Hennessey Performance Engineering (HPE) ถือเป็นสำนักปรับแต่งรถที่คนรักรถยนต์หลายคนรู้จักกันดี เพราะพวกเขาเคยฝากฝีมือไว้กับการปรับจูนรถยนต์ทั้งจากค่าย Ferrari, Porsche, Chevrolet, Dodge และอีกหลายค่าย ล่าสุดพวกเขาจับรถยนต์โมเดลสุดดุดันอย่าง Jeep Gladiator มาเปลี่ยนเป็นขุมพลัง 1000 แรงม้า HPE มีประสบการณ์ปรับแต่งรถสุดแรงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Porsche Taycan, Chevrolet Camaro, Chevrolet Corvette C7 ,Ford Mustang, Dodge Charger Hellcat, McLaren 720 โดยการปรับแต่งทุกครั้ง คนรักรถทั่วโลกต่างก็ฮือฮาเพราะรูปลักษณ์และความแรงที่มีประสิทธิภาพ มารอบนี้สำนักแต่งสุดแรงร่วมมือกับ MAXIMUS และ Shell Pennzoil สร้าง Jeep Gladiator Maximus 1000 ที่มีพื้นฐานมาจาก Jeep Gladiator รุ่นปี 2020 โดยดัดแปลงรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ให้เป็นสีดำล้วน ตัวรถยกสูงกว่ารุ่นมาตรฐาน 6 นิ้วจากการอัพเกรดช่วงล่างใหม่ทั้งหมด
สังคมโลกปัจจุบันกำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ถือกำเนิดขึ้นบนโลก โดยเฉพาะเมื่อมนุษย์เริ่มนำ AI มาปฏิรูปสังคม สนับสนุนการใช้เหตุผล หรือส่งเสริมความรู้สารพัดด้าน แทบปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในโลกดิจิทัล การทำงาน หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันของผู้ชายเรา ไม่ว่าจะเป็น AI ออกแบบเว็บไซต์, AI ด้านกฎหมาย, AI ที่สร้างเนื้อหาการตลาดออนไลน์ หรือแม้แต่ AI ในรูปแบบเสียงอย่าง Siri ของ Apple ที่หนุ่ม ๆ คุ้นเคยดี ด้วย Deep Learning ที่เป็นความสามารถหลักทำให้ AI คิด วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยให้มนุษย์อย่างเราใช้ชีวิตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความชาญฉลาดสุดทึ่งของสมองกลยังช่วยสาวบริสุทธิ์ ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ให้พ้นจากอันตรายได้อย่างไม่น่าเชื่อ MOLLY สาวบริสุทธิ์ที่ถูกทำร้าย Molly เป็นสาวเอสคอร์ต (Escort) ที่ได้รับฉายาว่า “New Bunny” แห่งเมืองแอตแลนตาในรัฐจอร์เจียของสหรัฐฯ เธอแสดงเปลื้องผ้าเพื่อสร้างความสุขทางเพศให้กับผู้ชายมานักต่อนัก แต่ใต้ฉากหลังของการแสดงวาบหวิวบนเว็บไซต์ลามก
ทิ้งท้ายตุลาคมกันด้วยมวลมหาความสุขที่คืนกลับมาให้ชาวร็อก เพราะสองวงระดับตำนานประกาศจะคืนวงการในเวลาใกล้กันติด ๆ เริ่มจากราชาป๊อปพังก์อย่าง My Chemical Romance ปลุกพลังอีโมวัยรุ่นยุค 2000 ให้กลับมาผงาดอีกครั้ง จากนั้นก็ตามมาด้วยเจ้าพ่อแรปเมทัลอย่าง Rage Against The Machine วงดนตรีแห่งอุดมการณ์ที่ด่ารัฐบาล และต่อต้านระบบทุนนิยม ที่ขึ้นแสดงบนเวทีเป็นครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี 2011 วันนี้เราเลยจะมาย้อนเหตุการณ์เหล่านั้น ให้คอเพลงทุกคนได้ทบทวนไปพร้อม ๆ กันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับวงการเพลงร็อกในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา! การกลับมาของ My Chemical Romance วันที่ 30 ตุลาคม จู่ ๆ ทาง Official ของวง My Chemical Romance ก็ประกาศว่าวงจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากแยกย้ายกันไปตั้งแต่ปี 2013 แต่นี่ไม่ใช่การประกาศอัลบั้ม แต่เป็นการประกาศโชว์ ‘My Chemical Romance Return’ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 20 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ณ ลอสแอนเจลิส ต่อมาในวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเปิดขายบัตร
ข่าวปลด CEO ของ McDonald แบบฟ้าผ่า เพราะเขาดันไปมีความสัมพันธ์กับพนักงาน (consensual relationship) แม้ว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเขาจะเคยสร้างผลงานดี ๆ ไว้มากมาย ทั้งการนำระบบดิจิทัลมาใช้งานและเพิ่มคุณภาพวัตถุดิบผลิตอาหารจนได้รับการยอมรับ แต่ก็ไม่อาจกู้ตำแหน่งไว้ได้ ส้มจึงหล่นไปเป็นของ Chris Kempczinski ในเมื่อนี่กลายเป็นปัญหาที่ทำให้สื่อระดับโลกหลายเจ้าเลือกมาเล่น ทั้ง Bloomberg, TIME, CBS ฯลฯ หรือกับสื่อไทยเองก็ยังต้องพูดถึงเช่นกัน UNLOCKMEN จึงอาสาหาเหตุผลที่ทำให้ Steve Easterbrook เลือกเทใจให้คนในออฟฟิศ แทนประชากรจำนวนหลายพันล้านคนบนโลกที่อยู่นอกออฟฟิศเขา จากหลักจิตวิทยาที่มาแบ่งปันให้คุณคิดตามว่า…จริงไหมที่เราสามารถหลงรักเพื่อนร่วมงานได้ง่าย ๆ ? WORK RELATIONSHIP ทำไมเราถึงต้องหวั่นไหวกับเพื่อนร่วมงาน ก่อนอื่นต้องยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญเพราะมีผลการศึกษาทางจิตวิทยาบอกว่าคนเรามีแนวโน้มเผลอใจให้คนที่ทำงานได้ ถึงจะเจอกฎเหล็กบริษัทก็พร้อมจะแหกมันให้ได้ จากเหตุผลเหล่านี้ “1,680 ชั่วโมงต่อปี คือเวลาขั้นต่ำที่เราใช้ร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน ก็เป็นธรรมดาที่เราจะใช้เวลาร่วมกับพวกเขามากกว่าคนอื่น ๆ” – CEO และผู้ก่อตั้งแอปฯ รักษาสุขภาพจิต ‘Remente’ กล่าว มีคำกล่าวว่าเราใช้เวลา 200 ชั่วโมงเพื่อสร้างมิตรแท้กับใครสักคน ดังนั้น
“คนเราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้” เป็นประโยคคลาสสิกที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กจนโต จริงอยู่ว่าคนตายเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ ทรัพย์สินเงินทองที่เคยหามาได้ก็ต้องกองเอาไว้ที่เดิม แต่สำหรับคนตายบางคน ไม่ได้เป็นแบบนั้น ต่อให้สิ้นลมหายใจคุณก็ปล้นสมบัติของเขาไปไม่หมด เพราะพวกเขาดันมีรายได้หลักล้านเข้ามาไม่ขาดสายน่ะสิ! ล่าสุด Forbes นิตยสารอันดับ 1 ด้านธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกา (ที่ปัจจุบันกลายเป็นเว็บไซต์นักจัดอันดับมือหนึ่งของโลกไปเสียแล้ว) ก็ได้อัปเดตรายได้ประจำปีของ ‘คนดังผู้ล่วงลับ’ พวกเขาเหล่านี้แม้จะลาจากโลกไปนาน แต่ผลงานต่าง ๆ ยังคงถูกสิ่งที่เรียกว่า ‘ลิขสิทธิ์’ ช่วยรักษาผลประกอบการที่พึงได้ในแต่ละปีไว้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งอันดับ 1 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ราชาเพลงป๊อป Michael Jackson นั่นเอง วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมารายงาน Top 5 ห้าอันดับแรกของตำแหน่งเจ้าของรายได้ ที่ความตายก็ไม่อาจพรากเงินทองของเขาไป ส่วนพวกเขาทำรายได้ไปเท่าไหร่บ้างในรอบปีนี้ไปดูพร้อมกันเลย No.5 BOB MARLEY $20 Million ราชาเพลงเร็กเก้ผู้ล่วงลับไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 ด้วยโรคมะเร็ง ในรอบปีที่ผ่านมาเขาทำเงินได้มากถึง 20 ล้านดอลลาร์ หรือ 600 ล้านบาทไทยเลย นอกจากยอดสตรีมมิง เพลงเขาของยังสูงลิ่วถึงหลักพันล้านในสหรัฐอเมริกาแล้ว ไม่รวมสินค้าต่าง
เมื่อพูดถึงเกมและนักสร้างเกมปัจจุบัน ชื่อที่ถูกพูดถึงคงหนีไม่พ้นนักสร้างเกมสัญชาติญี่ปุ่น Kojima Hideo ที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกเขาว่า ‘เทพโคจิมะ’ เพราะเกมที่เขาสร้างส่วนใหญ่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ เนื้อเรื่องที่ซับซ้อนหักมุมไปมา บทพูดน่าประทับใจของตัวละครที่ชวนคิด คล้ายกับว่าเกมของโคจิมะเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่น่าติดตามจนจบ ล่าสุดเขาเริ่มสร้างสรรค์ผลงานที่ทำให้เกมเมอร์ต่างเฝ้ารอสัมผัสด้วยตัวเองอย่าง Death Stranding ซึ่งใช้เวลาสร้างนานกว่า 3 ปี หลังจากบรรดาแฟน ๆ ถูกทิ้งให้ปวดหัวกับปริศนาที่โคจิมะทิ้งไว้ในตัวอย่างเกมและบทสัมภาษณ์ เรื่องราวของ Death Stranding เป็นเกมที่ว่าด้วยอะไรก็ไม่รู้ (ความตั้งใจของโคจิมะที่ทำให้คนเดาไม่ได้ว่าเนื้อเรื่องจะไปในทิศทางไหนจนกว่าจะได้เล่นจริง ๆ) มุมมองภายในเกม เล่าเรื่องราวผ่าน Sam Porter Bridges รับบทโดย Norman Reedus หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเขาจากซีรีส์เรื่อง The Walking Dead แต่ในเกมเขาจะสลัดบทบาทจากโลกซอมบี้ ลายเป็นชายผู้ทำหน้าที่ขนส่งสิ่งของและช่วยเหลือผู้คนตามเมืองต่าง ๆ หลังจากการล่มสลายของโลก ความมึนงงเดาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องไม่ได้ ทำให้ใคร ๆ ต่างตั้งคำถามกับทีมงานและโคจิมะว่าตกลงแล้วเนื้อเรื่องของเกมคืออะไรกันแน่ ? โคจิมะก็เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเกม Death Stranding มีเส้นเรื่องหลักเกี่ยวกับ “ชีวิตและความตาย” (คำตอบของเขาก็ไม่ทำให้เรารู้เนื้อเรื่องมากขึ้นเท่าไหร่อยู่ดี) ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่ท้าทายความสามารถของผู้เล่นด้วยอุปสรรคต่าง ๆ
อย่างที่หนุ่ม ๆ ผู้ชื่นชอบรองเท้าต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า Nike Air Force 1 ถือเป็นสนีกเกอร์โมเดลสุดคลาสสิกที่ใส่ได้ตลอดกาล ส่วนแรปเปอร์ผิวสีชื่อดังอย่าง Travis Scott ก็เคยมีผลงานร่วมกับ Nike มาแล้วหลายต่อหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบบนสนีกเกอร์โมเดล Air Jordan 1, Air Jordan 1 Low, Air Jordan 4, Air Jordan 6 และ Air Force 1s ออกมาให้ชมกันไปแล้วมากมาย ล่าสุดแรปเปอร์หนุ่มก็ยังไม่หยุดสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ บนสนีกเกอร์ หยิบโมเดลรุ่นเก๋า Nike Air Force 1 รองเท้าบาสฯ รุ่นแรกของ Nike ที่มีเทคโนโลยี Air มาเติมเต็มจินตนาการและสร้างความสนุกสนานบนสนีกเกอร์ของเขา Nike Air Force 1 ของ Travis Scott มีชื่อว่า
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตนกำลังใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจขาลงที่ขัดกับค่าครองชีพที่ทะยานสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทุ่มเทกับการทำงาน และหวังว่าสักวันสิ่งที่ทำมาอย่างเหน็ดเหนื่อยจะสร้างความก้าวหน้าและมั่นคงให้กับชีวิตได้ เมื่อระบบทุนนิยมบีบบังคับจนเราไม่สามารถบริหารเวลาได้อย่างเหมาะสม แนวคิดเรื่อง Work-Life Balance ก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในสังคมและมีอิทธิพลกับชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น Work-Life Balance เป็นแนวคิดที่ไม่ได้มุ่งเน้นให้ทำงานหนักอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่ได้อยากให้พักผ่อนสบายเกินจนหลงลืมหน้าที่การงาน หากตอกย้ำวิถีการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลางที่ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป ซึ่งมันผนวกเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี แทบไม่อยากเชื่อว่าแบ่งเวลาทำงานและใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสมดุล จะเพิ่มประสิทธิภาพของคนและประสิทธิผลของงานได้จริง แต่บริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) ในญี่ปุ่นพิสูจน์แล้วว่า การทำงาน 4 วัน และหยุด 3 วัน นั้นมีศักยภาพมากกว่าการทำงาน 5 วัน และหยุด 2 วันเสียอีก! บริษัทไมโครซอฟต์ในประเทศญี่ปุ่นจัดแคมเปญ “Work Life Choice Challenge 2019 Summer” เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโดยเพิ่มวันหยุดให้กับพนักงาน 2,300 คน จากที่เคยหยุดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เปลี่ยนมาเป็นหยุดทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ของเดือนแทน แถมยังให้พนักงานทำงานเต็มเวลาและจ่ายค่าจ้างเท่าเดิมตามปกติ นอกจากจะกำหนดระยะเวลาการประชุมสูงสุดไว้ที่ 30 นาที ยังตัดการประชุมใหญ่ ๆ ให้สั้นลง และเลือกประชุมด้วยข้อความอิเล็กทรอนิกส์แทนตัวบุคคล
ภาพยนตร์ระทึกขวัญสั่นประสาทถือเป็นหนังที่ครองใจคนหลายกลุ่มมาอย่างยาวนาน เพราะความตื่นเต้น ฉากนองเลือด ดนตรีประกอบชวนขนลุก ทั้งหมดเร้าอารมณ์ให้ลุ้นและสนุกสนานไปกับการเล่าเรื่องของผู้กำกับ แต่กว่าจะมีภาพยนตร์สยองขวัญที่หลากหลายมาให้เราเลือกดูได้อย่างทุกวันนี้ วงการหนังสยองขวัญก็ต้องผ่านช่วงเวลายากลำบากเพราะกฎข้อบังคับมากมายที่บั่นทอนความสยองขวัญให้ลดลงจนแทบหมดอารมณ์ UNLOCKMEN จะมาเล่าถึงภาพยนตร์สยองขวัญจากปี 1960 ที่แหกกฎของวงการฮอลลีวูด สร้างหนังที่จะปฏิวัติวงการภาพยนตร์ให้ทันสมัย กับการกล้าได้กล้าเสียของผู้กำกับจนทำให้ Phycho กลายเป็นหนังทริลเลอร์ในตำนานที่เหล่าผู้ชื่นชอบความระทึกจะต้องรู้จัก พล็อตหนังคลาสสิกที่โด่งดังด้วยการเล่าเรื่องแหวกทุกข้อห้าม ก่อนที่วงการฮอลลีวูดจะก้าวเข้าสู่ความทันสมัยเหมือนอย่างปัจจุบันนั้นใช้เวลายาวนานพอสมควร เพราะอุปสรรคทางเทคโนโลยี ปัญหาเรื่องความเหมาะสม และค่านิยมตามยุคสมัยเป็นตัวชี้วัดว่าหนังที่สร้างออกจากจะดำเนินไปทิศทางไหน วงการฮอลลีวูดช่วงยุค 40-50 เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยข้อห้ามมากมาย เช่น ห้ามมีฉากโป๊เปลือยเกินพอดี ห้ามสื่ออะไรที่ผิดศีลธรรม ห้ามโหดเลือดสาดชวนให้อาเจียนมากเกินไป ทุกอย่างที่ไม่เหมาะสมจะต้องถูกเซนเซอร์ และห้ามแม้กระทั่งไม่ควรมีโถส้วมอยู่ในภาพยนตร์ เหล่าคนทำหนังช่วงเวลานั้นต่างก็เข้าใจพร้อมทำตามกฎกันเป็นอย่างดี จนมาถึงวันที่ความแตกต่างมาถึง เมื่อภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง Psycho (1960) เข้าฉายครั้งแรกและเปลี่ยนค่านิยมของการทำหนังให้กับวงการฮอลลีวูดไปตลอดกาล Psycho (1960) เป็นภาพยนตร์สุดหลอนที่สร้างจากนวนิยายของ Robert Bloch เรื่องราวของ Marion Crane (Janet Leigh) เลขาสาวสวยที่ตัดสินใจขโมยเงิน 40,000 ดอลลาร์ (ถ้าเทียบกับปัจจุบันมีมูลค่าราว 330,000 ดอลลาร์ หรือกว่าสิบล้านบาทเลยทีเดียว) ของเจ้านายแล้วหนีไปยังเมืองอื่น ระหว่างทางเธอต้องเข้าพักในโมเตลเล็ก ๆ
เราเชื่อว่าผู้ชายแทบทุกคนคงต้องมีสิ่งของสักอย่างที่รัก หวง และหลงใหลคลั่งไคล้จนแทบอยากเก็บบูชาเอาไว้บนหิ้ง แต่ถ้านั่งนับนิ้วดูดี ๆ จะรู้ว่าในบรรดาของสะสมทั้งหมด มีไม่กี่อย่างที่มอบทั้งคุณค่าและมูลค่าให้กับเราในเวลาเดียวกัน แล้ว ‘นาฬิกา’ ก็คงเป็นหนึ่งในสิ่งของไม่กี่อย่างที่ว่านั้น เพราะนอกจากจะมีมูลค่าตามราคาแล้ว นาฬิกายังมีคุณค่าพิเศษบางอย่างในสายตาของนักสะสมที่หลงรักมันเสียยิ่งกว่าอะไร ถึงจะรู้ว่าการเก็บสะสมของสักชิ้นต้องเกิดจากความหลงใหล แต่ความหลงใหลจะพาใครสักคนเดินไปได้ไกลขนาดไหนกัน? เราเลือกเก็บคำถามนี้ไว้ในหัว ก่อนจะเดินไปคุยกับ “ตุ้ย อัฐวุฒิ” ชายที่ใช้ความหลงใหลเป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมนาฬิกา และความหลงใหลที่ว่าก็พาเขามาไกลจนถึงขั้นเก็บรวบรวมนาฬิกาหายากไว้กว่า 100 เรือน ผศ.ดร. อัฐวุฒิ ปภังกร หรือ คุณตุ้ย เป็นหนึ่งในนักสะสมนาฬิกาตัวยง ที่ควบตำแหน่งที่ปรึกษาด้านบัญชีและอาจารย์ในระดับอุดมศึกษา เขาชื่นชอบนาฬิกาตั้งแต่อายุ 16-17 ปี จากนั้นก็เริ่มฝันว่าอยากมีนาฬิกาดี ๆ ใส่สักเรือน เพราะเชื่อว่านาฬิกาบ่งบอกความเท่ สะท้อนตัวตน และช่วยเสริมบุคลิกภาพของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี คุณตุ้ยจึงเก็บสะสมนาฬิกาเรือนที่ชอบมาเรื่อย ๆ จากนั้นวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ล่วงเลยมากว่า 20 ปี แต่ความหลงใหลในนาฬิกาของเขาก็ยังหมุนวนรอบหน้าปัดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เหมือนเข็มวินาทีที่ไม่เคยหยุดเดิน “นาฬิกาไม่ใช่แค่เครื่องบอกเวลา ผมว่ามันมีคุณค่ามากกว่านั้น” ผมคิดว่าของสะสมสำหรับผู้ชายส่วนใหญ่มีแค่สองอย่าง หนึ่งคือรถยนต์ สองคือนาฬิกา แล้วสมัยวัยรุ่นการถือเงินสดมันก็ร้อน มันร้อนมือจนเราอยากเอาไปใช้ซื้ออะไรสักอย่าง แต่ถ้าเอาไปซื้อรถก็คงยังไม่มีปัญญาและถ้าซื้อมาก็ไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหนไม่ให้พ่อแม่รู้ แต่นาฬิกานั้นไม่เหมือนรถ ผมสามารถซื้อนาฬิกาจำนวนมากเก็บไว้ที่บ้านได้โดยไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น