ตอนนี้ทั่วโลกคงไม่มีใครไม่รู้จักท่าดีใจนิ้วลวงตาของ Dele Alli สุดยอดกองกลางดาวรุ่งพุ่งแรงทีมชาติอังกฤษจากค่ายไก่เดือยทอง Tottenham Hotspur แม้คุณจะไม่ใช่คอฟุตบอลและไม่รู้จัก Dele Alli ด้วยซ้ำ แต่เชื่อว่าภายในชั่วไม่กี่วันนี้คุณต้องเคยลองทำท่านี้เลียนแบบเขาโดยไม่รู้ตัวแน่นอน ซึ่งด้วยความที่ท่าดีใจนี่เหมือนเป็นกึ่งมายากลนิด ๆ จึงทำให้มัน Viral ไปทั่วทั้งโลกในเวลาอันรวดเร็ว แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่าดีใจของนักฟุตบอลกลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วทั้งโลก เพราะในอดีตที่ผ่านมาก็มีนักเตะหลายคนคิดค้นท่าดีใจเจ๋ง ๆ ขึ้นมาและหลายต่อหลายท่าก็ยังอยู่ในความทรงจำของเรารวมถึงแฟนบอลทั่วโลก จนเรียกว่าเป็นตำนานของวงการลูกหนังก็ว่าได้ ส่วนจะมีท่าพิสดารแบบไหนมาจากนักเตะคนใดกันบ้างไปดูกันเลย Bebeto and Friends หนึ่งในสิ่งที่น่าจดจำที่สุดในฟุตบอลโลกปี 1994 คือท่าดีใจของ Bebeto พร้อมเพื่อนร่วมทีมชาติบราซิลอีก 2 คนอย่าง Romario และ Mazinho เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในรอบก่อนรองชนะเลิศ เป็นการพบกันระหว่างทีมชาติบราซิลและทีมชาติเนเธอร์แลนด์ และในนาทีที่ 63 หลัง Bebeto ยิงประตูได้เขาก็วิ่งมาหน้าอัฒจันทร์คนดูพร้อมดีใจด้วยท่าอุ้มเด็กก่อนที่เพื่อนอีก 2 คนจะตามมาสมทบ ความหมายที่ซ่อนอยู่ในท่าดีใจนี้คือภรรยาของ Bebeto กำลังตั้งครรภ์อยู่ เขาตั้งใจจะมอบให้ลูกก่อนจะลืมตาดูโลก เป็นท่าดีใจแสนอบอุ่นก่อนที่ต่อมาใครที่กำลังจะมีลูกเมื่อยิงประตูได้ก็มักจะดีใจท่านี้กันแทบทุกคน Cristiano Ronaldo นักเตะซูเปอร์สตาร์ของโลกคนปัจจุบันผู้มาพร้อมท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นท่าที่แปลกพิสดารอะไรแต่ความเท่นี่ต้องให้คะแนนเต็ม จึงไม่แปลกที่ท่านี้จะแพร่กระจายไปทั่วโลก รวมถึงนักเตะทีมชาติไทยหลายคนก็เคยดีใจสไตล์ CR7 กันมาแล้ว Bafetimbi
Spoil Alert! เนื้อหาในบทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์บางส่วน หลังจากที่มีทั้ง Trailer และบทสัมภาษณ์มากมายออกมายั่วความอยากตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา ในที่สุดเราก็ได้ดู Girls Don’t Cry ภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกของวง BNK48 เสียที และเมื่อดูจบเราอยากเขียนถึงมันทันทีเพราะไม่อยากให้อารมณ์ที่ยังตกค้างอยู่ในใจหายไปเสียก่อน Coming of Age อย่างที่เต๋อ นวพล ผู้กำกับบอกไว้ Girls Don’t Cry เป็นสารคดีที่ไม่ว่าคุณจะเป็นโอตะหรือรู้จักเด็กกลุ่มนี้เพียงผิวเผินก็สามารถเข้าถึงสารคดีเรื่องนี้ได้ เพราะนี่ไม่ใช่สารคดีตามติดชีวิตไอดอลแต่คือสารคดี Coming of Age ของวัยรุ่น 26 คนโดยมีคำว่า BNK48 เป็นเพียงฉากหลังเท่านั้น เพียงแต่ Coming of Age ของทั้ง 26 คนนั้นออกจะแตกต่างจากวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปสักหน่อย เพราะการก้าวผ่านวัยครั้งนี้ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งราวคลื่นลูกใหญ่ ทุกคนเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเวลาแค่ปีกว่า ๆ ต้องเผชิญกับทุกมิติอารมณ์ที่วัยรุ่นคนหนึ่งจะรับไหว นวพลยังคงร้ายกาจเสมอในการเลือกวิธีการนำเสนอเรื่องราว เขาเล่าเรื่องผ่านมุมมองของทั้ง 26 คนต่อเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่พวกเธอเผชิญทำให้คนดูอย่างเราได้รับรู้ว่าแต่ละคนมีความคิดและทัศคติอย่างไร เป็นการสำรวจตัวตนที่ทำให้คนดูตระหนักว่าพวกเธอแต่ละคนคือ ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่กลุ่มก้อนที่เรียกว่า ‘ไอดอล’ โรงเรียนแห่งความฝันเลขที่
นี่คือเรื่องราวและรายละเอียดของ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ซูเปอร์คาร์ที่เดินทางผ่านยุคสมัยมาจากยุค 60 และตอนนี้มูลค่าของมันพุ่งสูงถึง 2-3 ล้านเหรียญหรือกว่า 70-120 ล้านบาท เช่นเดียวกับรถยนต์ราคาแพงระยับคันอื่น ๆ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมากมาย เรื่องแรกและเป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือรถรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่ตอนนี้เดิมทีเป็นโมเดลที่ทาง Ferrari สร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบและพัฒนาเท่านั้นไม่ใช่โมเดลที่สร้างขึ้นมาเพื่อวางจำหน่าย ถ้าใครเป็นสาวกรุ่นเก๋าของแบรนด์รถยนต์สัญชาติอิตาลีแบรนด์นี้คงสังเกตเห็นความแตกต่างของทั้ง 2 โมเดลได้ เนื่องจากขนาดและตำแหน่งของไฟเลี้ยวด้านหน้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับไฟท้ายด้านหลังที่โมเดลต้นแบบจะมี 3 ดวงแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่จะมีเพียงแค่ 2 ดวง ด้วยความแตกต่างและมีจำนวนจำกัดนี้จึงเป็นสาเหตุให้ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ราคาพุ่งสูงจนทะยานเข้าไปอยู่ในลิสต์หนึ่งในรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ตัวต้นแบบใช้เครื่องยนต์ V-6 ขนาด 2 ลิตร โดยติดตั้งตามแนวยาวซึ่งแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่ติดตั้งตามแนวขวาง นอกจากนั้นแถบโครเมียมด้านข้างและที่ปัดน้ำฝนขนาดใหญ่ซึ่งจะมีเพียงในโมเดลต้นแบบเท่านั้น แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นโมเดลการผลิตหลักแต่ทาง Ferrari ก็ผลิตออกมาเพียง 152 คันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารุ่นโมเดลต้นแบบนั้นจะหายากและมีจำนวนน้อยแค่ไหน บางทีราคา
“เธอดีเกินไป” “ผู้หญิงชอบคนเลว” ประโยคสุดคลาสสิคที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนานจนบางทีเราก็ละเลยและคิดว่ามันคือสัจธรรมแห่งความจริง แต่ถ้าเราลองมาวิเคราะห์ดูให้ถี่ถ้วนแล้วล่ะก็อาจเกิดคำถามว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? ในความคิดของพวกเรา UNLOCKMEN คิดว่าทั้ง 2 ประโยคก็มีส่วนที่เป็นความจริงอยู่บ้าง เนื่องจากผู้ชายที่ดีเกินไปมักจะมาพร้อมกับความน่าเบื่อ ตรงกันข้ามกับผู้ชายลุคแบดบอยที่เจนจัดประสบการณ์ด้านความสัมพันธ์มากกว่าทำให้ในบทสนทนาหรือการกระทำต่าง ๆ นั้นพวกเขาจะมีลูกล่อลูกชนที่ดีกว่า จึงไม่แปลกที่ฝ่ายตรงข้ามจะตกหลุมเสน่ห์ได้ง่าย ๆ แต่หนุ่ม ๆ นิสัยดีอย่าเพิ่งท้อใจไป เพราะวันนี้เรามีเคล็ดลับที่จะทำให้คุณเป็นคนดีที่ไม่น่าเบื่อมาบอกต่อ! You Talk Too Much การเป็นคนช่างพูดช่างคุยเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็มีลิมิตของมันอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่คุณต้องระมัดระวังอย่างมากเมื่ออยู่ในวงสนทนา จัดสมดุลระหว่างการเป็นผู้พูดและผู้ฟังให้ดี ทุกคนย่อมมีเรื่องของตัวเองที่อยากเล่าด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นถ้าคุณเอาแต่เล่าเรื่องตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวจนไม่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้พูดเลยอีกฝ่ายอาจจะเบือนหน้าหนีได้ง่าย ๆ การสนทนาเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว คุณต้องพยายามสังเกตตัวเองและเก็บสิ่งที่คิดว่าไม่ดีมาเป็นประสบการณ์ You Don’t Read การไม่อ่านหนังสือในหัวข้อนี้ไม่ได้มีความหมายตรงตัวขนาดนั้น แต่หมายถึงการที่คุณไม่ค่อยเสพสื่อจนทำให้คุณกลายเป็นคนไม่ค่อยมีความรู้รอบตัว อาจดูเหมือนเรื่องเล็กแต่นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณขาดเสน่ห์ เพราะเมื่อคู่สนทนายกประเด็นสักอย่างขึ้นมาคุณจะไม่สามารถเสนอความคิดเห็นอะไรได้ ทำได้เพียงเออออห่อหมกตามไปเท่านั้น เช่นเดียวกันเมื่อคุณไม่ค่อยมีความรู้รอบตัวเรื่องที่คุณจะชวนคุยอีกฝ่ายได้ก็มีแต่เรื่องพื้น ๆ ทำให้บทสนทนาขาดความน่าสนใจและภาพลักษณ์ของคุณก็จะกลายเป็นคนจืดชืดไม่น่าคุยด้วย เพราะฉะนั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้ พยายามติดตามสื่อรอบตัวให้มากที่สุด ความรู้อยู่ทุกที่ไม่ว่าจะหน้ากระดาษหรือหน้าจอ เก็บเกี่ยวมันมาเป็นวัตถุดิบให้มากที่สุด Your Voicetone ไม่ใช่เพียงหัวข้อบทสนทนาเท่านั้นที่สำคัญแต่น้ำเสียงของคุณก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะไม่ว่าเรื่องที่คุณยกมาเล่าจะสนุกตื่นเต้นขนาดไหนแต่มันก็สามารถกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อราวเทปธรรมะได้ถ้าน้ำเสียงคุณเป็นแบบโมโนโทน ดังนั้นเมื่อคุณเริ่มต้นพูดอะไรสักอย่างพยายามใส่อารมณ์ร่วมลงไปในเรื่องราวนั้นด้วย เรารู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในข้อนี้เนื่องจากอาจจะเป็นนิสัยติดตัวบางคนมาตั้งแต่เกิน แต่ถ้าคุณหมั่นสังเกตตัวเองเชื่อว่าไม่ยากเกินความพยายามหรอก Your
ความเร็ว ความตื่นเต้นเร้าใจสไตล์ Extreme สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ชายต่างหลงใหล มันเดือดพล่านอยู่ในสัญชาตญาณของหนุ่ม ๆ ทุกคน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เงินที่เก็บออมอย่างตั้งใจมาทั้งชีวิตจะทุ่มให้กับรถในฝันหรือบิ๊กไบค์คันงาม แต่สำหรับบางคนที่ไม่ใช่ขาซิ่งบนถนนหรือซิ่งมาจนเบื่อแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศการท้าความเร็วจากพื้นยางมะตอยมาเป็นพื้นน้ำ เร่มาทางนี้เลย เพราะวันนี้ UNLOCKMEN มีเทคโนโลยียานยนต์เจ๋ง ๆ มาฝาก ชื่อของมันคือ ‘Narke’ ‘Narke’ หรือ ‘Narke Electrojet’ ถ้ามองจากภายนอกก็ดูไม่แตกต่างจากเจ็ทสกีที่เรารู้จักเท่าไรนัก แต่ความพิเศษของมันคือเป็นเจ็ทสกีลำแรกของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าตามแนวคิดการอนุรักษ์และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้อยู่แค่ภายในระบบขับเคลื่อนเท่านั้น แต่รวมถึงการออกแบบภายนอก วัสดุที่นำมาใช้ล้วนแล้วแต่ยึดโยงกับแนวคิดนี้ ‘ถึงแม้ระบบขับเคลื่อนจะเปลี่ยนไป แต่ประสบการณ์บนผิวน้ำยังเหมือนเดิม’ นี่คือสิ่งที่ผู้ผลิตเจ้าเจ็ทสกีสัญชาติฮังการีบอก ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบขนาดย่อมหรือมหาสมุทรกว้างใหญ่ Narke ก็สามารถโลดแล่นได้ในทุกที่ คำว่า Narke มีที่มาจากชื่อของรังสีไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีความซับซ้อนอย่างมาก สามารถพบคลื่นชิดนี้ได้ในแถบอินโด-แปซิฟิคและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ด้วยคอนเซ็ปต์การเคลื่อนที่ด้วยกระแสไฟฟ้า ผู้ผลิตจึงหยิบชื่อนี้มาตั้งให้กับเจ็ทสกีลำนี้ นอกจากรูปร่างภายนอกอันโฉบเฉี่ยวและระบบการทำงานด้วยไฟฟ้าแล้ว จุดเด่นอีกอย่างของ Narke ที่ทำให้แตกต่างจากเจ็ทสกีทั่วไปคือเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบกว่ามาก เงียบจนเสียงคลื่นกลบหมด ทำให้คุณเข้าถึงความสุนทรีย์แห่งการโลดแล่นโบยบินในท้องทะเลอย่างแท้จริง รายละเอียดการทำงานอื่น ๆ ของ Narke Electrojet ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีมอเตอร์ระบายความร้อนถึง 3 ตัวด้วยกัน
ถ้าพูดถึงการ์ตูนยอดนิยมยุคนี้ไม่ว่าจะเป็น One Piece, My Hero Academia, The Promised Neverland และเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง แม้ว่าการ์ตูนเหล่านี้จะมีพล็อตแตกต่างกัน แต่เกือบทุกเรื่องมีคอนเซ็ปต์ที่คล้ายกันคือการผจญภัยโดยมีฉากหลังเป็นพลังมิตรภาพ ในขณะที่การ์ตูนแนวลูกผู้ชายกล้ามโตที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนอกจากการต่อสู้แบบบ้าพลังแทบจะหายไปจากตลาดเลยก็ว่าได้ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อ 20-30 ปีก่อนที่เป็นยุครุ่งเรืองของการ์ตูนแนวนี้ หลายเรื่องขึ้นหิ้งกลายเป็นตำนานที่ยังถูกพูดถึงมาจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ, ซามูไรพเนจร, จอเกบูลส์ รวมถึงเรื่องที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้อย่าง ‘บากิ’ ย้อนความหลัง สำรวจเรื่องราว ‘Baki the Grappler’ หรือที่คนไทยเรียกสั้น ๆ ว่า ‘บากิ’ คือผลงานมังงะจากปลายปากกาของ Keisuke Itagaki ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1991 ลงในนิตยสาร Weekly Shōnen Champion ซึ่งถ้านับถึงตอนนี้มังงะเรื่องนี้ก็มีอายุกว่า 28 ปีเข้าไปแล้ว ฉบับรวมเล่มมีทั้งหมด 132 เล่ม โดยแบ่งเป็น 4 ภาค ซึ่งนี่ยังไม่นับรวมภาคย่อยที่มีอีกไม่น้อย บากิเป็นการ์ตูนที่เล่าเรื่องย่อได้ง่ายที่สุด เพราะทั้งเรื่องแทบจะไม่มีแก่นเรื่องใด ๆ เลยนอกจากการต่อสู้ ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กหนุ่มมัธยมปลายนาม ‘ฮันมะ บากิ’ ภายนอกเขาก็ดูไม่แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันคนอื่น
ทุก ๆ ครั้งเมื่อมีการจัดอันดับประเทศที่ผู้คนมีความสุขที่สุด, สงบที่สุด, น่าอยู่ที่สุด เหล่าบรรดาประเทศในยุโรปตอนเหนือหรือที่เรียกกันว่า ‘สแกนดิเนเวีย’ มักจะคว้าตำแหน่งชนะเลิศไปครองเสมอ เช่นเดียวกับการจัดอันดับประเทศที่การทำงานมีความสุขที่สุดที่เราจะพูดถึงในวันนี้ ซึ่งผู้ชนะอันดับ 1 ในรายการนี้อย่างสม่ำเสมอคือ ‘ประเทศเดนมาร์ก’ ดินแดนโคนมแห่งสแกนดิเนเวีย นอกจากบรรยากาศประเทศที่น่าอยู่แล้ว Work-Life Balance ของประเทศนี้เป็นยังไงกันนะ อะไรคือสาเหตุที่คนทำงานมีความสุขที่สุด และมันแตกต่างจากบ้านเรายังไง เตรียมเสื้อกันหนาวไว้ให้ดี เพราะ UNLOCKMEN จะพาทุกคนบินลัดฟ้าสู่เดนมาร์กค้นหาคำตอบของคำถามนี้ด้วยกัน Working Hours วัฒนธรรมของประเทศเดนมาร์กนั้นให้ความสำคัญกับครอบครัวหรือชีวิตด้านอื่น ๆ ไม่น้อยไปกว่าเรื่องงาน ดังนั้นเวลาทำงานของพวกเขาจะไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมงอย่างเด็ดขาด ซึ่งโดยเฉลี่ยผู้ชายชาวเดนมาร์กจะทำงานสัปดาห์ละ 41 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงอยู่ที่ 35 ชั่วโมงเท่านั้น และมีคนจำนวนเพียง 2% ของประเทศเท่านั้นที่ทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่จำนวนเฉลี่ยทั่วทั้งโลกอยู่ที่ 13% ในเดนมาร์กชุดความคิดที่ว่า ‘ยิ่งคุณทำงานหนัก ทำงานนาน ผลลัพธ์ของงานที่ออกมาจะดี’ เป็นวิธีคิดที่ผิดมหันต์ พวกเขามุ่งเน้นเรื่องความสุขในการทำงานและเชื่อว่าการทำงานอย่างมีความสุข ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาดีโดยตัวของมันเอง นอกจากเวลาทำงานไม่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปแล้ว พวกเขายังได้สิทธิ์ในการลาพักร้อนยาวนานถึง 5
ตลาดวายกันไปสดร้อน ๆ สำหรับตลาดซื้อขายนักเตะ Premier League ก่อนที่ทั้ง 20 ทีมจะลงสนามขับเคี่ยวกันในฤดูกาล 2018-2019 ที่กำลังจะเปิดฉาก แต่ก่อนจะส่องฟอร์มในสนามเรามาดูกันก่อนว่าฟอร์มนอกสนามในการเสริมทัพนักเตะของแต่ละทีมเป็นอย่างไรกันบ้าง บอกเลยว่าฤดูกาลนี้แตกต่างจากฤดูกาลก่อน ๆ พอสมควรเนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายนักเตะของเหล่าบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ไม่ค่อยคึกคักเท่าไรนัก โดยเฉพาะ ‘ไก่เดือยทอง’ Tottenham Hotspur ที่กลายเป็นทีมแรกในรอบ 15 ปีของ Premier League ที่ไม่เสริมนักเตะเลยแม้แต่คนเดียว แต่กลับกลายเป็นเหล่าทีมม้านอกสายตาที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากกว่า เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าดีลซื้อขายเด็ด ๆ ในตลาดรอบนี้มีใครกันบ้าง Goalkeeper หลังจากปวดหัวกับปัญหาผู้รักษาประตูมานานหลายปี โดยเฉพาะในนัดชิงชนะเลิศ UEFA Champions League ที่ผู้รักษาประตูหน้าหล่อ Loris Karius โชว์เหวอจนยากจะรับได้ ในที่สุดทีมเครื่องจักรสีแดงแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์อย่าง Liverpool ก็ตัดสินใจใช้เงินแก้ปัญหาโดยการทุ่มเงินกว่า 56 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าตัวสถิติโลกในตำแหน่งผู้รักษาประตูคว้าตัว Alisson Becker จอมหนึบมือ 1 ทีมชาติบราซิลจากสโมสร Roma แต่สถิติโลกของ Alisson ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะไม่กี่สัปดาห์ต่อมาทีมสิงห์ไฮโซอย่าง Chelsea ทุ่มเงินกว่า 72 ล้านปอนด์คว้าตัวผู้รักษาประตูดาวรุ่งชื่ออ่านยากอย่าง Kepa Arrizabalaga
หลังจากตรากตรำทำงานติดต่อกันมา 5 วัน เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์เวียนมาถึงหลายคนคงไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากการนอนอืดบนเตียงหรือถ้าเป็นสายปาร์ตี้ก็ตั้งใจเมาให้เละสมกับที่เก็บกดมาหลายวัน แต่สำหรับบางคนที่แค่ได้นอนตื่นสายสักหน่อยก็เป็นการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว เวลาที่เหลืออยากหาอะไรเป็นประโยชน์ทำ ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองว่างจนเกินไป วันนี้ UNLOCKMEN จึงมีวิธีพัฒนาศักยภาพตัวเองด้านต่าง ๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์มาฝาก เพื่อไม่ให้เสาร์-อาทิตย์ของคุณผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ Snooze คือสิ่งต้องห้าม “แป๊ป ๆ ก็วันจันทร์แล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” นี่คือวลียอดฮิตของเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เราเห็นกันจนชินตาในโซเชียลมีเดีย แต่ถ้าเราลองเอาประโยคนี้มาวิเคราะห์หาสาเหตุว่าทำไมเวลาวันหยุด 48 ชั่วโมงจึงดูเหมือนน้อยเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะว่าคุณนอนตื่นสายเกินไปหรือเปล่า วันหยุดทั้งทีก็อยากนอนขี้เกียจให้เต็มที่ รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ข้ามฟากมาอยู่ทิศตะวันตกแล้ว กว่าจะพาตัวเองลุกออกจากเตียง ทานข้าว อาบน้ำ ฟ้าก็ใกล้มืดหมดไป 1 วันแบบงง ๆ จะดีกว่ามั้ยถ้าในคืนวันศุกร์คุณไม่ต้องนอนดึกมาก และตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ อาจจะตั้งนาฬิกาปลุกให้สายกว่าวันทำงานนิดหน่อยเป็นการให้รางวัลตัวเอง แต่กฎเหล็กเลยคือเมื่อนาฬิกาปลุกดังห้ามกด Snooze เด็ดขาด ให้รีบลุกออกจากเตียงทันที เพียงเท่านี้คุณก็มีเวลาเหลือเฟือที่จะทำอะไรมากมายเพื่อพัฒนาตัวเองแล้ว 2 ชั่วโมงแห่งการสร้างแรงบันดาลใจ เพียงแค่คุณแบ่งเวลา 2 ชั่วโมงจาก 48 ชั่วโมงในวันหยุดมาเป็นเวลาแห่งการสร้างแรงบันดาลใจ เชื่อเถอะว่าผลลัพธ์มันคุ้มค่ายิ่งกว่ากิจกรรมใด ๆ แน่นอน เป็นช่วงเวลาที่คุณจะเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างชีวิตหลังจากที่คุณอยู่กับสิ่งจำเจมาตลอดสัปดาห์ การสร้างแรงบันดาลใจที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งน่าเบื่อเสมอไป มีกิจกรรมมากมายที่ทั้งสนุกและปลุกไฟในตัวคุณไปพร้อมกัน
หนึ่งในอาการป่วยที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในสังคมคงไทยช่วงที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้น ‘โรคซึมเศร้า’ โรคที่อยู่ ๆ ก็ได้รับความสนใจทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนอยู่ในเงามืด แทบจะไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้คนในสังคมมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ผู้ป่วยจิตเวชหรือการไปหาจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือโดนแปะป้ายตีตราว่าเป็น ‘คนบ้า’ อีกต่อไป อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจเรื่องนี้ ยังมีบางส่วนที่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘โรคซึมเศร้า’ อยู่ โดยเหมารวมว่ามันคือ ‘ความอ่อนแอของจิตใจ’ ดังนั้นวันนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับเจ้าโรคซึมเศร้าให้มากขึ้นจากการพูดคุยกับ รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล หัวหน้าสาขาวิชาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลศิริราช หลังจากที่แนะนำตัวพูดคุยกันเล็กน้อย ผู้เขียนและทีมงาน UNLOCKMEN ก็เริ่มเข้าประเด็นในสิ่งที่พวกเราและคนทั่วไปอยากรู้ทันทีว่าจริง ๆ แล้วโรคซึมเศร้าคืออะไรกันแน่ อะไรคือคำนิยามของมัน เป็นโรคทางกายภาพล้วน ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความอ่อนแอของจิตใจหรือเปล่า? “จริง ๆ โรคซึมเศร้าจัดเป็นโรคทางจิตเวช ชื่อภาษาอังกฤษคือ Mental Disorder เป็นโรคทางจิตเวชที่แสดงออกมาเป็นปัญหาทางอารมณ์ แต่มีต้นเหตุจากความผิดปกติของสมอง สิ่งแวดล้อมและจิตใจ นั่นหมายความว่าสาเหตุของโรคซึมเศร้าคือสาเหตุที่เกิดจากภาวะผิดปกติภายในร่างกาย ภายในสมองของเราที่ผลิตสารสื่อประสาทอันเกี่ยวข้องกับความสุขลดต่ำลง ตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการตรงนี้มันผิดปกติอาจจะเกิดจากยีน หรือสภาวะจิตใจที่มีเรื่องมากระทบในขณะนั้นครับ เช่น ผิดหวัง ตกงาน มีการสูญเสีย หรืออาจเกิดจากสิ่งแวดล้อม เรื่องสภาวะกดดัน ภาวะที่ขาด Support จากคนรอบข้าง หรือขาดความช่วยเหลือทางด้านจิตใจ