สองแบรนด์สเก็ตบอร์ต Vans และ Supreme โคจรกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง โดยพวกเขาเตรียมปล่อยคอลเลกชัน Fall/Winter ประจำปี 2019 ออกมาร่วมกันนำทีมโดยรองเท้าโมเดลสุดเก๋าอย่าง SK8-Hi Pros และลวดลายกราฟิกที่เคยใช้ใน FW14 หลังทั้งสองค่ายปล่อยคอลแลปส์คอลเลกชันชุดล่าสุดของตัวเองเรียบร้อย โดย Supreme ร่วมคอลแลปส์กับ Nike SB Dunk Low ส่ในขณะที่ Vans Fox Racing ก็ร่วมกับ Honda เปิดตัวคอลเลกชันไปได้ไม่นาน แต่ทั้งสองยังเดินหน้าเขย่าวงการอย่างต่อเนื่องด้วยการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง หลังร่วมงานกันในคอลเลกชัน Spring/Summer 19 ซึ่งคราวนั้นเลือกรองเท้าโมเดล SK8-Hi ที่มาในอาร์ตเวิร์กของศิลปินชาวญี่ปุ่น Sekintani La norihiro แต่ในคอลเลกชันล่าสุดพวกเขาเลือกใช้โมเดล SK8-Hi Pros มาละเลงไอเดียแทน SK8-Hi Pros ในคอลเลกชัน Supreme x Vans ประกอบไปด้วยรองเท้า 3 สีได้แก่ Elegant Black, Navy/Yellow และ
หลังจากที่คอลเลกชันนาฬิกา Neo-Tokyo ทั้ง 4 เรือนเพิ่งปล่อยออกมาหมาด ๆ G-SHOCK ก็ไม่รอช้า เตรียมคอลแลปส์โมเดลนาฬิกากับ Herschel Supply Co. แบรนด์แฟชั่นยอดฮิตระดับโลก การผสมผสานที่ลงตัวของสองแบรนด์นี้เกิดเป็นเรือนเวลารุ่น ‘Herschel G-Lide’ ที่ถอดแบบความแข็งแกร่งของกองทัพสหรัฐฯ มาได้อย่างแยบยล Herschel นำโมเดลยอดนิยมในหมู่นักโต้คลื่น นักกีฬา และผู้ชายสายสตรีตอย่าง G-SHOCK GLX5600-1 มาเป็นต้นแบบและต่อยอดงานดีไซน์ให้มีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น นาฬิการุ่นนี้โดดเด่นด้วยหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเหลืองอ่อนจากกระจก mineral ที่ผนวกความเท่แบบย้อนยุคและความทันสมัยเข้าด้วยกัน ตัวบอดี้และสายรัดข้อมือของ Herschel G-Lide ห่อหุ้มด้วยเคสเรซิ่นแบบด้านสีเขียวมะกอก สะท้อนกลิ่นอายของเหล่าทหารผู้กล้า พร้อมสลักโลโก้ Herschel Supply ไว้ที่สายนาฬิกา ไฮไลต์ของนาฬิการุ่นนี้คือฝาหลังที่ใช้สเตนเลสสตีลสลักว่า “YOU CAN SURF LATER” ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของทหารอเมริกัน เพราะเป็นประโยคที่มักจะสลักไว้บนซิปโป้ เพื่อให้เหล่าทหารรู้สึกว่าไฟแช็กของพวกเขาเป็นเหมือนเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มอบกำลังใจให้พวกเขาทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงโดยสวัสดิภาพ Herschel G-Lide ยังคงเอกลักษณ์ของฟังก์ชันนาฬิกาจาก G-SHOCK ที่สามารถกันกระแทกและกันน้ำลึก 200 เมตร ใช้เทคโนโลยี Electroluminescent Backlight
ปัจจุบันสมาร์ตโฟนกลายเป็นไอเทมคู่กายของคนส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว คู่กายจนบางคนกล้าพูดว่ามือถือของตัวเองเปรียบเหมือนมือที่สามของร่างกายก็ว่าได้ ด้วยความสำคัญของสมาร์ตโฟนในยุคปัจจุบันทำให้มีบริษัทจำนวนไม่น้อยเล็งเห็นความสำคัญของเคสใส่โทรศัพท์และขยันออกลายสวย ๆ มาแข่งให้คนซื้อกันแล้ว ซึ่งตอนนี้มีแบรนด์กล้องแบรนด์หนึ่งไม่ยอมน้อยหน้า ขอบุกตลาดเคสสำหรับมือถือแล้วด้วยเช่นกัน หลาย ๆ คนคงจะรู้จัก Kodak บริษัทชื่อดังสัญชาติอเมริกันที่อยู่ในวงการถ่ายภาพกันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทกล้องฟิล์มที่โด่งดังของแบรนด์ทำให้ขึ้นแท่นยอดขายกล้องฟิล์มในศตวรรษที่ 20 หลังจากนั้นก็ถูกศาลสั่งฟ้องล้มละลายในปี 2012 ถือเป็นบริษัทที่พวกเราทันทั้งยุครุ่งเรืองก้าวสู่จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดไปพร้อมกัน เรื่องราวหลังล้มละลายจากปี 2012 ที่บางคนอาจไม่ได้ตามกันต่อ คือ Kodak ปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ บริษัทขนาดใหญ่ได้กลายเป็นบริษัทที่ไซซ์เล็กลงและเริ่มมองหาลู่ทางในตลาดใหม่ ทั้งตลาดสมาร์ตโฟนไปจนถึงเคสกันรอยและหันมาจับมือกับบริษัทที่อยู่ในวงการมาก่อนอย่าง Case Mate Case Mate เป็นใคร ทำไม Kodak ถึงอยากจับมือด้วยนัก? Case Mate เป็นแบรนด์ผลิตเคสสำหรับสมาร์ตโฟนที่โด่งดังไปทั่วโลก จุดเด่นคือวัสดุพรีเมียมทั้งคริสตัลแท้ไปจนถึงโลหะต่าง ๆ เพื่อเน้นถึงความแข็งแรงของเคส ในด้านดีไซน์ที่แปลกตาบ้างก็เอาไข่มุกมาประดับเอาใจกลุ่มลูกค้าผู้หญิง หรือดีไซน์เท่ ๆ ล้ำสมัยเพื่อกลุ่มผู้ชาย รวมถึงสไตล์วินเทจในวันวานสำหรับวัยรุ่นฮิปสเตอร์ คอลเลกชันเคสที่เกิดจากการ collaboration ระหว่าง Kodak กับ Case Mate ดีไซน์ออกมาในสไตล์วินเทจ โดยตัวชูโรงของคอลเลกชันนี้หนีไม่พ้นเคสโทรศัพท์มือถือสี CI คือสีเหลืองมีเส้นและตัวอักษรสีแดงสีคู่ใจของแบรนด์
เราต่างก็หวาดกลัวการถูกปฏิเสธ เพราะการปฏิเสธหมายถึงการไม่ได้อย่างที่ใจหวัง การถูกมองว่าเราดีไม่พอ เราไม่เป็นที่ต้องการ หรือการที่เราไม่ถูกเลือก แต่วันนี้ UNLOCKMEN ขอนำเสนอเรื่องราวของ Jia Jiang ชายหนุ่มชาวจีนที่จะทำให้คุณมองเรื่องราวของการถูกปฏิเสธเปลี่ยนไปตลอดกาล ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธต้นเหตุของความไม่กล้า Jia Jiang ไม่ต่างอะไรจากผู้ชายอย่างเรา ๆ ที่มีไอดอลในดวงใจหนึ่งคนแล้วใฝ่ฝันว่าสักวันจะเป็นอย่างเขาคนนั้นให้ได้ ตอน Jia Jiang อายุ 14 เขาได้ฟัง Bill Gates พูด ทันทีที่ได้ฟังเขาก็รู้สึกฮึกเหิมมากและคิดว่าภายในอายุ 25 ปีเขาต้องมีบริษัทเป็นของตัวเองให้ได้และบริษัทนั้นต้องยิ่งใหญ่ ร่ำรวยมากพอที่จะซื้อบริษัทไมโครซอฟต์ของ Bill Gates ให้ได้เช่นกัน! แต่เวลาล่วงผ่านไปจนจะเข้าอายุ 30 เขาก็ยังไม่มีความกล้าหาญที่จะทำอะไรอย่างที่เขาตอนอายุ 14 พูดไว้แม้แต่น้อย เขารู้สึกท้อใจและนั่งทบทวนว่าอะไรกันแน่คือสาเหตุที่เขาไม่ประสบความสำเร็จ แล้วเขาก็พบว่ามันคือความกลัวที่จะถูกปฏิเสธนั่นเอง เราไม่กล้าออกไปพรีเซนต์งานเพราะกลัวจะถูกมองว่าทำได้ไม่ดี เราไม่กล้าเริ่มอะไรใหม่ ๆ เพราะกลัวจะผิดหวัง เราไม่กล้าลงมือทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนเพราะกลัวว่าจะถูกปฏิเสธให้พลาดไปจากความตั้งใจเดิมของเรา Rejection Therapy: เพราะเราต้องเผชิญหน้ากับการปฏิเสธ Jia Jiang ตัดสินใจแแล้วว่าเขาจะไม่ยอมให้ความกลัวมาทำให้เขาจมอยู่กับที่อีกต่อไปแล้ว เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามหาวิธีเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธนี้จนกระทั่งเข้าไปเจอ Rejection Therapy เกมที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย
ถ้าพูดถึงนักสู้หรือชนชั้นนักรบของสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อน คนทั่วไปก็จะนึกถึงซามูไรเป็นอย่างแรก นึกถึงโรนิน หรือแม้กระทั่งชื่อของการปลิดชีพตัวเองอย่างเซ็มปุกุ (ฮาราคีรี) แต่ถ้าถามว่ารู้จัก อนนะ บุเกอิชา (Onna Bugeisha) หรือไม่ ? คำตอบส่วนใหญ่คือ “ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ทั้งที่คนกลุ่มนี้มีบทบาทมากในสงครามญี่ปุ่น น่าเศร้าที่ความแข็งแกร่งของ อนนะ บุเกอิชา ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากเท่าไหร่ UNLOCKMEN จึงอยากเล่าเรื่องราวโคตรเท่ของกลุ่มอนนะ บุเกอิชา รวมถึงตำนานความโหดกลางสนามรบของโทโมเอะ โกเซ็น (Tomoe Gozen) สตรีที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นซามูไรหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น “เพราะซามูไรไม่ได้รบเพียงลำพัง แต่ยังมีสตรีที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน” ONNA BUGEISHA เรื่องราวของกลุ่มหญิงสาวที่หันมาจับดาบ อนนะ บุเกอิชา คือกลุ่มสตรีญี่ปุ่นที่ลุกขึ้นมาจับอาวุธวิ่งเข้าสู่สมรภูมิไม่ต่างจากซามูไร พวกเธอแตกต่างจากหญิงญี่ปุ่นทั่วไปที่ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน หญิงจากตระกูลดีต้องเรียนรำ ชงชาตามประเพณีอันดีงาม ส่วนหญิงชาวบ้านต้องฟังสามี หลักฐานทางประวัติศาสตร์บางชิ้นระบุไว้ว่าในช่วงศตวรรษที่ 16-18 ประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นก๊กเป็นเหล่าและทำต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่เขตแดน ในสงครามก็มีอนนะ บุเกอิชา หรือซามูไรหญิงเข้าร่วมรบเป็นจำนวนมาก จุดเริ่มต้นของ อนนะ บุเกอิชาไม่มีที่มาที่ไปแน่ชัด บ้างก็ว่าเกิดขึ้นในยุคเฮอัง บางคนก็คาดว่าเกิดขึ้นในยุคคามากุระ แต่เหตุผลทำให้หญิงสาวจับอาวุธเกิดขึ้นเมื่อสามีหรือพ่อต้องออกไปทำสงคราม เมื่อชุมชนไร้ชายชาตรีมีแต่ผู้หญิง เด็ก และคนแก่ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันพวกเธอจะต้องดูแลตัวเอง
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ชอบวิ่งตอนกลางคืน Adidas Originals Nite Jogger x M3 ถือเป็นคอลเลกชันรองเท้าวิ่งที่จะมาตอบโจทย์การใช้งานให้คุณ โดยมาพร้อมรีเฟล็กซ์เรืองแสงที่มีให้เลือกถึง 8 โทนสี รวมถึง Nite Jogger รุ่นพิเศษที่กำลังจะตามออกมาเอาใจแฟนหนัง Star Wars โดยเฉพาะ Nite Jogger วางขายครั้งแรกเมื่อปี 1976 โดยเป็นรองเท้าที่สร้างตามแนวคิดที่สนับสนุนเหล่านักวิ่งยามวิกาล ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Shoe To be Seen” หรือรองเท้าที่มองเห็นได้ ด้วยการใช้วัสดุสะท้อนแสงจาก 3M ในส่วนท้ายรองเท้าเพื่อตอบโจทย์การวิ่งในเวลากลางคืนหรือตอนแสงน้อย โดยมีลักษณะการทำงานคล้ายกับไฟสะท้อนแสงตามพาหนะต่าง ๆ 43 ปีผ่านไป Adidas Original ก็หวนกลับมาร่วมงานกับแบรนด์ผู้เป็นเจ้าของสิทธิบัตรมากกว่า 100,000 รายการอีกครั้งพร้อมกับโมเดล Nite Jogger ที่พัฒนามาเป็นรองเท้าวิ่งที่ทันสมัยและใส่ใจในเรื่องรายละเอียดของงานวัสดุมากขึ้น Adidas Originals Nite Jogger x M3 มี 8
แบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่อย่าง Nike และค่ายรถที่มีเกียรติประวัติยาวนานอย่าง Volkswagen โคจรมาร่วมงานกันเพื่อระลึกถึงความสำเร็จในอดีตและสร้างผลงานแห่งอนาคตได้อย่างถูกที่ถูกเวลา หลังจาก Volkswagen เปิดตัว ID Buzz Cargo Concept หนึ่งในโปรเจกต์รถยนต์ไฟฟ้าสำคัญของค่ายออกมาเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2018 การเปลี่ยนโฉมหน้าสู่อนาคตของ Volkswagen Type 2 ครั้งนั้นก็ทำให้หนุ่ม ๆ ที่เป็นแฟนสายฮาร์ดคอของ VW หลายคนตั้งตารอคอยการวางขาย แม้ข่าวจะยืนยันแล้วว่ามันคือโปรเจกต์ที่จะเปิดตัวในปี 2022-2023 ก็ตาม ในขณะที่ Nike ต้องการฉลองวาระการก่อตั้งครบ 55 ปีและการเปิดร้าน Blue Ribbon Sport (BRS) ซึ่งเป็นชื่อเดิมของบริษัทที่เคยตั้งอยู่ในย่าน ซานตา โมนิกา โดยสิ่งที่เชื่อมโยงทั้งสองแบรนด์เข้าด้วยกันคือพนักงานคนแรกของ BRS ที่ชื่อ Jeff Johnson ที่เคยใช้ Volkswagen Type 2 ส่งของไปทั่วลอสแอนเจลิส เมื่อ Nike ก็ต้องการระลึกถึงอดีตส่วน Volkswagen เองก็มีโปรเจกต์แห่งอนาคตที่สอดคล้องกัน การเปลี่ยน VW
ตั้งแต่ Music Streaming เติบโตในบ้านเรา คอเพลงทั้งหลายอาจจะสังเกตเห็นว่ามีวงดนตรีและศิลปินชาวเอเชียนมากหน้าหลายตา (ที่ไม่ใช่แนวบอยแบนด์หรือเกิร์ลกรุ๊ป) เริ่มขยับขยายฐานแฟนเพลง และก้าวมามีชื่อเสียงในระดับ Worldwide แถมยังมีผู้จัดคอนเสิร์ตในไทยที่กำลังผลักดัน และเน้นวงสายนี้โดยเฉพาะ ไม่แปลกหากคนไทยยุคนี้จะมีตัวเลือกมากขึ้นในการฟังวงเอเชีย ไม่ได้ไปกระจุกอยู่ที่ญี่ปุ่น เกาหลี หรือจีนอีกต่อไป สิงคโปร์เองก็เริ่มจะผลักดันอุตสาหกรรมดนตรีของตัวเองแล้วเช่นกัน แฟนเพลงที่นิยมบินไปดูคอนเสิร์ตเมืองนอกจะทราบกันว่าสิงคโปร์เป็นสถานที่ชั้นเยี่ยมทีเดียวในการไปดูโชว์ เพราะมีการจัดการที่ดี ไม่ต้องใช้เงินเยอะ และเดินทางสะดวก มันก็คงถึงเวลาแล้วที่ประเทศเขาจะเริ่มส่งออกวงในบ้านตัวเองบ้าง และวันนี้ UNLOCKMEN ก็มีวงดี ๆ สัญชาติแดนลอดช่องมาแนะนำเพื่อน ๆ กัน brb. จริง ๆ วงนี้จัดว่าเริ่มมีชื่อเสียงแล้วพอสมควรที่เดียวในหมู่คอเพลงเอเชียนในไทย พวกเขาเป็นวงดนตรีแนว R&B สัญชาติสิงคโปร์ ที่นำดนตรี R&B, Hip Hop และ Soul มาผสมผสานกันได้สมูท กลมกล่อม และมีศิลปะ โดยซิงเกิล Cool With It และซิงเกิล Talking To Myself คือจุดเริ่มต้นของการเปิดตัวด้านงานเพลงของพวกเขาครั้งแรกเมื่อปลายปี 2018
ขึ้นชื่อว่าแฟชั่นมักเป็นสิ่งที่ผ่านกระบวนการคิด การสร้างสรรค์ และการออกแบบมาอย่างแยบยล จนใครหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า Fashion Design ล้ำ ๆ ที่เราเห็นโลดแล่นอยู่บนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรกันบ้าง? บางครั้ง Fashion Design ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งของรอบตัว เพราะแฟชั่นไม่ใช่แค่เรื่องบนรันเวย์ แต่แฟชั่นอยู่ในทุกสิ่งรอบตัวเรา แม้บางสิ่งจะดูห่างไกลกับคำว่าแฟชั่น จนกระทั่งมีแบรนด์หาญกล้าคว้าเอาแรงบันดาลใจจากสิ่งนั้นมารังสรรค์จนเกิดแฟชั่นไอเทมที่ไม่เหมือนใครและใช้งานได้จริง วันนี้ UNLOCKMEN อาสาพามาสำรวจ “CAMPER Fall/Winter 2019 Collection” คอลเลกชันรองเท้าล่าสุดจาก Camper ที่ถือเป็น Premium Casual Brand เก่าแก่ระดับโลกจากสเปน โดย CAMPER Fall/Winter 2019 Collection ได้แรงบันดาลใจจาก Motor Sports กีฬาที่เต็มไปด้วยความแรง ความเร็ว การแข่งขัน หลายคนอาจจะไม่คุ้นกับ Motor Sports มากนัก แต่เมื่อ Camper นำมาสร้างสรรค์และตีความใหม่ จากความเร็ว ความแรง ก็นำไปสู่รองเท้าที่เป็นตัวแทนของ Race และ Speed ซึ่งมาพร้อมดีไซน์สุดเท่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองผู้ชอบแฟชั่น แม้ไม่หลงใหลเรื่องการแข่งขันและความเร็วก็สวมใส่เพื่อบ่งบอกตัวตนคู่ไปกับฟังก์ชันการใช้งานที่คล่องตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ Camper รุ่น Pix Camper รุ่น
‘เซ็กซ์ทอย’ นับเป็นอีกไอเทมยอดนิยมของคนในยุคนี้ ไม่ว่าจะเพศชาย เพศหญิง หรือแม้แต่เพศหลากหลายอื่น ๆ ก็ตาม เมื่อรสนิยมทางเพศของผู้คนเริ่มแตกแขนงแยกย่อยและหลากหลายขึ้นเรื่อย ๆ กระแสความนิยมเซ็กซ์ทอยก็เพิ่มขึ้นตามมา ในฐานะเครื่องมือกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ เซ็กซ์ทอยทำหน้าที่มอบประสบการณ์เสียวซาบซ่าน สร้างความตื่นเต้นเร้าใจบนเตียง แถมยังทำให้ผู้ใช้เพลิดเพลินจนถึงขั้นสำเร็จความใคร่ได้เลย เราเข้าใจดีว่าผู้ชายหลายคนกำลังเหนื่อยหน่ายกับการช่วยตัวเองแบบเดิม ๆ ที่ใช้ฝ่ามือหยาบกระด้างสาวขึ้นลงเป็นจังหวะตามสูตรสำเร็จ ซึ่งต้องยอมรับว่าบางครั้งมันแสนจะน่าเบื่อและจำเจน่าดู วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเซ็กซ์ทอยยอดนิยมสำหรับผู้ชาย ที่จะพาคุณไปถึงจุดสุดยอดและขึ้นสวรรค์ได้โดยไม่ต้องพึ่งนางฟ้าแม้แต่องค์เดียว! Wavy Textured Male Masturbator อุปกรณ์สำเร็จความใคร่แบบใช้แล้วทิ้งที่ดีไซน์มาในรูปทรงไข่ หนุ่ม ๆ สามารถเลือกได้ว่าจะซื้อไข่เป็นใบ ๆ หรือจะซื้อเป็นแพ็ก 6 ใบเลย แม้ภายนอกจะเป็นรูปร่างไข่ที่ดูน่ารัก น่าเอ็นดู และไม่ค่อยลามกอนาจารเท่าไร แต่ไข่ใบนี้ก็ช่วยให้คุณสนุกกับการช่วยตัวเองได้ไม่น้อย เพียงแค่เปิดฝาไข่ เหยาะสารหล่อลื่น และสอดใส่เจ้าโลกเข้าไปด้านใน คงไม่ต้องบรรยายว่าจะชุ่มฉ่ำสุดขั้วขนาดไหน 10 Speed Dual Motor Automatic Male Masturbator ถ้าคุณเป็นผู้ชายอึดถึกทนที่ต่อให้ช่วยตัวเองจนปวดข้อมือก็ยังไม่มีวี่แววจะถึงฝั่งฝันสักที เราขอแนะนำเซ็กซ์ทอยตัวนี้ที่มีความเร็วในการช่วยตัวเองมากถึง 10 ระดับให้เลือก พร้อมระบบ 3D