าทีมงานทุกคนก็ให้ใจในการทำงานนี้ การเดินทางถ้าถามว่าหนักไหม หนัก แต่เวลาเราไปเจอสถานที่สวย ๆ สถานที่ใหม่ ๆ ของฮอกไกโด ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นตอนนั้น หายเหนื่อยแล้วก็ดูวิว ฉันเป็นนักท่องเที่ยว ฉันไม่ได้มาทำงาน (หัวเราะ)

การทำ Photobook เล่มนี้ทุกคนลงแรงลงใจกันมาก อย่างในพาร์ตหนูก็จะเป็นนางแบบ แต่ว่าในพาร์ตของทีมงานจะมีอุปกรณ์เยอะมากในการทำงานการเตรียมงาน แล้วก็อีกพาร์ตนึงก็จะเป็นพาร์ตของพี่ผู้หญิงที่ดูแลเรา ดูแลทุกคน ซึ่งหนูสนุกมากที่ได้ไปกับพี่เขา

พอเสร็จงานปุ๊ปหนูรู้สึกว่าอยากถ่ายต่อได้มั้ย ไม่อยากกลับ เพราะว่าในแต่ละวันมันสนุกมากจริง ๆ แต่ละที่ที่ไปมันก็สวยด้วย ก็อยากให้คนภายนอกได้เห็นสีสันของเมืองฮอกไกโดในอีกด้านที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก

ก่อนลากันให้ขายของเต็มที่ ช่วงนี้มีผลงานอะไรบ้าง?

อันแรกก็เป็น Photobook ก่อนละกันเนอะ เล่มนี้ทีมงานไทยยกกองไปถ่ายทำกันที่ฮอกไกโดค่ะ หนักหน่วงมาก ก็หวังว่าเล่มนี้จะเป็นแรงบันดาลใจ ของสะสม ที่ทำให้คนภายนอกรักแล้วก็หลงใหลในฮอกไกโดมากยิ่งขึ้น พรีออเดอร์ด้วยวันสุดท้ายวันที่ 2 กันยานี้แล้ว ฝากด้วยนะคะ

แล้วก็งาน Nippon Haku Bangkok 2018 วันที่ 31 สิงหาคม-2กันยายน ที่ Paragon Hall ชั้น 5 Siam Paragon เป็นงานที่ไม่เฉพาะคนที่หลงใหลในความเป็นญี่ปุ่นเท่านั้นที่จะไปได้ ทุกคนสามารถไปได้เพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ

มีอีก! งาน Cat Expo ปลายปีนี้รายละเอียดสามารถติดตามได้ที่ Cat Radio หรือแฟนเพจหนูก็ได้ แล้วก็สุดท้ายนี้ก็ต้องฝากตัวเองค่ะ เป็นศิลปินหน้าใหม่ น้องใหม่มาก ๆ ก็ฝากติดตามนะคะว่าแจนจังจะมีผลงานอะไรออกมาบ้างได้ที่ FB Janchan และ IG janchan.xoxo แล้วก็มีช่อง Youtube เป็นของตัวเองด้วยค่ะ จะมีเพลงหรือคลิปต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวหนูเอง ชื่อว่า Janchan เหมือนกันค่ะ

ถ้าเด็กรุ่นใหม่ที่มีแจนเป็นแรงบันดาลใจและอยากเป็นให้ได้เหมือนแจน จะแนะนำพวกเค้าว่ายังไง?

เป็นแบบหนูนี่ต้องดูก่อนว่าด้านไหนนะคะ (หัวเราะ) เลือกแต่เฉพาะด้านดี ๆ ไปนะ ถ้าอยากเป็นศิลปินหนูว่าอย่างแรกเลยให้ฟังเสียงของตัวเองก่อนค่ะว่าเราอยากทำอะไรจริง ๆ แต่ก็จะมีบางครอบครัวที่วางแผนอนาคตของลูกตัวเองไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้นะ สุดท้ายแล้วถ้าเราอยากเป็นจริง ๆ เราต้องพยายามโน้มน้าวหัวใจของผู้ปกครองให้ได้ (หัวเราะ) บอกเขาไปตรง ๆ ว่าเรารักเราชอบด้านนี้จริง ๆ และด้านนี้นี่แหละที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขไปตลอดชีวิต

หนูว่าพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนน่าจะเข้าใจและอยากเห็นลูกมีความสุข สั้น ๆ เลยก็คือให้ฟังเสียงหัวใจตัวเองก่อน เมื่อหัวใจเรียกร้องมันก็จะพาไปอยู่ในเส้นทางของมันเอง ถึงแม้ว่าทางข้างหน้าเราจะไม่รู้ว่ามันจะไปทางไหน อาจจะมืดมน แต่ถ้าเราค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าว แล้วสุดท้ายปลายทางอุโมงค์จะมีแสงว่างให้เราเอง

สุดท้ายแล้วอยากฝากอะไรถึงแฟนคลับที่ติดตามเรามาตลอดบ้าง?

ถึงแฟนคลับที่ยังติดตามเราอยู่ (ยกมือไหว้) ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ แทบกราบเลย รู้สึกสุดยอดที่ไม่ทิ้งเราไปไหน อย่างเวลาที่เราไปงานต่าง ๆ หนูก็สงสัยว่าเขาตามไปทุกที่เลยนะ สำหรับหนูที่ไหนที่ไหนมันก็เหมือนกัน แต่หนูไปอ่าน Twitter หนึ่ง เขาบอกว่าที่ตามไปเพราะไม่อยากให้หนูเหงา หนูอ่านแล้ว…ขอบคุณมาก หนูไม่รู้สึกเหงาเลยที่มีพวกคุณอยู่ ถึงแม้แฟนคลับที่ไม่ได้ตามไปที่สถานที่จริงก็จะคอยให้กำลังใจเราตลอด ซึ่งสิ่งพวกนี้มันเป็นอะไรที่หนูต้องขอบคุณมากจริง ๆ แล้วเราก็จะทำผลงานให้ทุกคนได้ติดตามไปเรื่อย ๆ แน่นอน ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ

‘ด้วยความยินดีครับ’ เราตอบรับคำขอบคุณของแจนในใจ โดยไม่ได้พูดออกไป

เมื่อเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์พวกเราทีมงานทุกคนก็ถ่ายรูปร่วมกับแจนก่อนจะอำลากัน เรามองตามเธอไปจนลับตาพลางคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้ต้องไปได้สวยในเส้นทางความฝันที่เธอเลือกแน่ เพราะความมุ่งมั่นและกล้าหาญเปล่งประกายอย่างชัดเจนอยู่ในนัยน์ตาของเธอ

 

Location: Open House at Central Embassy

PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibut

PERLE
WRITER: PERLE
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line