ฟุตบอลโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ คงเป็นกระแสที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาคอยกว่า 4 ปี แต่ไม่ใช่แค่การแข่งขันฟุตบอลเท่านั้นที่หลายคนจับตามอง ส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เป็นเหมือนสีสันของงานก็เป็นส่วนสำคัญที่ทั่วโลกจับตามองไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น นักเตะตัวจี๊ดจากแต่ละประเทศ ประเทศเจ้าภาพ ส่วนไฮไลต์ในประเทศไทยก็คงไม่พ้นการทายผลบอลโลกผ่านทางไปรษณียบัตรกับทางไปรษณีย์ไทย ซึ่งในปีนี้ก็ยังคงมีเหมือนในทุกปี สามารถส่งไปรษณีย์บัตรทายผลได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 14 ก.ค. 2561 อีกสิ่งที่เป็นไฮไลต์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือเพลงประจำ World Cup ปีนั้น ๆ ซึ่งหลายเพลงของ World Cup ได้ดังพลุแตกจนกลายเป็นเพลงระดับตำนานไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “We Are the Champions”, “The Cup of Life”, “Waka Waka” ที่ได้ยินเมื่อไหร่เป็นต้องร้องตามกันได้ทุกคน แม้ World Cup จะจบลง แต่กระแสของเพลงก็ยังไม่จบ และยังคงเสน่ห์ข้ามกาลเวลามาจนถึงตอนนี้ UNLOCKMEN ขอชวนหนุ่ม ๆ มาฟังเพลง World Cup ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อม Fact น่ารู้เล็กน้อย เอาไว้เล่าให้เพื่อนฟังกันแบบเซียน ๆ และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเทศกาลบอลโลก We Are the
ทีมงาน UNLOCKMEN เคยนำเสนอเรื่องราวของ Sex Robot นวัตกรรมแก้เหงาให้กับชายสายเปลี่ยวไปแล้วในคอนเทนต์นี้ และก็ทำเอาผู้ชายอย่างเราตื่นเต้นน่าดู เมื่อตุ๊กตายางแบบเดิม ๆ ได้กลายมาเป็นหุ่นยนต์สาวที่มีผิวสัมผัสใกล้เคียงกับมนุษย์มาก ๆ มี A.I. ที่คิดได้ พูดได้ โต้ตอบได้ คล้ายกับคนอย่างเรา และมันน่าจะช่วยแก้ความงุ่นง่านให้หนุ่ม ๆ ที่มีความต้องการสูง แต่ไม่อยากให้ตัณหาของตัวเองไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ฟังดูแล้ว Sex Robot น่าจะเป็นนวัตกรรมทางเพศที่ตอบโจทย์ ด้วยราคากว่า 10,000 ปอนด์ แลกกับการแก้ปัญหาเรื่องความต้องการจนแทบทะลัก เติมเต็มชีวิตที่แสนเปลี่ยว และมีส่วนลดอาชญากรรมทางเพศได้ ก็น่าจะคุ้มค่าอยู่ แต่ล่าสุดกลับมีความเห็นอีกแง่มุมหนึ่งที่มีต่อหุ่นยนต์สุดเซ็กซี่นี้ โดยมีความเห็นทางการแพทย์ถูกอ้างอิงในงานเขียนของ BMJ Sexual และ Reproductive Health ว่า ไม่มีหลักฐานใดที่ระบุว่า Sex Robot สามารถช่วยแก้เหงา และช่วยลดปัญหาอาชญากรรมทางเพศได้ โดยนายแพทย์ Chantal Cox-George แห่ง St George’s University Hospitals NHS Foundation Trust และศาสตราจารย์ Susan Bewley จาก Women’s Health Academic
ปัจจุบันสังคมของเรามีความหลากหลายมากขึ้น วัยหนุ่มสาวมันไม่จีรังและไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมอีกต่อไปแต่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุ และคนจำนวนไม่น้อยที่ทุพลภาพตั้งแต่กำเนิดหรือเจ็บป่วยภายหลัง ดังนั้น ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือข่าวสังคมจึงมีการเรียกร้องสิทธิในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายด้านการเดินทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกหน่วยในสังคมมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น ลิฟต์ตามรถไฟฟ้า การทำพื้นลาดสำหรับขึ้นรถเมล์สาธารณะ เพราะเราทุกคนควรมีสิทธิเข้าถึงบริการพื้นฐานของรัฐเท่ากันหมด “UNIVERSAL DESIGN” จึงเป็นคำที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในยุคนี้ คำนี้แปลตามตัวก็คือการออกแบบที่เป็นสากลหรือออกแบบเพื่อคนทุกกลุ่มเพื่อให้เข้าถึงการใช้งานได้เต็มที่ หรือทำให้ชีวิตของทุกคนสะดวกขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะด้านนอกเท่านั้น ภายในบ้านก็ควรมีการออกแบบสไตล์ UNIVERSAL DESIGN เช่นเดียวกับนวัตกรรมเพื่อผู้ป่วยเคลื่อนไหวไม่ได้ที่เรานำมาฝาก คือ “รางเพดานอัจฉริยะ” ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตทำกิจกรรมต่าง ๆ ในบ้านด้วยตัวเองอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เชื่อว่าหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN ที่มีคุณพ่อคุณแม่ชราแล้ว เดินเหินไม่สะดวก จะเข้าใจอาการดื้อไม่อยากพึ่ง wheelchair ของพวกเขากันดี แต่เราเองก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดีถ้าพวกเขาจะลุกขึ้นมาทำโน่นนี่เองเพราะอาจจะพลาดล้มเมื่อไรก็ได้ นวัตกรรมนี้เลยถือว่าตอบโจทย์ อำนวยความสะดวกทั้งกายและใจเราได้เป็นอย่างยิ่ง “Handi move” เป็นรางอัจฉริยะที่ใช้ติดตั้งกับเพดานในบ้านทั่วบ้านทุกจุดที่อยากจะให้ผู้ทุพลภาพเข้าถึงทุกจุด ทั้งห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น หรือกระทั่งลงสระน้ำ โดยด้านบนรางจะใช้มีตัวเครื่องใช้สำหรับยึดที่พยุงคล้ายสลิงแต่มีความแน่นหนาและปลอดภัยกว่า ลักษณะเป็นที่นั่งพยุงเพื่ออุ้มผู้ใช้งานได้ทั้งตัว ความโดดเด่นคือการควบคุมเครื่องด้วยรีโมท ใช้งานง่ายไม่ต้องมีใครมาเข็นจูง ซึ่งมันไม่เพียงแก้ภาวะความเครียดทางกายภาพ แต่มันยังช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้กับผู้ใช้งานว่าสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใครเพียงอย่างเดียว ยิ่งถ้าอยู่ในพื้นที่แคบหรือพื้นที่จำกัด การติดตั้งจะสะดวกและง่ายขึ้นเพราะว่ากันตามจริงก็เดินทางไปไม่กี่ห้องในบ้านเท่านั้น แถมการเคลื่อนที่ของมันก็ไม่ได้ช้าอย่างที่คิด ลองดูจากในคลิปได้ ลักษณะและคุณสมบัติของเครื่อง ใช้แบตเตอรี่ที่มีระบบชาร์จไฟในตัว 24 โวลต์
อยากจะเข้าป่าไปใช้ชีวิตแบบ Adventure แต่ก็ไม่วายยังอยากได้เครื่องดื่มเย็น ๆ ไว้ดับกระหายให้ชื่นใจยามเหนื่อยล้า แต่ในป่าเราจะไปหาตู้เย็นหรือน้ำแข็งที่ไหนได้ จะถือกระติก Cooler แบบตอนปิกนิกไปก็ช่างไม่สะดวกเอาซะเลย เกะกะ เปลืองแรง หากคิดว่าคุณจะเจอปัญหาแบบนั้น UNLOCKMEN ขอเสนอ Cooler เท่ ๆ ในรูปแบบเป้จาก YETI แบรนด์ดังที่ขึ้นชื่อเรื่อง Technology เก็บความเย็นแบบยอดเยี่ยมอยู่แล้ว มาดูกันว่าเจ้าเป้นี่มันจะเท่สักแค่ไหนกันเชียว Hopper BackFlip Cooler จาก YETI อุปกรณ์เท่สำหรับคนเท่ที่ยังอยากแบกความคูลไปด้วยกันในทุกที่ ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงห้วย บุกป่าฝ่าดงขนาดไหน หรือจะแค่แคมปิ้งกางเต็นท์ ก็สามารถใช้เจ้านี่ได้ เพราะมันคือ Cooler ในรูปแบบเป้ที่เราสามารถแบกขึ้นหลังได้เหมือนเป้ Fashion ในชีวิตประจำวันนั่นแหละ แถมมาในดีไซน์ที่เท่ไม่หยอก จนอยากจะเอาไปสะพายในวันปกติเลยด้วยซ้ำ จริง ๆ เจ้ากระเป๋า BackFlip มันเก็บได้ทั้งอาหารและเครื่องดื่มตามแต่เราต้องการ ส่วนขนาดของมัน ถ้าคำนวณง่าย ๆ ก็ใส่กระป๋องเครื่องดื่มได้ประมาณ 20 กระป๋อง ได้แบบหลังไม่หนัก เพราะมันสามารถกระจายน้ำหนักของภายในกระเป๋าได้จากการออกแบบให้เข้ากับสรีระของเรา ที่คิดแล้วคิดอีกจาก YETI
“ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน ใช่ว่าจะเหมือนกัน” ถ้าไม่นับเรื่องคาแรคเตอร์ภายในที่ไม่อาจตัดสินได้ด้วยตาเปล่า สิ่งหนึ่งที่เรากล้าบอกว่าคุณสามารถใช้พิสูจน์ความแตกต่างของสไตล์ผู้ชายแบบจับต้องได้ด้วยตาเนื้อชนิดที่ต่อให้เอาชาว UNLOCKMEN มากองรวมกันเป็นกองทัพเราก็ยังแยกออก คือคาแรคเตอร์แท้ที่แฝงอยู่หลังประตูที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ต้องเปิดมันทุกเช้า – เย็น ที่ซึ่งอุดมไปด้วยกลิ่นอิสรภาพทุกตารางนิ้ว พื้นที่ส่วนบุรุษที่เราเรียกมันว่า “MAN CAVE” สวรรค์ปลายประตูนี้คือรางวัลชีวิตที่หนุ่ม ๆ อย่างเราไขว่คว้ามาตลอด เราเลือกลงทุนคัดเอาความเป็นตัวตนสกัดออกมาเป็นของแต่ละชิ้นนำมาจัดวาง ทั้งสี ทั้งวอล์เปเปอร์ทุกอย่างมันต้องยูนีคและใช่เท่านั้น ดังนั้น การลงทุนกับรายละเอียด รีดีไซน์หรือต่อเติมจึงเป็นสิ่งสะท้อนความฝันและไลฟ์สไตล์ของพวกเราได้เป็นอย่างดี สำหรับช่วงปลายเดือนนี้ใครอยากเติมรังให้ล้ำ ลองเช็กกันดูว่าทั้งเทรนด์การแต่งถ้ำทั้ง 5 แบบที่ UNLOCKMEN คัดสรรมาต่อไปนี้ใช่สิ่งที่คุณกำลังตามหาหรือเปล่า ถ้าใช่ก็อย่ารอช้าหยิบแรงบันดาลใจมาแต่งห้องกันต่อ เพราะอยากอยู่แบบไหนต้องได้อยู่แบบนั้น! UNLOCKMEN PRESENTED: #1 MULTIPLE-SCREEN WALL ยามศึกแข้งมาเราครบ! ฤดูกาลลูกหนังระดับโลกมันมาถึงอีกแล้ว แต่ปีน้ีเทรนการนั่งดูจากทีวีจอเดียวพี่ต้องขอบาย เพราะ Urban Guys มันต้องเปิดจักระได้ครอบจักรวาลจากอาณาจักรส่วนตัว นาทีนี้จึงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการมี Multiple Screen ยกแผงติดผนังในบ้าน บอลมาก็ฉายสตั๊ดเขี่ยลูกบนพื้นหญ้าเขียวทะลุจอ LCD สะใจ แต่ถ้าหวานใจบุกบ้านก็มั่นใจได้ว่าเราพร้อมเหลือจออื่น ๆ ให้เธอได้ยิงสัญญาณ
เดี๋ยวนี้ทุกคนรู้ว่าการไม่ได้เป็นสมาชิกของยิม หรือไม่มีอุปกรณ์ นั้นไม่ใช่ข้ออ้างของการไม่ออกกำลังกายอีกต่อไป เพราะเราสามารถออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักตัว (Bodyweight Training) ได้ทุกที่ที่เหมาะสม ทุกเวลาที่ทำได้ ยิ่งในห้องนอนได้ยิ่งดี นั่นทำให้ใครหลายคนติดใจกับการการ workout แบบนี้ แต่สำหรับบางคนที่ฝึกท่าเดิม ๆ อย่าง burpees, squats และ jumping jacks มานานก็อาจจะรู้สึกเบื่อ สุดท้ายถ้าหาวิธีฟิตอื่น ๆ ไม่ได้ ก็อาจจะเลิกเทรนกลางทางไปเลย โชคดีที่เรามีความท่าทายใหม่ ๆ มาให้ออกแรงกัน นี่คือ 8 ท่า Bodyweight Training ที่เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่เคยทำมาก่อน แต่รับรองว่าได้เกร็งกันกล้ามขึ้นทั่วร่างถ้าทำอย่างต่อเนื่อง แถมมีผลการวิจัยหลายฉบับที่ระบุชัดเจนว่าการทำอะไรที่ไม่ซ้ำซากกันในแต่ละวัน จะช่วยทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอีกด้วย 1. Bear Pushups ที่ได้ชื่อว่า “Bear Pushups” ก็เพราะท่าทางที่ดูเหมือนหมีคลาน และมันคือท่าวิดพื้นประยุกต์ที่เฉียบสุด ๆ เป็นหนึ่งใน functional exercises ที่ดูเผิน ๆ ก็พื้น ๆ แต่ต้องลองทำดูแล้วจะรู้ว่าโคตรท้าทาย นักกีฬาหลายคนต่างยืนยันว่าหนักหน่วงอยู่ ท่านี้จะมอบความแข็งแกร่งให้กับกล้ามเนื้อหลังแขน
เวลาพวกเราเลือกอะไรมาใช้สักชิ้น แน่นอนว่าต้องพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ แต่ถ้าของชิ้นนั้นเราไม่มีโอกาสได้สัมผัสหรือทดลองใช้ด้วยตัวเอง UNLOCKMEN เชื่อว่าเราคงต้องเคยใช้บริการหาตัวแทนมาทำหน้าที่หนูทดลองแทนเพื่อเช็กว่าสินค้าชิ้นนั้นดีหรือคุ้มค่าพอไหมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งไอ้หนูทดลองตัวนั้นหลายครั้งก็เฉลยออกมาว่าคือหน่วยหนึ่งในการตลาดที่ชื่อว่า “Influencer” มีหน้าที่ชวนคนมาเชื่อแต่ของจริงเป็นอย่างไรก็ไม่สน ทำให้ทุกวันนี้อาการตั้งป้อมสร้างกำแพงเพราะกลัวโดนหลอกของเรามันเริ่มสูงขึ้นไม่รู้ตัว ทว่าก็ยังมีแบรนด์มากมายที่สนใจวิทยายุทธ์กระโดดกำแพงอยากแจ้งเกิดด้วย Influencer อยู่ดีโดยอาศัยบริการจากบริษัท Scout Influencer เราลองมาดูกันว่าเพราะอะไร และแบรนด์ไหนในไทยบ้างที่โดดเด่นและลงเล่นในสนามธุรกิจนี้ WHY BRAND CHOOSE INFLUENCER? “มึงมันหน้าม้า” ต่อให้พวกเรายกนิ้วชี้หน้าใส่นักรีวิวมือทองทั้งหลาย พร้อมด่าให้ย่อยยับในหน้าโซเชียล แบรนด์ก็ยังต้องมีบรรดา “Influencer” เป็นหนึ่งในหมากกลยุทธ์อยู่ดี นั่นเพราะพวกเขามีเหตุผลคุ้มทุนเหล่านี้อยู่ Influencer มอบตัวเลขการประเมินผลทางการตลาดที่ตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็น ยอดการเข้าถึง (Reach) และยอด Engagement ทั้งยอด Likes, Comments, Reactions, Retweets หรือ Shares ที่สำคัญยังได้ฐานลูกค้าใหม่จากคนที่ติดตาม Influencer เหล่านั้นอยู่แล้ว Customer Journey ยังเป็นสิ่งสำคัญเพราะสุดท้ายแล้วผู้บริโภคย่อมปฏิเสธการเชื่อคนขายของที่บอกว่าของตัวเองดีอยู่วันยันค่ำ ที่สำคัญยังได้มุมมองที่หลากหลายในการโปรโมตสินค้าจากคนที่ใช้งานจริง ช่วยเรื่องการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติด Top Search ได้ เพราะเมื่อผู้บริโภคเป็นนักค้นตัวยง
คุณว่าที่มาของ “อำนาจ” ที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกันคืออะไรหากไม่นับรวมต้นทุนที่บางคนคาบติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างทรัพย์สินเงินทอง ถ้าคำตอบของคุณคือ “ความสามารถ” หรือทักษะที่เราจะวัดกันจากผลงานอย่างเดียวมันก็ออกจะเป็นการฝันกลางวันไปหน่อย เพราะในโลกความเป็นจริง “คนเก่ง” ที่ไม่ได้ไปต่อ กองตายเกลื่อนมีอยู่เป็นกองทัพเพราะขาดสกิลสำคัญคือ “การนำเสนอความเก่ง” หรือ “การสร้างอำนาจจากคำพูด” กว่าจะได้แสดงความเก่งสู่สายตา “คำพูด” มันจึงต้องผ่านด่านก่อน เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ไต่อันดับขึ้นไปท็อปฟอร์ม โดดไปอยู่แนวหน้าที่พูดอะไร แบบไหนใครก็ฟังก็เชื่อ เราคัดวิธีสร้างความมั่นใจมาให้ทดสอบด้วยตัวเองกันแล้ว บอกเลยว่างานนี้ดึง insight มาจากการวิเคราะห์เหล่า CEO ที่เคยให้ข้อมูลกับการนำเสนอของ IPO road-show หรือการขายหุ้นสดใหม่ที่ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่ามันรุ่งหรือร่วง ซึ่งแค่ 30 วินาที นักลงทุนก็รู้ทันทีว่าคำพูดพวกนั้นจะแหกกระเป๋าพวกเขาไปได้หรือเป็นแค่เรื่องแหกตาปาหี่ จากปัจจัยการมองเพียง 5 อย่างนี้เท่านั้น ชุดเนี้ยบกว่าคนทั้งห้อง 25 % เลิกพูดเถอะว่าแต่งตัวยังไงก็ไม่สำคัญ หากกางเกงเจเจหรือขาก๊วยที่สวมมามันไม่ได้ยัดเงินตุงมาเต็มกระเป๋ากางเกง เพราะทันทีที่เดินก้าวเข้ามาในห้องเพื่อจะพูดนำเสนออะไรก็ตาม คนเขาก็มองและตัดสินคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เพราะฉะนั้นความประทับใจแรกและความเป็นมืออาชีพเลยเกาะอยู่ตามเสื้อผ้า ซึ่งคีย์สำคัญมันอยู่ที่ 25% ที่คุณต้องบวกมันเพิ่มขึ้นมาให้เหนือกว่าคนทั้งห้อง ต้องมีสไตล์กว่า ต้องเป็นทางการกว่า นั่นคือการช่วงชิงความเชื่อที่ดีได้ EXPERT RECOMMEND: Matt Eversmann
หลายคนอาจคิดว่าของเล่นเป็นเรื่องสำหรับเด็กเท่านั้น และถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่คิดแบบนั้นอยู่ขอให้รีบเปลี่ยนความคิดโดยด่วน เพราะข้อมูลจาก Telegraph นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมามูลค่าของตัวต่อ Lego พุ่งสูงขึ้นถึง 36% ในขณะที่ทองราคาสูงขึ้นแค่ 9.6% เท่านั้น คงเห็นภาพกันแล้วว่าตอนนี้ของเล่นโดยเฉพาะ Lego นั้นไม่ได้เป็นแค่ของเล่นเท่านั้น แต่มันคือ 1 ในรูปแบบการลงทุนและเก็งกำไรที่กำลังกลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก อะไรคือสาเหตุที่ราคาพุ่งสูงขึ้นขนาดนั้น? เหตุผลหลัก ๆ คือสินค้าทุกตัวของ Lego นั้นจะไม่มีการผลิตซ้ำ จำนวนสินค้าในโลกจึงมีจำนวนจำกัด นอกจากนั้นแบรนด์ Lego เป็นแบรนด์ที่สร้างมูลค่าทางการตลาดมาอย่างยาวนาน ทั่วโลกให้การยอมรับในฐานะหนึ่งในแบรนด์ของเล่นที่ดีที่สุด แต่ฟังแบบนี้แล้วอย่าเพิ่งวู่วามรีบออกไปซื้อ Lego เพื่อเก็งกำไรหวังรวยกันล่ะ เพราะบอกไว้ก่อนว่าถึงแม้สถิติจากกราฟราคาจะบ่งบอกว่านี่คือการลงทุนที่สามารถสร้างกำไรสูงมาก แต่โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ดังนั้นวันนี้ UNLOCKMEN จึงจะมาแนะแนวทางการลงทุนในตลาดของเล่นโดยเฉพาะ Lego ว่าต้องทำยังไงบ้างให้ได้กำไรชัวร์ ๆ ว่าแล้วก็เลื่อนลงไปอ่านได้เลย ใจต้องรัก สิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่คุณจะเข้ามาสู่วงการนักลงทุน Lego นั้นคือคุณต้องมีใจรักเจ้าของเล่นตัวต่อแบรนด์นี้พอสมควร ไม่มีทางที่คุณจะหวังแค่รวยและเข้ามาลงทุนเพราะเห็นว่าราคามันสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดแล้วคุณจะประสบความสำเร็จ เพราะไม่ใช่ว่า Lego ทุก Collection ทุกชิ้นจะราคาสูงขึ้นหมด ส่วนใหญ่ราคาจะคงเดิมไม่แปรผันเสียด้วยซ้ำ มีแค่ไม่กี่ชิ้นที่ราคาสูงขึ้นจนน่าลงทุน
เรื่องงานผู้ชายอย่างเราไม่มีหวั่น เรื่องเล่นผู้ชายอย่างเราก็ไม่กลัว แต่ถ้าพูดถึงช่วงเวลาพักในวันทำงานผู้ชายอย่างเรามักจะงง ๆ ว่าจะกินข้าวแล้วเล่นมือถือดีไหม ? จะพูดคุยวางแผนงานกับเพื่อนในออฟฟิศโอเคหรือเปล่า ? หรือจะหอบหมอนไปแอบงีบชาร์จพลังไปเลย ? เพราะเวลาพักที่มีมากสุดแค่ 60 นาทีที่จะพักยังไงก็ดูไปไม่สุดทาง ยิ่งเวลาพักช่วงบ่าย 30 นาที หรือเวลาที่เราพักเอง 5-15 นาทีซึ่งดูน้อยนิดจนนั่งถอนหายใจก็หมดเวลาแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้ชายอย่างเราต้องกุมขมับว่าจะใช้เวลาพักเหล่านี้ไปกับอะไรดี ? ที่สำคัญใช้เวลาพักอย่างไร ถึงจะกลับมาปั่นงานได้เต็มสูบ เรามีสูตรลัดมาให้เลือกใช้กัน พัก 5-15 นาที : จิ๋วแต่แจ๋ว ถ้าขยับตัว ทำสมาธิและมองต้นไม้ แม้เวลา 5-15 นาทีจะดูเป็นเวลาที่ไม่มากและไม่สำคัญเอาเสียเลย แค่ใช้เวลานั่งดูลิสต์สิ่งที่ต้องทำหรือตอบอีเมลแป๊ป ๆ ก็หมดเวลาแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Maura Thomas ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการทลายกำแพงในการทำงานบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการพัก 5-15 นาทีคือ “ต้องพาตัวเองออกไปเคลื่อนไหว” โดยอาจจะเดินขึ้นลงบันไดสัก 1-2 ชั้น เดินออกไปนอกออฟฟิศสักหนึ่งช่วงตึก หรือแม้แต่ยืดแข้งยืดขาอยู่ในออฟฟิศก็ได้ การเคลื่อนไหวเหล่านี้จะช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการโฟกัสให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนั้นการสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำสมาธิกับตัวเองอาจจะ 2 นาที หรือมากกว่านั้นก็จะช่วยให้การกลับมาทำงานเป็นไปอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวามากขึ้น