“ความรักต้องมี 2 คนเท่านั้น”ถามหนุ่ม ๆ (และไม่ว่าเพศไหน) 100 คน ก็เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยคนนั้นเห็นด้วยกับประโยคนี้แบบปราศจากข้อกังขาทั้งนั้น เพราะขึ้นชื่อว่าความรักความสัมพันธ์ หัวเด็ดตีนขาดก็ต้องรักเดียวใจเดียวสิวะ! เพราะเมื่อไรที่รักงอกจากสอง เป็นสาม เป็นสี่ เป็นห้า ก็เห็นจบไม่สวยสักราย แต่ถ้าเรากำลังจะบอกคุณว่าความรัก ความสัมพันธ์มันอาจไม่ต้องมี 2 คนก็ได้ คุณจะว่ายังไง? อย่าเพิ่งหัวร้อน อย่าเพิ่งเปิดปากพร้อมปะทะคารม UNLOCKMEN ชวนคุณมาเปิดใจทำความรู้จัก POLYAMORY ความรักความสัมพันธ์ที่ว่ากันว่าเข้าใจธรรมชาติของความรักอันมหาศาล และเหมาะกับคนที่มองว่ารักไม่จำเป็นต้องมีแค่ 2 แต่อาจ 3 4 5 หรือจะ 20 ก็ได้ (ถ้าทุกฝ่ายโอเค) POLYAMORY ไม่ได้แปลว่ามั่ว (และไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเปิด) สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจเรื่อง POLYAMORY คือนี่ไม่ใช่การรักไปทั่ว หรืออยากเสพซ่านกับใครก็ได้ ดังนั้นใครที่คิดว่าจู่ ๆ จะเดินไปบอกกับคนที่เรารักว่าคุณแฟนครับ ผมเป็น POLYAMORY ดังนั้นผมจะรักใครก็ได้ นอนกับใครก็ได้ จะไปซาบซ่านเสียวสยิวรัว ๆ ทั่วถึงทั้งโลก แบบนี้ไม่ได้!
แค่เป็นคนเหงามันก็โคตรเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งพออยู่แล้ว ยิ่งเราเหงามากเราก็ยิ่งมักจะตั้งคำถามล้อกับความว้าเหว่ตัวเองมากขึ้นว่า เฮ้ย นี่กูจะเหงาจนตายจากโลกนี้ไปเลยได้หรือเปล่าวะ? แม้จะเป็นคำถามที่ถามตัวเองระหว่างสูบบุหรี่เล่น ๆ มวน สองมวน ไว้ตลกร้ายกับตัวเองเบา ๆ แต่ใครจะรู้ว่าคำถามนี้มันจริงจังขึ้นมา “เฮ้ย นี่กูเหงาจนตายจากโลกนี้ไปเลยได้หรือเปล่าวะ?” คำตอบคือ ใช่ เรามีความเสี่ยงทางสุขภาพได้จริง ๆ จากความเหงา เพราะความเหงาทำร้ายสุขภาพได้เท่า ๆ กับการสูบบุหรี่วันละ 15 มวน! บอกเลยว่าประเด็นเรื่องความเหงาทำร้ายมนุษย์ได้ ไม่ได้เป็นแค่ประเด็นทางจิตวิทยาอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นประเด็นปัญหาทางการแพทย์ที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยทศวรรษที่ผ่านมาทั้งบรรดานักวิจัยทั้งหลายก็แห่กันมาศึกษาเรื่องความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมที่มีผลกระทบเชิงลึกต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และการตายของมนุษย์ อย่าเพิ่งช็อคจนหมดลมหายใจไปตอนนี้ เพราะนอกจากเราจะเป็นคนเหงาแล้วเรายังเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ไวกว่าคนไม่เหงาอีกด้วย (บอกแล้วอย่าเพิ่งช็อคตาย เดี๋ยวก็ได้ไปไวกว่าคนไม่เหงาแล้ว ) งานวิจัยเกี่ยวกับความเหงาที่ UNLOCKMEN จะเอามาพูดถึงวันนี้คืองานวิจัยจาก Brigham Young University ที่เขาไม่ได้ศึกษาแบบไก่กา แต่ศึกษายาวนานกว่าอายุคนเหงาบางคนเสียอีก เพราะเขาศึกษาเป็นเวลากว่า 34 ปี โดยศึกษาตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 1980 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 ผลการศึกษาก็ออกมาว่าความเหงานี่แม่งอันตรายกว่าที่คิดเพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงสุดถึง 60% แถมความเหงายังอาจเป็นปัจจัยทางสุขภาพที่สำคัญยิ่งกว่าการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
ถ้าทุกครั้งที่มีช่องว่างให้กรอกว่าความสามารถพิเศษของเราคืออะไร แล้วในหัวมีแต่ความงุนงงว่างเปล่าไม่รู้จะเติมอะไรลงไป จนต้องฮัมเพลง “ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ”กับตัวเองเบา ๆ ทุกครั้ง เราคือเพื่อนกัน เชื่อเถอะว่าบนโลกที่เรียกร้องให้ใคร ๆ ก็ต้องเก่ง ต้องพิเศษ ต้องเจ๋ง ไม่ได้มีเราคนเดียวแน่ ๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองช่างห่วยเหลือเกินที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรกับเข้าบ้างเลย แต่วันนี้ UNLOCKMEN อยากตะโกนบอกคุณว่า หยุดคิดอย่างนั้นเดี๋ยวนี้นะ! การไม่มีความสามารถพิเศษ หรือสกิลเทพที่โดดเด่นจนใครต้องเหลียวมองมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิด แถมวันนี้เรายังพกเอาเคล็ดลับหนึ่งเดียวมาฝาก ต่อให้คุณไม่มีความสามารถพิเศษใด ๆ ก็ประสบความสำเร็จได้ด้วยเคล็ดลับนี้ แม้เราจะกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะเชื่ออยู่ว่า จริงเหรอ? ไม่มีความสามารถพิเศษเด่น ๆ แต่เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นเขาได้จริง ๆ น่ะเหรอ UNLOCKMEN อยากให้คุณเปิดใจ แล้วค่อย ๆ เรียนรู้วิธีคิดนี้ไปด้วยกัน ข่าวดีอย่างแรกก็คือเราไม่ได้รู้สึกอย่างนี้อยู่คนเดียว การรู้สึกว่าฉันไม่เก่ง ฉันไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเป็นความรู้สึกที่แทบทุกคนคิด แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จ ที่สำคัญก็คือในบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมันมีน้อยคนมากที่มีความสามารถพิเศษสุดในจักรวาลแล้วประสบความสำเร็จ เพราะนอกนั้นเขาก็รวบรวมหลาย ๆ สกิลของตัวเองมาประสบความสำเร็จทั้งนั้น อาจจะยังมองไม่เห็นภาพ ลองนึกถึง Bill Gates เจ้าพ่อไมโครซอฟต์ที่คงไม่มีใครไม่รู้จัก ถามตัวเองดูสิว่า
ขึ้นชื่อว่าการเจรจาต่อรองแล้ว ไม่ว่าจะในเชิงธุรกิจที่ขับเคี่ยวกันดุเดือด หรือหน้าที่การงานที่ต้องสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด เราทุกคนล้วนแต่ต้องการเจรจาต่อรอง แลกเปลี่ยนให้ผลที่ได้ออกมาพอใจร่วมกันทุกฝ่าย โดยปกติการเจรจาต่อรองก็ย่อมต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ จะไปแบบมั่ว ๆ ไม่รู้อะไรเลยไม่ได้อยู่แล้ว แต่การเจรจาต่อรองที่ “เรามีอำนาจต่อรองน้อยกว่า” หรือรู้ทั้งรู้ว่าเราก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรไปแลกกับอีกฝ่ายมากนัก ยิ่งเป็นความท้าทายที่หลายคนเผลอถอดใจไปล่วงหน้า (ก็ดูรูปการณ์แล้ว ไม่น่าจะไปต่อรองอะไรกับเขาได้) แต่เราอยากชวนมาปลดล็อกความเข้าใจผิด ๆ เสียใหม่ อย่างน้อยก็ต้องลองสักตั้งก่อนถอดใจ แม้หลายการต่อรอง เราอาจเลี่ยงได้ แต่กับบางสถานการณ์คับขันตรงหน้าต่อให้รู้ว่าอำนาจน้อยกว่าก็ต้องกระโจนลงไปอยู่ดี ดังนั้นลองเอาวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ เพราะแม้จะไม่ได้มีอำนาจล้นมือ แต่ถ้ารู้เท่าทัน การเจรจาต่อรองให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการก็อาจไม่ยากอย่างที่คิด “ผลลัพธ์ที่ต้องการอาจไม่ได้มีแค่หนึ่ง” การเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าจะทางธุรกิจ หน้าที่การงาน หรือเรื่องไหน ๆ คือการที่เราสามารถพูดคุยไปถึงจุดที่ “เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ” หลายครั้งเมื่อเราดูมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า หรือไม่น่ามีอะไรไปแลกจนอีกฝั่งพึงพอใจได้ เราจึงมักคิดว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่เสมอ แต่จริง ๆ แล้ว การเจรจาเพื่อ “ได้ในสิ่งที่เราต้องการ” นั้นไม่ได้มีเพียงหนึ่งทาง การนึกถึงผลลัพธ์ในหลากหลายหนทาง หลาย ๆ วิธีไว้ล่วงหน้า ก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้เราเจรจาต่อรองได้ลื่นไหลมากขึ้น ถ้ามัวยึดอยู่แค่ว่าจะไปเอาผลลัพธ์นี้อยู่ผลลัพธ์เดียวและยึดติดกอดไว้ โดยไม่ทันนึกภาพผลลัพธ์อื่น ๆ ทันทีที่โดนอีกฝ่ายพลิกเกมไปทางที่เขาได้ประโยชน์ หรือเขาปฏิเสธทางที่เราเสนอไว้ เราจะตัน ไปต่อไม่ได้
การตั้งอาณานิคมใหม่นอกโลกเคยเป็นเพียงเรื่องที่เราดูผ่านภาพยนตร์ SCI-FI หรือจินตนาการเอาตอนเล่นกับเพื่อนสมัยเด็ก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อมวลมนุษยชาติเดินทางมาถึงปี 2020 เรื่องราวการย้านถิ่นฐานไปดาวอื่น ทั้งเทคโนโลยีการเดินทาง ไปจนถึงความพยายามพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยให้มนุษย์ออกไปใช้ชีวิตนอกดาวเคราะห์สีน้ำเงินก็ไม่ใช่เรื่องฝันเพ้ออีกต่อไป แม้ดาวอังคารดูจะเป็นดาวที่มนุษย์สนใจจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่มากที่สุดดาวหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง Elon Musk แถลงข่าวว่าเขาจะสร้างเมืองที่พึ่งพาตัวเองได้ 100% บนดาวอังคาร มนุษย์จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานใด ๆ จากโลก โดย Starship ยานอวกาศที่ถูกคิดค้นมาเพื่อทำภารกิจนี้จะเริ่มเดินทางราว ๆ ปี 2024 ที่กำลังจะมาถึง แต่ดวงจันทร์ก็เป็นดาวอีกดวงหนึ่งที่ NASA เห็นศักยภาพ นั่นจึงเป็นที่มาของโครงการ Artemis ภารกิจเดินทางไปกลับดวงจันทร์ของ NASA ซึ่งภารกิจนี้ไม่ใช่การเดินทางระยะสั้นต้องการการตั้งฐานแบบถาวรบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ โดยไม่ใช่แค่เพื่อปฏิบัติภารกิจการสำรวจเท่านั้น แต่ Artemis Base Camp จะเป็นรากฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจบนดวงจันทร์ในอนาคตอีกด้วย แม้ความต้องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยบนดวงจันทร์จะชัดเจน แต่โจทย์ที่ท้าทายเหล่านักบุกเบิกอวกาศคือการที่สภาพพื้นผิวดวงจันทร์นั้นไม่สามารถนำอุปกรณ์ก่อสร้าง หรือยานพาหนะหนัก ๆ ลงจอดได้เลย เครน รถบรรทุก รถถมดิน ฯลฯ ที่มีส่วนสำคัญในการก่อสร้างบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินจึงไม่อาจใช้ในการก่อสร้างบนดวงจันทร์ได้ เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์
เคยทำงานเสร็จเร็วกว่าเวลาที่มีกันไหม? ไม่ว่าจะเพราะเตรียมตัวมาดี มีประสบการณ์กับงานนี้แล้ว หรือบริหารเวลาได้มีประสิทธิภาพก็ตาม แต่เรา (และคนอื่น) มักไม่ชื่นชมคนทำงานเสร็จเร็วในแง่ดีนัก เพราะเมื่อทำงานเสร็จเร็วกว่าเวลาที่กำหนด นั่นหมายความว่าจะมีเวลาที่เหลือแล้วดูว่างหรือไม่มีอะไรทำ รวมไปถึงคนกลับบ้านตรงเวลา กับคนที่ถึงเวลาเลิกงานก็ยังไม่ยอมกลับ นั่งลุยต่อไปจนดึกดื่น คนที่ดูยุ่งขิงกับงานยันดึกดื่นค่อนคืนนั่นเองที่มักถูกมองว่าขยัน มุมานะ ฝ่าฟัน และนั่นจึงเป็นที่มาของการที่ใคร ๆ ก็อยากดูงานยุ่ง ดูมีอะไรทำตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ถูกคำครหา (ทั้งจากตัวเองและผู้อื่น) ว่าไอ้นี่ทำไมมันดูชิลจัง วัน ๆ ทำไมไม่ยุ่งเลยล่ะ? มันทำงานบ้างไหมวะเนี่ย! โดยลืมไปแล้วว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิทุกประการที่จะบริหารจัดการงานและเวลาของตัวเอง ความยุ่งจึงไม่ใช่สัญลักษณ์หรือบ่งบอกคุณภาพการทำงานได้เสมอไป แล้ววันนี้คุณยุ่งไหม? ยุ่งเพราะงานเยอะบริหารเวลาไม่ทัน หรือยุ่งเพราะอยากทำตัวยุ่ง ๆ ให้ดูมีงานทำอย่างหนัก? UNLOCKMEN อยากชวนมาสำรวจ และหาทางปรับพฤติกรรม รู้จัก Toxic Busyness เมื่อเราเสพติดความยุ่งที่ลวงตา Toxic Busyness หรือ ความยุ่งเป็นพิษ คือสภาวะที่มนุษย์เหมือนกันมุ่นอยู่กับการทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแพร่หลายในโลกยุคโมเดิร์นนี้ ไม่ใช่แค่กับการทำงานเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงกิจกรรมสารพัดสารพัน ออกกำลังกาย เรียนภาษา หัดเล่นเซิร์ฟ อ่านหนังสือ ซึ่งไม่ได้แปลว่าทั้งหมดมานี้ไม่ดีแต่อย่างใด แต่บางคนเลือกทำกิจกรรมหลายอย่างเพราะกลัวจะไม่ทันคนอื่น กลัวคนอื่นจะมองว่าเราอยู่นิ่ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ พื้นที่ข่าวทางหน้าจอโทรทัศน์ ไปยันบทสนทนาของผู้คนในชีวิตประจำวัน ณ ขณะนี้ มีเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองเป็นหนึ่งในหัวเรื่องหลักด้วยเสมอ ๆ ไม่ว่าคุณจะคือคนที่สนใจการเมืองมาก สนใจน้อย หรือไม่สนใจเลย แต่เมื่อข่าวสารบ้านเมืองไหลเร็วและพุ่งมาจากทุกทิศทุกทางก็อาจนำความตึงเครียดมาสู่จิตใจได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะถ้าคุณคือคอการเมืองตัวยง สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรายวันหรือบางครั้งไหลเร็วถึงขั้นรายชั่วโมง รายนาที การตื่นตัวและทันเหตุการณ์อยู่เสมอนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อไรก็ตามที่เริ่มรู้สึกนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ปวดหัว ไม่เป็นอันทำการทำงาน อยากติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ฯลฯ นั่นก็อาจเป็นสัญญาณเตือนให้หันมาดูแลสุขภาพจิตใจของเราแล้ว สุขภาพจิตใจของเราก็มีความหมายไม่แพ้เรื่องการเมือง UNLOCKMEN จึงอยากชวนมารับมือกับความเครียด ในห้วงเวลาที่ข่าวสารบ้านเมืองกำลังร้อนระอุเช่นนี้ แบ่งเวลาให้ความสุขของตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจคือเราไม่ต้องรอให้ใครมาอนุญาตให้เรามีความสุข เราสามารถเป็นคนที่ติดตามและตื่นตัวทางการเมืองไปพร้อม ๆ กับการมีความสุขและดูแลสุขภาพจิตตัวเองได้ โดยเฉพาะถ้าคุณคือคนที่ติดตามการเมืองอยู่เสมอ วิธีการรับมือกับความเครียดที่ดีมากอย่างหนึ่งคือการกำหนดเวลาพักให้ตัวเอง อาจจะเป็นการกำหนดว่าทุกวันอาทิตย์เราจะพัก ไม่เปิดเฟซบุ๊ก ไม่ไถทวิตเตอร์ ไม่รับข้อมูลข่าวสารใด ๆ หรืออาจจะกำหนดเวลาพักรายชั่วโมงในแต่ละวัน เช่น ทุก ๆ วันจะมีเวลา 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอนที่เราจะปิดการรับรู้ข่าวสารทุกอย่าง โดยในเวลาพักเหล่านี้หาสิ่งที่เยียวยาหัวใจตัวเองทำ ถามตัวเองว่าอะไรที่เราทำแล้วมีความสุข (แม้จะเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม) เล่นกับแมวที่บ้าน ออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะ ดูซีรีส์สืบสวนให้ตาแฉะ
ในหนึ่งชีวิตนี้เราทุกคนล้วนเคยป่วย เราอาจเคยเป็นหวัดเพราะอากาศเปลี่ยน เราอาจเคยเป็นไข้เลือดออกเพราะโดนยุงลายที่มีเชื้อกัด เราอาจเคยเป็นไมเกรนเพราะเครียดกับงานที่ทำมากเกินไป การป่วยจึงเกิดขึ้นได้กับทุกคนเป็นปกติ และอาการป่วยส่วนใหญ่รักษาให้หาย หรือหาวิธีร่วมอยู่กับอาการได้ เมื่อร่างกายป่วยได้ ก็หมายความว่าความรู้สึก จิตใจที่ผ่านการสั่งการจากสมองนั้นป่วยได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเราจะได้เจอคนที่ป่วยใจในชีวิต บางคนเป็นโรคซึมเศร้า บางคนอาจเป็นไบโพลาร์ บางคนอาจเป็นโรคเครียด ฯลฯ แต่เมื่อคนใกล้ตัว โดยเฉพาะคนที่เรารักป่วยใจ เราคงอยากรู้ว่าเราควรเข้าใจโรคซึมเศร้าแบบไหน มีอะไรที่เราต้องยอมรับบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN ชวนทำความเข้าใจไปพร้อมกัน แง่บวกมากไปไม่ช่วยอะไร เราล้วนเลือกทำอะไร พูดอะไรกับคนที่เรารัก เพราะความหวังดี โดยเฉพาะเมื่อเขาป่วย เรายิ่งรู้สึกว่าอยากไล่เมฆหมอกแห่งความอึมครึมหม่น ๆ ที่เขารู้สึกออกไปให้พ้น เราเลยเลือกโยน “ก้อนการมองแง่บวก” ใส่เขารัว ๆ ในวันที่เขาบอกความรู้สึกว่าเศร้า เราก็ดันไปบอกเขาว่าอย่าคิดมากเลย มีคนลำบากตั้งเยอะ, เศร้าทำไม ชีวิตมีสิ่งสวยงามอีกมาก แม้เราจะพยายามชวนให้เขามองโลกในแง่บวกเพราะเจตนาดี แต่อย่าลืมว่าการทำมากไป หรือบ่อยไป มันไม่ต่างจากการที่เรามองข้ามสิ่งที่เขารู้สึก หรือบอกว่าเขาผิดเองที่ไม่มองโลกในแง่บวก ดังนั้นคุณต้องอย่าลืมว่าเขาไม่ได้อยู่ ๆ อยากเศร้าหรือห่อเหี่ยวแบบนี้ แต่มันคืออาการของโรค เหมือนเวลาเป็นหวัดแล้วน้ำมูกไหล เราห้ามน้ำมูกไม่ได้ เช่นเดียวกับที่จะไปห้ามเขาเศร้าไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือการพยายามรับฟังเวลาเขาบอกว่าเขารู้สึกอะไร โดยไม่ตัดสินสิ่งที่เขารู้สึก ยืนเคียงข้างทุกเป้าหมายของเขา สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อป่วยเป็นโรคซึมเศร้าคือการขาดแรงจูงใจ
สุดสัปดาห์มาถึง พร้อมบรรยากาศวันลอยกระทงของปี 2020 ที่ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมพอดิบพอดี ถึงหลายปีที่ผ่านมาเราจะออกไปลอยหรือไม่ลอยกระทงบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้ดื่มด่ำบรรยากาศริมแม่น้ำนั้นช่วยเยียวยาหัวใจที่เหนื่อยล้าจากการงานมาทั้งสัปดาห์ได้อยู่หมัด โดยเฉพาะคืนลอยกระทงที่พระจันทร์สว่างนวล มีแสงเทียนจากกระทงวิบไหวให้เราได้ผ่อนคลาย อย่ามัวนอนอยู่บ้านเฉย ๆ ลองดู 5 บาร์ที่เราอยากชวนไปรู้จัก รับรองว่าลมแม่น้ำ แสงจันทร์สะท้อนคลื่น และกลิ่นเฉพาะของเจ้าพระยาจะช่วยปลอบโยนหัวใจและร่างกายแสนเหนื่อยล้าได้แน่นอน Samsara Bar ถ้าจะมีสักพื้นที่ในเมืองหลวงอันวุ่นวายแห่งนี้ที่เป็นเหมือนสถานที่พักใจ สถานที่ที่เวลาเดินช้าลง และทำให้เราได้อยู่กับแต่ละวินาทีตรงหน้าอย่างเต็มอิ่มที่สุด เราขอยกให้ Samsara Bar เป็นหนึ่งในสถานที่นั่น การที่ที่ตั้งบาร์ซ่อนตัวอยู่ในซอกซอยที่ต้องเดินผ่านอู่ซ่อมรถเข้ามา ยิ่งทำให้เหมือนเราได้เดินทางเข้าไปสู่อีกโลก พร้อมกับที่บรรยากาศของ Samsara Bar อยู่ชิดแม่น้ำเจ้าพระยาในระดับที่ได้ยินเสียงคลื่นแม่น้ำซัดฝั่งทุกครั้งที่เรือแล่นผ่าน ชวนให้หัวใจสงบอย่างประหลาด ที่นี่บริการเครื่องดื่มหลายประเภท รวมถึงอาหารที่พอกินแบบหอมปากหอมคอ (ถ้าไม่อิ่ม เดินไปกินต่อที่เยาวราชได้อย่างอิ่มหนำ) ที่สำคัญในร้านมีแมวคอยเดินนวยนาดเพิ่มบรรยากาศผ่อนคลาย ใครอยากลองสัมผัสบรรยากาศที่เวลาเดินช้าลง ห้ามพลาด Location: 1612 ถนน ทรงวาด แขวง สัมพันธวงศ์ เขต สัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร Open: 5.00 pm – 12.00 am
เมื่อเทศกาล Halloween วนกลับมาอีกหน ปีนี้หลายคนอาจไม่ได้ออกท่องราตรีที่ไหนเพราะกลัวคนเยอะ คนแน่น แล้วต้องกลับมากังวลเรื่อง COVID-19 การเลือกอยู่บ้าน แล้วหาหนังหลอน ๆ รับกับบรรยากาศวันปล่อยผีดูสักเรื่องหรือหลายเรื่องก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แต่หนังผีใคร ๆ ก็คงแนะนำกันบ่อยแล้ว UNLOCKMEN อยากชวนดูหนังที่ เฮ้ย ก็ไม่มีผีโผล่ออกมาหรอกนะ แต่ดูแล้วชวนหวาดหวั่น ประสาทมันสั่นกลัวสุดขีดคลั่ง รับรองว่าดูไปอดรีนาลีนหลั่งไปแน่นอน US ว่ากันว่าสิ่งที่ชวนขนพองสยองขวัญที่สุดอาจไม่ใช่ผี ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวเรานี่เอง US คือหนังที่เล่นกับความหลอนในหัวใจมนุษย์ว่าถ้าเราไม่ได้มีแค่เราเพียงคนเดียวอีกต่อไปล่ะ? ถ้ามีตัวเราอีกคน ที่รูปกายภายนอกเหมือนเราแทบทุกประการ แต่เรากลับไม่รู้ว่าลึก ๆ เราอีกคนต้องการอะไรกันแน่? และมันจะระทึกขวัญสักแค่ไหน เมื่อตัวเราอีกคนเริ่มออกมาไล่ล่าตัวเรา นอกจาก US จะทำให้ใจเต้นสั่นระรัวแล้ว ยังแฝงประเด็นให้ชวนขบคิดว่าที่เราเป็นเราทุกวันนี้มันเพราะความสามารถของเรา หรือเพราะโอกาสบางอย่างที่เราเข้าถึงได้มากกว่าคนอื่นกันแน่ และถ้าเราอีกคนเขาดันเติบโตในสภาวะแวดล้อมที่ผลักให้เขาต้องออกล่าอย่าป่าเถื่อน เรื่องราวชวนขนลุกนี้จะจบลงอย่างไร? เปิดดูในวันปล่อยผี ถึงไม่มีผีแต่มีหลอนแน่นอน Get Out ยังพาไต่ระดับความหลอนกับหนังเขย่าประสาทของผู้กำกับ Jordan Peele ถ้า US ว่าด้วยความหลอนของการมีตัวเราอีกคน Get Out ก็จะพาเราดำดิ่งไปในความหลอนของการติดอยู่ในร่างกายตัวเอง!