สาวหุ่นบางร่างน้อย ผิวขาวใส ผู้ชายหลายคนก็หลงรัก แต่สาวผิวแทนโดนแดดเพราะกิจกรรมกลางแจ้งที่พวกเธอรัก กับหุ่นมีกล้ามท้องนิด ๆ ก้นอวบหน่อย ๆ ก็เป็นอีกความน่าหลงใหลที่ทำให้เราถอนสายตาออกไปไม่ได้ เอาเป็นว่ามองเมื่อไหร่ก็อมยิ้มอารมณ์ดีทุกทีไป ในสภาวะที่อากาศเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย การเห็นอินสตาแกรมสาวหุ่นสุขภาพดีจากที่ต่าง ๆ จากอีกฟากโลก พร้อมวิวทะเล แสงแดดและการออกกำลังกาย UNLOCKMEN ก็เชื่อว่าจิตวิญญานผู้ชายอย่างเรา ๆ ย่อมกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้แม้วันที่ฟ้าหม่น Celine Farach Celine คือสาวหุ่นแซ่บที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในขณะนี้ เห็นหน้าปังหุ่นเป๊ะขนาดนี้ เธอมีอายุเพียงแค่ 19 ปี! แต่หุ่นดี ๆ ก็ไม่ได้มีไว้ถ่ายรูปสวย ๆ เท่านั้น เพราะก้าวสู่เวทีนางแบบโดยการเซ็นสัญญาเข้าสังกัด Wilhelmina Models Agency ถือเป็นนางแบบอายุน้อยอีกคนที่เข้าสู่วงการ แถมตอกย้ำความโด่งดังด้วยการเล่น MV เพลง Greenlight ของ Pitbull อีกด้วย Celine เกิดที่เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา เป็นนางแบบหลักของแคมเปญใหญ่ ๆ ให้กับแบรนด์ Marks
โลกของหนังสือไม่ได้ถูกแบ่งตายตัวไว้ว่าเล่มนี้ให้ความรู้ เล่มนี้ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่หนังสือมันทั้งหลากหลายและมีความซับซ้อนมากกว่าที่เราคิด ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะขี้เกียจอ่าน เราขอเตือนไว้ก่อนว่า อย่าเพิ่ง! เพราะหนังสือที่เราจะพาไปรู้จักวันนี้มันซาบซ่านกว่าที่คุณคิดแน่นอน ถ้าพูดถึงหนังสือเซ็กซี่ ๆ เราอาจคิดออกแต่หนังสือโป๊หรือหนังสือความสัมพันธ์ ต้องทำยังไงผู้หญิงถึงจะรัก แต่วันนี้ UNLOCKMEN อาสาพาไป UNLOCK ความรู้สึกเกี่ยวกับหนังสือเซ็กซี่ ด้วยการพาไปพบกับหนังสือ 5 เล่มเกี่ยวกับเพศที่ไม่โป๊ แต่อ่านแล้วรับรองว่าวาบหวิว แถมได้ความรู้ไปเต็ม ๆ EARLY DESIRE ประวัติศาสตร์ใต้สะดือ EARLY DESIRE ประวัติศาสตร์ใต้สะดือ ผู้เขียน: โตมร ศุขปรีชา สำนักพิมพ์: Salmon Books หลายครั้งหลายหนที่ผู้ชายอย่างเราแอบรู้สึกผิดกับความหื่นกระหายของตัวเอง เคลือบแคลงสงสัยว่า เอ๊ะ นี่กูผิดปกติหรือเปล่าวะ? ที่มีความต้องการทางเพศมากระดับนี้ แถมเราก็ดันอยู่ในสังคมที่คนจำนวนไม่น้อยชอบพูดว่าสมัยก่อนนั้นดีงามกว่าสมัยนี้มากนัก คนก็ยังไม่หื่น ไม่หมกมุ่น ไม่แต่งตัวโป๊เท่านี้? EARLY DESIRE ประวัติศาสตร์ใต้สะดือ จะพาไปรู้จักกับประวัติศาสตร์เรื่องเพศที่ทำให้เราได้ความรู้ว่า เฮ้ย เรื่องเพศมันมีมานานแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรอย่างที่หลายคนพยายามบอก แถมเรื่องเพศในประวัติศาสตร์ยังหวือหวาชวนตะลึงยิ่งกว่าปัจจุบันเสียอีก แลกคู่ สวิงกิ้ง ฯลฯ เล่มนี้ถ้าหามาอ่านประดับความรู้ไว้
เกมไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาทุกอย่างบนโลกอย่างที่ผู้ใหญ่ในสังคมคอยกล่าวโทษเสมอไป มีงานวิจัยจำนวนมากที่ออกมาบอกว่าการเล่นเกมมีประโยชน์หลายอย่างกว่าที่คิด ทั้งช่วยพัฒนาสมอง ช่วยให้จัดการงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน แต่ทุกอย่างก็ล้วนมีข้อดีและข้อเสีย ผู้ชายสายเกมจะว่ายังไงถ้ามีงานวิจัยที่ออกมาบอกว่าเกมเมอร์นี่แหละที่ไม่ค่อยมีความต้องการทางเพศ! ก่อนจะโวยวาย เรามาลองอ่านกันหน่อยว่างานวิจัยที่ว่านี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไร งานวิจัยชิ้นที่ว่านี้ถูกเผยแพร่ใน Journal of Sexual Medicine โดยนักวิจัยศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการเล่นวีดีโอเกมกับสุขภาพทางเพศของผู้ชายจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 396 คน ผลปรากฏว่าผู้ที่เล่นวีดีโอเกมมีปัญหาการหลั่งเร็วน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้เล่นวีดีโอเกม (อ้าว ก็ดีแล้วนี่!) แต่ผลการวิจัยมันไม่ได้จบแค่นั้น เพราะผลการศึกษายังออกมาต่อว่า ‘เกมเมอร์มีความต้องการทางเพศต่ำ’ (อ้าว พูดแบบนี้ก็มีเคืองกันบ้างแหละ) เหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้ผลออกมาเป็นแบบนั้นเป็นเพราะว่าการเล่นเกมบางเกมเราก็ต้องอาศัยความตั้งใจ จนอาจก่อให้เกิดความเครียด และความเครียดนี้เองที่สามารถนำไปสู่ภาวะ hyperprolactinemia หรือ ภาวะที่พบความผิดปกติของระดับโปรแลคตินในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ขาดความต้องการทางเพศไป ไม่เพียงเท่านั้นนัก นักวิจัยยังบอกอีกว่าการเล่นเกมมันทำให้คนเล่นมีความสุข ระหว่างเล่นจึงมีการหลั่ง dopamine หรือฮอร์โมนแห่งความพึงพอใจออกมา ซึ่ง dopamine ที่ว่าก็เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเสมือนถึงจุดสุดยอดตอนที่เราร่วมรัก ดังนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่คนเล่นเกมมาก ๆ ฟินกับเกมมาก ๆ แล้วก็จะรู้สึกถูกกระตุ้นจากความตื่นเต้นทางเพศได้น้อยลง รวมทั้งนี่อาจเป็นเหตุผลของผลการวิจัยที่บอกไว้ในตอนต้นว่าผู้ชายที่เล่นเกมประสบปัญหาการหลั่งเร็วน้อยมาก เพราะมีโอกาสเผชิญกับความรู้สึกตื่นเต้น ซาบซ่านระหว่างเล่นเกมที่เหมือนกับการร่วมรักกับสาว ๆ จนมีความอดทนแข็งแกร่งในการอดทนไม่ให้หลั่งเร็วไปในตัว อย่างไรก็ตามนักวิจัยเขาก็บอกว่ามันไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับทุกคนขนาดนั้น ควรต้องรองานวิจัยอื่น ๆ มาร่วมสนับสนุนอีก แต่เขาก็คิดว่ามันไม่ต่างจากการออกกำลังกายหรอก
กิจกรรมเข้าจังหวะบนเตียงนอน (หรือจริง ๆ จะที่อื่นก็ได้) ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว แต่เป็นความพึงพอใจร่วมกันของคนสองคน ดังนั้นในฐานะผู้ชายแมน ๆ จะสักแต่ว่าทำ ๆ ไปให้เสร็จ ๆ ก็คงดูไม่ดี ทางที่คูลกว่ากันเยอะควรทำอะไรที่สร้างทั้งความพอใจให้ตัวเอง และเรียกเสียงกระเส่าครวญครางด้วยความพึงพอใจจากสาว ๆ ควบคู่กันไปด้วย ลีลาและท่าทางก็ถือเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น บางทีไอ้ท่าที่เราจำมาจากหนังโป๊เรื่องโปรดที่คิดว่าเด็ดเสียเต็มประดา ใครจะไปรู้ว่าจริง ๆ แล้ว สาว ๆ อาจจะแอบเบ้ปากมองบนแล้วเอาไปเม้าให้เพื่อนฟังจนเราเสียผู้เสียคนก็เป็นได้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์มีเซ็กส์สุดเหวี่ยงแต่ถูกเม้าลับหลังว่าไม่เอาไหน วันนี้ UNLOCKMEN ขอแอบมากระซิบบอกผู้ชายอย่างคุณหน่อยว่า 5 ท่ามีเซ็กส์แบบไหนที่มันไม่คูลอีกต่อไปแล้ว และสาว ๆ เขาก็ไม่ได้ชอบท่าพวกนี้ขนาดนั้น! จะมีท่าไหนบ้าง แล้วสาว ๆ เขารู้สึกอย่างไรกับท่าเหล่านั้นกันแน่ มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน 69 แม้ภาพในหนังโป๊ที่คุณเคยดูมาทั้งหลาย มันจะทำให้ท่า 69 กลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ใคร ๆ ก็ต้องเช็คอิน หรือจะพาผู้หญิงขึ้นห้องทั้งทีก็ต้องไม่พลาดท่านี้เหมือนกลัวว่าจะทำอะไรไม่ครบ แต่เดี๋ยวก่อน! มันไม่ได้เซ็กซี่ ชวนครางด้วยความเสียวซ่านอะไรอย่างที่คุณคิด เพราะการทำออรัลเซ็กส์ควรเป็นไปด้วยความผ่อนคลาย ถ้าเป็นคราวของคุณที่ต้องทำให้เธอ คุณก็ควรละเลียดเล็มน้องสาวของเธอได้อย่างเต็มที่
การได้อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ก็มีข้อดีมากมาย ทั้งโอกาสในหน้าที่การงาน การเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ที่สะดวกรวดเร็วทันใจ แต่การอยู่ในเมืองใหญ่ก็มีราคาที่เราต้องจ่าย ทั้งเสียงการจราจรจอแจ สภาพอากาศที่ไม่บริสุทธิ์มากพอ นอกจากจะสร้างความรำคาญ ยังส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วย นักวิจัยทำการศึกษาจากผู้ใหญ่จำนวน 144,000 คน จนออกมาเป็นงานวิจัยชิ้นนี้ที่เพิ่งถูกเผยแพร่เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยงานวิจัยครั้งนี้โฟกัสไปที่ชีวเคมีในเลือด (blood biochemistry) สมมติฐานของงานวิจัยครั้งนี้ก็คือการที่มนุษย์อย่างเรา ๆ ต้องอาศัยอยู่ใกล้ถนนที่รถราวิ่งกันขวักไขว่นั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพเรา เนื่องจากมลพิษทางอากาศและเสียงการจราจรส่งผลต่อการเป็นโรคหัวใจ เพราะมันรบกวนการนอนหลับ เพิ่มความดันโลหิต แถมเพิ่มความเครียดให้กับเราอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นมลพิษทางอากาศยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด การตรวจสอบสารชีวเคมีในเลือดครั้งนี้ พวกเขาตรวจสอบทั้งไขมันในเลือดและไตรกลีเซอไรด์ซึ่งถ้ามีปริมาณมากก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะหัวใจวายได้มาก รวมถึงตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งสัมพันธ์กับโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคหลอดเลือดในสมอง สุดท้ายพวกเขาโฟกัสไปที่ปริมาณโปรตีน C-reactive ซึ่งเป็นสัญญานของโรคหัวใจ ผลการทดสอบออกมาว่าหลังจากที่ควบคุมตัวแปรต่าง ๆ เช่น อายุ เพศ การศึกษา การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสถานะการสูบบุหรี่ออกไปแล้วพบว่าทุก ๆ การรับมลพิษทางเสียงที่เพิ่มขึ้น 5 เดซิเบลจากบริเวณที่พักอาศัย มีส่วนเกี่ยวข้องกับปริมาณน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้น 0.3 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับคนที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีเสียงรบกวนน้อยกว่า ในขณะที่ปริมาณมลภาวะทางอากาศ ก็มีผลต่อปริมาณน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้น 2.3% มีผลต่อปริมาณไตรกลีเซอไรด์ที่เพิ่มขึ้น 10% ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณมลภาวะทางเสียงและอากาศในที่ที่แต่ละคนอาศัยอยู่ ถ้าให้สรุปอย่างง่ายก็คือสารชีวเคมีในเลือดเหล่านี้กำลังบอกเราว่า
ถ้าบ้านเรามีหมอช้าง หมอม้า หรือหมออะไรก็ตามที่ทำหน้าที่ทำนายความฝันโดยเฉพาะ อาจไว้เป็นลางบอกเหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับเราหรือไว้ตีเป็นเลขเด็ดเลขดังสำหรับสายเสี่ยงโชค แต่ในโลกตะวันตกความฝันสามารถบ่งบอกอะไรได้หลายอย่างทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ จนมีการตีความความฝันในแง่จิตวิทยากันอย่างจริงจัง หลายความฝันที่เราคิดว่าเราฝันบ่อย ๆ อยู่คนเดียว ที่จริงแล้วคนทั่วโลกเขาก็ฝันซ้ำ ๆ เหมือนกันกับเรา แล้วความฝันเหล่านั้นจะบอกอะไรเราได้บ้าง UNLOCKMEN ชวนมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน Ian Wallace คือนักจิตวิทยาและนักวิเคราะห์ความฝันมือวางอันดับต้น ๆ ของโลก ในวันที่นักจิตวิทยาหลายคนพยายามศึกษาความฝันแล้วต้องล้มเลิกด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป แต่ Ian Wallace ยังคงยืนหยัดศึกษาความฝันจากกลุ่มตัวอย่างมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว! ตัวเขาผ่านการวิเคราะห์ตีความความฝันมามากกว่า 150,000 ความฝัน ถ้าไม่เรียกว่านี่คือนักวิเคราะห์ฝันตัวจริงก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ความฝันท็อปฮิตที่เรามักฝันกันมีอะไรบ้าง แล้วความฝันเหล่านั้นมีความหมายว่าอย่างไรบ้างนะ? ตกจากที่สูง เชื่อเหลือเกินว่านี่คือความฝันยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของโลกใบนี้แน่ ๆ ใคร ๆ ล้วนแต่ก็ต้องเคยเคลิ้ม ๆ ลอย ๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองหล่นวูบลงมาจนเสียววาบ Ian Wallace บอกว่าการฝันว่าตกจากที่สูงเชื่อมโยงกับความกดดัน ความรู้สึกผูกมัดแน่นหนากับสถานการณ์บางอย่างในชีวิตจริง เขาแนะนำว่าทางที่ดีก็ต้องรู้จักเชื่อมั่นในตัวเอง
มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ? อาจจะเป็นประโยคคำถามแรกที่หลุดออกมาจากปากคุณ นมผู้หญิงเนี่ยนะที่จะทำให้คนเราสุขภาพดีขึ้นได้? ไม่ต้องมัวสงสัยหรือเก็บไปทดลองเองให้เสียเวลา เพราะมีนักวิจัยที่เขาอาสาหาคำตอบมาให้เราแล้ว งานวิจัยจาก Mary Charlson ศาสตราจารย์ประจำ Weill Cornell Medical College บอกเราว่าการเห็นหรือคิดถึงอะไรที่ดีต่อใจของเราในตอนเช้าของแต่ละวันมีผลต่อแรงบันดาลใจด้านสุขภาพได้จริง! งานวิจัยนี้เริ่มต้นจากสมมติฐานที่ว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเรื้อรังและผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงมักจะประสบปัญหาในการบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นไปออกกำลังกายบ้างล่ะ หรือบังคับตัวเองให้กินยาให้สม่ำเสมอบ้างล่ะ หนึ่งในวิธีที่ทีมวิจัยเห็นว่าน่าจะเวิร์ค และสมควรทำการทดสอบดูว่าจริงไหมก็คือการนึกถึงสิ่งที่ดีต่อใจในช่วงเช้าของแต่ละวัน จากนั้นการวิจัยก็เริ่มขึ้น นักวิจัยได้สรรหากลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 756 คน โดยทั้งหมดเป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเรื้อรังหรือผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูง แล้วแบ่งกลุ่มการทดลองเป็นกลุ่มที่คิดถึงสิ่งที่ดีต่อใจในตอนเช้า กับกลุ่มควบคุมที่อยู่ ๆ กันไปตามปกติ หน้าที่ของกลุ่มผู้ป่วยที่คิดถึงสิ่งที่ดีต่อใจก็คือเมื่อตื่นมาแล้วให้คิดถึงอะไรที่มีความสุข เห็นแล้วรู้สึกดี ชุ่มชื่นหัวใจ แน่นอนว่าก็แล้วแต่จินตนาการของแต่ละคนว่าจะเป็นสุขกับอะไร ลูกแมว ทะเล ภูเขา อาหารมื้ออร่อย ไปจนถึงนมผู้หญิงนั่นแหละ เชิญจินตนาการตามสะดวก ข้อแม้ก็คือระหว่างวัน ถ้ารู้สึกว่า โอ้โห ท้ออีกแล้ว ไม่อยากกินยาเลย หรือไม่อยากพาตัวเองไปออกกำลังกายเลย ให้นึกถึงสิ่งที่ดีต่อใจขึ้นมาอีกครั้ง รวมถึงนึกถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจกับตัวเองไปด้วย เช่น โมเมนท์ตอนวันรับปริญญาที่เราเรารู้สึกว่า เฮ้ย กูเรียนจบแล้วนะ! โมเมนท์ที่เอาเงินเดือนก้อนแรกให้แม่ หรือโมเมนท์ที่หาแฟนคนแรกเป็นตัวเป็นตนได้สำเร็จ การทดลองนี้ดำเนินไประยะหนึ่ง แล้วผลการทดลองก็ปรากฏว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเรื้อรังกลุ่มที่คิดถึงภาพที่ดีต่อใจตอนเช้าร้อยละ 55 เพิ่มพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพตัวเอง
ในวันที่วงการคราฟต์เบียร์ไทยคึกคักมากขึ้น ๆ เรามีเบียร์ข้าวเหนียวมะม่วง เบียร์มะพร้าว และอีกหลาย ๆ เบียร์ กระแสการทำเบียร์จากทั่วโลกก็ก้าวไปไกลจนเรียกว่ามีส่วนผสมของแทบทุกอย่างมาทำเบียร์กันแล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรากำลังจะบอกว่านี่คือโปรเจคต์”from piss to pilsner” จากฉี่สู่เบียร์ ! เออ ใช้ฉี่ ทำเบียร์นี่แหละ! เพื่อลดปริมาณทรัพยากรอื่น ๆ ที่ใช้ในการผลิตเบียร์ลง แนวความคิดสุดรักษ์โลกด้วย เมาด้วยนี้จะเป็นอย่างไร อย่าเพิ่งตัดสินด้วยความอี๋ที่คุณคิดเอง ไปอ่านรายละเอียดพร้อม ๆ กันก่อน ก่อนจะเบือนหน้าหนี นี่ไม่ใช่แค่ความบ้าบิ่นที่อยู่ ๆ นึกจะหยิบจับอะไรมาทำเป็นเบียร์เลยอย่างที่เราคิด แต่ภายใต้ความพิลึกพิลั่นนี้ มาจากเจตนาที่ดีที่โฟกัสไปที่ความยั่งยืนทางการเกษตร ไม่ใช่อยู่ ๆ จะเป็นฉี่ที่ไหนก็ได้ เทใส่ขวดแล้วจบ กินเลย แต่มันมีกระบวนการของมันที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด โปรเจคต์นี้เกิดขึ้นจาก The Danish Agriculture & Food Council ซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐที่รวบรวมหลาย หน่วยงานในอุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารของเดนมาร์กเข้าด้วยกัน ซึ่งอุตสาหกรรม การเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก และยังมี Nørrebro Bryghus, Nordic craft
ใคร ๆ ก็รู้ว่าการออกกำลังกายนั้นดีต่อร่างกาย ดีต่ออารมณ์ หรือแม้กระทั่งดีต่อการจัดระบบระเบียบนิสัยของตัวเราเองในระยะยาว แต่รู้ขนาดนี้ เราก็ยังอิดออดหาข้ออ้างในการไม่ออกกำลังกายอยู่ร่ำไป จะเกิดอะไรขึ้นถ้าการออกกำลังกายส่งผลต่อขนาดของสมองเราด้วย? นี่เป็นเหตุผลมากพอให้เราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอได้แล้วหรือยัง? งานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Neurology เปิดเผยว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายช่วยวัยมีแนวโน้มที่จะมีขนาดสมองที่เล็กกว่าคนที่ออกกำลังกาย งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,583 คน โดยมีทั้งเพศหญิงและเพศชายที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อมหรือโรคหัวใจ กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้จะถูกบันทึกพฤติกรรมการออกกำลัง จากนั้น 20 ปีต่อมา กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ก็ทำการทดสอบด้านการออกกำลังอีกครั้ง รวมถึงมีการสแกนสมองด้วย ผลการทดสอบพบว่าคนกลุ่มที่ออกกำลังกายน้อยกว่า (โดยวัดเอาจากอัตราการเต้นของหัวใจจากการออกกำลังกายในการทดสอบครั้งล่าสุด) พบว่ามีแนวโน้มที่จะมีขนาดของสมองที่เล็กมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ออกกำลังกายมากกว่า รวมถึงคนที่มีความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงในขณะที่ออกกำลังกาย ก็มีแนวโน้มที่จะมีขนาดของสมองเล็กตามไปด้วย นั่นเป็นเพราะว่าความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงบ่งบอกว่าขาดการออกกำลังกาย ไม่เพียงเท่านั้นการออกกำลังกายยังมีส่วนช่วยในเรื่องความจำ และลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย การออกกำลังกายจึงไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย มีแต่ได้กับได้ แถมช่วยเพิ่มขนาดของสมองด้วย ดีขนาดนี้ก็อย่ารอช้าอยู่เลย ไป ไปออกกำลังกายกันเถอะ! SOURCE
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งค่านิยมนี้ขึ้นมาว่าต้องหล่อเท่านั้นถึงจะครองใจสาว ๆ เป็นเพราะผู้ชายอย่างเราคิดกันไปเอง หรือเพราะสาว ๆ ทำให้รู้สึกอย่างนั้นกันจริง ๆ ก็ไม่อาจรู้ได้ แม้ในไทยเราจะมีสำนวนคอยปลอบใจว่า “คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง” ให้ผู้ชายที่ไม่ได้หล่อเป๊ะ แต่คารมดีพอจะใจชื้นอยู่บ้าง แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันมีงานวิจัยมาช่วยยืนยันว่า เฮ้ย ก็ไม่ต้องหล่อเวอร์อะไรขนาดนั้น ผู้หญิงเขาก็มองอย่างอื่นบ้างเหมือนกันนะ Creating beauty: creativity compensates for low physical attractiveness when individuals assess the attractiveness of social and romantic partners คือชื่องานวิจัยยาวเหยียดที่ทำการวิจัยโดย Christopher D. Watkins บอกกับผู้ชายที่ไม่ได้มีความหล่อเป็นจุดขายว่าเราสามารถดูน่าสนใจในสายตาสาว ๆ ได้ถ้าเราพูดถึงด้านสร้างสรรค์ ๆ ในตัวเรา งานวิจัยครั้งนี้ให้กลุ่มตัวอย่างดูรูปคนจำนวนมาก แล้วให้คะแนนความดึงดูดใจ จากนั้นเขาลองเพิ่มรายละเอียดลงไปให้คนคนนั้นดูเป็นคนที่มีความสร้างสรรค์ แล้วให้กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนความดึงดูดใจ น่าเข้าใกล้ ใหม่อีกครั้ง ผลปรากฏว่าคะแนนความดึงดูดของแต่ละคนเพิ่มขึ้น หากพบว่าคนคนนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นคนสร้างสรรค์ เป็นคนคูล ๆ จากผู้ชายที่ได้คะแนนความดึงดูดตอนแรกในระดับกลาง