สิ่งที่สม่ำเสมอพอ ๆ กับเพลงชาติไทยตอน 8 โมงเช้าของทุกวันก็คือ “น้องหนูของผู้ชายยืนตรงเคารพธงชาติ” ไม่ว่าวันฝนตก วันแดดออก วันไปทำงาน วันหยุดนักขัตฤกษ์วันไหน ๆ ก็ดูเหมือนว่าเจ้าน้องชายของเราจะตั้งตรงเด่ได้ไม่มีเว้น เหมือนเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ห้ามพลาดแม้แต่วันเดียว เคยสงสัยไหมว่าอะไรทำให้มันแข็งโด่ได้ทุกวี่วันไม่ยอมเหน็ดเหนื่อยได้ขนาดนี้? มันเกี่ยวกับอารมณ์ทางเพศหรือไม่? ปริศนาสุดน่าสงสัยนี้ UNLOCKMEN ชวนผู้ชายทุกคนมาไขข้อข้องใจไม่ให้ต้องมโนคำตอบอยู่คนเดียวอีกต่อไป ข้อสันนิษฐานเรื่องน้องน้อยของพวกเราตื่นตอนเช้ามีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณแล้ว คงจะเรียกได้ว่า “แข็งกันมาตั้งแต่รุ่นเพลโต” นักปรัชญาเขาก็ไม่ได้ขบคิดกันแต่เรื่องจริยศาสตร์ การเมือง สังคมเท่านั้น เขาคิดทุกเรื่องจนลามมาถึงน้องชายของพวกเราด้วย โดยชาวกรีกโบราณอธิบายว่าการที่น้องชายของเราแข็งตอนเช้าก็แสดงให้เห็นแล้วว่า “อวัยวะเพศชายมีจิตสำนึกของตัวมันเอง” โห! หรือไอ้ที่เห็นย่น ๆ ตรงหนังไข่จะเป็นเหมือนรอยหยักในสมองจริง ๆ วะเนี่ย? พอเรื่อยมาถึงยุคกลาง ยุคที่คริสตศาสนามีบทบาทสูงในสังคมตะวันตก การแข็งตัวของอวัยวะเพศในแต่ละเช้าของทุกวันก็ถูกพระในยุคกลางบอกว่า “มันคือการกบฏของร่างกายมนุษย์!” เพราะในยุคนั้นร่างกายมนุษย์ถูกควบคุมเบ็ดเสร็จโดยศาสนา ไม่ว่าจะการแต่งกาย การใช้ชีวิต ไปยันท่าทางที่ใช้ในการป่ามป๊ามกับผู้หญิง! ดังนั้นเจ้าหนูที่แข็งตอนเช้าจึงเป็นไม่กี่สิ่งที่ศาสนาคุมไม่ได้ ถึงมองว่านี่แหละคือการกบฏ ก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ โลกเราก็เดินทางมาสู่ยุคที่คนเชื่อวิทยาศาสตร์แบบสุดจิตสุดใจ คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์จึงมีน้ำหนักและความหมายกว่าคำตอบแบบอื่น ๆ โดยนักวิทยาศาสตร์เรียกการแข็งตัวนี้ว่า Nocturnal penile tumescence (NPT) หรือภาวะองคชาตแข็งตัวขณะหลับ โดยเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ที่วงการวิทยาศาสตร์ศึกษามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19
สมัครเข้าบริษัทไหน ๆ เขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเวลาทำงานต้อง 8 ชัวโมงเป๊ะ บวกกับเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง เท่ากับ 9 ชั่วโมงทำงานและพักที่ผู้ชายอย่างเราต้องใช้ไป แต่เคยสงสัยไหมว่าไอ้วิธีการทำงานด้วยสัดส่วนแบบนี้มันเวิร์คจริง ๆ หรือ? มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งกระฉูดได้สุดจริงหรือเปล่า? UNLOCKMEN ประกาศตรงนี้เลยแล้วกันว่า “ไม่จริง!” แล้วมันต้องทำงานแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราจะได้งานอย่างจริงจัง? วิธีคิดเรื่องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่แค่เป็นความคิดสุดล้าสมัย (ที่ใคร ๆ ก็ยังใช้อยู่) แต่ยังไม่ได้ผลการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ถ้าเราสงสัยว่า “อ้าว ถ้ามันไม่เวิร์คแล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?” คำตอบที่จะมอบให้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วง ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 นู่นเลย กฎการทำงาน 8 ชั่วโมง ถูกกำหนดขึ้นมาเนื่องจาก แรงงานในโรงงานต้องทำงานห่ามรุ่งหามค่ำอย่างไม่เป็นธรรม การทำงาน 8 ชั่วโมงจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดการทำงานอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันแต่อย่างใด พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเมื่อ 2-3 ร้อยปีก่อน นอกจากมันจะไม่เวิร์คแล้ว มันยังฉุดรั้งการทำงานของเราอีกด้วย โดยการศึกษาของบริษัท Draugiem Group
“ความสุขมันซื้อด้วยเงินไม่ได้หรอก” มีคนเคยพูดคำนี้ไว้เล่นทำเอาชาว UNLOCKMEN ที่ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเลิกทะเยอทะยานเก็บ ถอดใจไปใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยสโลว์ไลฟ์ไหลไปเรื่อย ไม่สนเรื่องเงินแล้ว แต่นั่นอาจจะเป็นการเข้าใจผิด เพราะเราเชื่อว่าคนที่มองว่าเงินไม่ใช่สารัตถะของชีวิตก็ยังเคยใช้ซื้อความสุขใน 4 ข้อด้านล่างนี้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ที่สำคัญนักวิจัยเขาออกมานั่งยัน นอนยัน ยืนยัน! ขอให้จ่ายให้ถูกกับ 4 เรื่องนี้ยังไงก็ไม่มีผิดหวัง 1. เปย์เงินซื้อเวลา ผลการศึกษาจากชาวอเมริกันกว่า 4,400 คนออกมาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เวลานี่แหละสร้างสุข! และเงินก็ซื้อเวลาได้นะยูวววว !” คนที่ใช้เงินเป็นส่วนใหญ่เขาเลยยอมใช้มันเพื่อซื้อเวลากลับมาจากเรื่องจุกจิก พิสูจน์แล้วว่าลงทุนไปสุขภาพจิตจะดีกว่าคนขี้เสียดาย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นการสั่งอาหารจากไลน์แมน จ้างแม่บ้าน จ้างเลขา จ้างอะไรก็จ้าง แล้วเอาเวลาที่ต้องเสียไปกับไปกับสิ่งเหล่านี้นอนชิลล์ทำอย่างอื่น คุ้มมาก! 2. เปย์กับประสบการณ์ชั้นยอด ถึง “สิ่งของ” จะอยู่ได้นานกว่า “ประสบการณ์” เพราะสสารไม่หายไป แต่นักจิตวิทยาเขาออกมายืนยันว่ามันใช้ไม่ได้กับเรื่องของการซื้อความสุข แรก ๆ อาจจะใช่ แต่พอนานเข้าเราก็ไม่คิดแบบนี้แล้ว เพราะจากตอนแรกที่เรามีความสุขกับการเป็นเจ้าของแต่พอเคยชินกับการมีมันทุกวันความสุขจะเริ่มจางหายไป นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้พวกเราขยันปรับเปลี่ยน gadget ไปเรื่อย ๆ ทั้งที่มันยังคงใช้ได้อยู่ กลับกันประสบการณ์ที่เราไปพบเจอถึงจะจับต้องไม่ได้ หากพอนานวันเข้าเราจะระลึกถึงมันบ่อย ๆ
ถ้าพูดถึงคำว่า “อีสาน” สำหรับผู้บ่าวเมืองหรือคนนอกพื้นที่อาจมองภาพไม่ค่อยออก นอกจากจะเข้าใจว่าเป็น ถิ่นเศรษฐกิจ ยินเสียงแคน แดนส้มตำ และเป็นพื้นที่แห้งแล้งตามที่หน้าบทเรียนบอกไว้ ทั้งที่ในความจริงอีสานมีมากกว่านั้นเยอะ โดยเฉพาะความเข้มข้นทางอุดมการณ์ งานศิลป์ กับวัฒนธรรมแสบ ๆ คัน ๆ เรื่องเพศที่เอามาตีแผ่ผ่านประเพณี เรียกได้ว่าความทะเล้นขี้เล่นเลยไม่เป็นรองใครเหมาะกับผู้บ่าว UNLOCKMEN ที่มีศิลปะความแสบมันส์ ลึก น่าสนใจ ชอบการแสดงความคิดเห็นและมีอารมณ์ดีเป็นที่ตั้งจะได้ไป challenge ประสบการณ์ใหม่ช่วงวันหยุด โดยสามารถเบิ่งเต็มตาได้ที่นิทรรศการ “อีสานสามัญ” นิทรรศการหมุนเวียนที่จัดขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ ภายในห้องนิทรรศการหลักชั้น 9 ของหอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ได้ ส่วนใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ลองดูภาพที่เราไปเก็บมาฝากเพื่อเรียกน้ำย่อยกันก่อน พุ่งตรงเข้าตะวันออกเฉียงเหนือที่ชั้น 9 เดินขึ้นบันไดเวียนมาตามทาง สิ่งที่เจอจะมีงานศิลปะหลายประเภท ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย Installation แล้ววิดีทัศน์ให้เราเดินไปได้ตลอดรายการไม่เบื่อ ที่สำคัญงานไม่ได้ลึกหรือ Abstact เกินกว่าจะเข้าใจ แต่สามารถนั่งมองและอ่านมันได้ยาวๆ หลายนาที ดินแตกบนผืนผ้าใบแลกเรื่องเล่าชาวอีสาน ภาพแม่เฒ่า พ่อเฒ่า บนผืนผ้าใบที่จัดเรียงตามแนวกำแพงด้วยสีหน้าเปี่ยมอารมณ์ความรู้สึกถูกจับเล่ากับสีโทนน้ำตาลที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความระอุขอแดนอีสาน ขัดกับแอร์คอนดิชั่นเย็น ๆ ที่กำลังงานได้เป็นอย่างดี ถ้าบอกว่ามันต่างจากภาพวาดของศิลปินคนอื่น ๆ
หนุ่มก้ามปูที่มาพร้อมกล้ามเนื้ออันเพอร์เฟ็กต์ หนุ่ม Skinny หุ่นนายแบบ ขอให้หลบไปก่อน นาทีนี้หนุ่มหมีพุง หนา ๆ ใหญ่ ๆ ไหล่กว้าง ๆ กำลังเรียกคะแนนจากสาว ๆ แบบไม่ยั้ง สาว ๆ เองก็ดูจะชอบหนุ่มแนวนี้อยู่ไม่น้อย สำหรับกระแสที่มาแรงเมื่อไว ๆ นี้ก็คงเป็น “หนุ่มแดดดี้” ที่เราเคยพูดถึงไปแล้วในคอนเทนต์ “หนุ่มน้อยหลบไป หนุ่มใหญ่มาแรง “ล้วง 5 เหตุผล ทำไมสาว ๆ ชอบผู้ชายลุคแด๊ดดี้” กับแฮชแท็ก #แด๊ดดี้ที่ไม่ได้แปลว่าพ่อ” แต่กระแสที่มาแรงไม่แพ้กันในตอนนี้คือ “หนุ่มหมี” ที่วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาดูเหตุผลดี ๆ (ที่อยู่นอกเหนือปัจจัยอย่างหน้าหล่อและกระเป๋าหนัก) เฉพาะหนุ่มหมีเท่านั้นที่จะให้สาว ๆ ได้ แบบไหนถึงจะใช่หมี ? เดิมทีนิยามคำว่าหมีในฝั่งยุโรปจะหมายถึงหนุ่มตัวบึ้กแบบไม่เน้นกล้าม แต่ที่สำคัญคือต้องมีขนตามตัว ที่ทำให้ดูเหมือนหมีจริง ๆ นั่นเอง แต่สมัยนี้พอคำว่าหมีมันฮิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าจะให้นิยามคำว่าหมีตรง ๆ ก็คงยาก เพราะจริง ๆ ก็มีอยู่หลากหลายสไตล์ที่สามารถนับว่าเป็นหนุ่มหมีได้เหมือนกัน
งานอดิเรกยอดฮิตในวันหยุดคงหนีไม่พ้นการได้ดูหนังดี ๆ สักเรื่อง ยิ่งถ้าคุณเป็นคอหนังประเทืองปัญญา ปมร้อยแปด ที่ต้องจับตาดู และขบคิดตามแล้วล่ะก็ หนังของ “คริสโตเฟอร์ โนแลน” ผู้กำกับสติเฟื่องคงติดอยู่ในลิสต์หนังบ้างสักเรื่อง หนังของโนแลนเอง เนื้อเรื่องค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ มั่นใจได้ว่าถ้าเปิดเรื่องไหนของเขาขึ้นมา เป็นต้องได้ดูซ้ำจับรายละเอียดใหม่กันอีกสักรอบ เพราะมันช่างเป็นหนังที่พล็อตล้ำโลกจนเราอาจจะตามทันบ้างไม่ทันบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาแกะรอยเอกลักษณ์หนังโนแลนที่เราจะต้องเจอในทุก ๆ เรื่องกัน ชนิดที่ว่ายังไงก็ต้องเจอมันสักอย่างในเรื่องนั่นแหละ การเล่าเรื่องที่ไม่เรียงลำดับเวลา ข้อนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างชัดเจน เพราะเจอได้ในหลายเรื่องที่เป็นผลงานสร้างชื่อให้กับเขา ไม่ว่าจะเป็น Memento อันนี้ก็เข้าข่าย แต่ลงดีเทลมากไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นสปอยล์เอา Insomnia ที่มี Flashback โผล่มาทักทายคนดูให้งงกันเล่น ๆ The Prestige ที่ฉากแรกกับฉากสุดท้ายมีความเกี่ยวข้องกันแบบสุด ๆ และอื่น ๆ อีกหลายเรื่องอย่าง Dark Knight, Inception, The Dark Knight Rises, Interstellar ที่ข้ามเส้นเรื่องบ้าง ใช้ Flashback เล่นกับเส้นเรื่องบ้าง ทำให้เราต้องจับตาดูให้ดีตลอดเวลา ว่าฉากที่กำลังดูอยู่คือส่วนไหนของหนังกัน ต้องดูย้อนกลับหลัง? หรือตอนแรกจะเป็นตอนท้าย? ล้ำอะไรขนาดนี้! แม้ฟังดูจะชวนงงงวย แต่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า คนที่ชอบหนังของโนแลน จะชอบข้อนี้มากเป็นพิเศษ จริง ๆ มันเป็นสิ่งที่ผู้กำกับคนอื่นก็ทำเหมือนกัน
“สบายมากครับ” เป็นคำพูดที่บรรดาชายชาตรีมาดแมนอย่างเรามักจะใช้บอกคนรอบข้างบ่อย ๆ เวลามีปัญหา หลายครั้งก็เป็นการหลอกตัวเองว่าเราสบายดี ยิ่งกับเรื่องอารมณ์ด้วยแล้ว ภาวะผู้นำของเราเหมือนถูกกำหนดมาให้ต้อง Keep Calm อยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ในใจบางทีก็เดือด เหงา เศร้า เหมือนคนอื่น ๆ จนสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกทีสติที่มีก็ขาดผึงไปจนอาการย่ำแย่ เพื่อกอบกู้อารมณ์ที่เก็บไว้ข้างในให้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว มันเลยมีนวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมา เรียกว่า “ชุดปฐมพยาบาลอารมณ์” ไว้ใช้เป็นอุปกรณ์สามัญประจำบ้านติดตัวไว้อีกกล่องเพิ่มจากพวกกล่องยาแดง แอลกอฮอล์ หรือสำลี ที่ต้องมีรักษาแผลสด โดยเกิดจากการตั้งคำถามของ Rui Sun ดีไซน์เนอร์ที่ตั้งคำถามว่าทำไมโลกใบนี้มันถึงผลิตแต่โปรดักส์รักษาแผลกายไม่ยอมเหลียวแลแผลใจกันบ้าง “Why do so many products ease physical pain and so few treat emotional stress?” – Rui Sun เปิดกล่อง หยิบใช้ เพื่อให้ครอบคลุมเรื่องเครียด ข้างในกล่องปฐมพยาบาลอารมณ์จะมีของให้เราได้ใช้อยู่ 5 ชิ้น จากการสำรวจคร่าว ๆ
พูดถึงรถมอเตอร์ไซค์ คนทั่วไปคงจะแบ่งรูปแบบของรถมอเตอร์ไซค์ง่าย ๆ เป็นรถแม่บ้าน รถออโต้ รถบิ๊กไบค์ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ายังมีกลุ่มคนจำนวนมากที่หลงรักมอเตอร์ไซค์อีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า “มินิไบค์” และหากพูดถึงเรื่องราวของ “มินิไบค์” ชื่อของ Honda Monkey น่าจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่คนนึกถึง เจ้ารถคันเล็กหน้าตาน่ารักนี้มันมีอะไรน่าสนใจถึงครองใจเหล่าไบค์เกอร์และนักสะสมรถมาได้ยาวนานกว่า 50 ปี วันนี้ UNLOCKMEN จะพาย้อนกลับไปดูเรื่องราวของ Honda Monkey ว่าอะไรที่ทำให้คนจำนวนมากต้องหลงรักเจ้ารถไซส์มินิคันนี้ เริ่มจากเรื่องเล่น ๆ Honda Monkey นั้นถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 แรกเริ่มเดิมทีเจ้าลิงน้อยนี้ไม่ได้เกิดมาจากความตั้งใจจะออกแบบมาเพื่อขาย แต่เกิดจากความนึกสนุกของพนักงานในบริษัทฮอนด้าที่อยากจะทดลองทำมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ๆ ไว้ขี่เล่นเวลาว่าง! และเรื่องราวหลังจากนี้จึงเป็นตัวอย่างของคำว่า “ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์” ได้ชัดเจนที่สุด เพราะพนักงานคนนั้นได้เอาเวลาว่างไปยกเครื่องยนต์ขนาด 50 ซีซี ที่มีขายอยู่แล้ว มายัดลงตัวถังเล็ก ๆ สีขาว ๆ กับโครงรถสีแดงตัดกันสวยงามพร้อมล้อจิ๋วขนาด 5 นิ้ว แล้วก็…เปล่า! ยังไม่ได้เป็น Honda Monkey หลังจากประกอบเสร็จชื่อแรกของมันไม่ใช่ Monkey
เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อว่าสไตล์ก็อดอย่าง Kanye West ก็มีไอดอลในการแต่งตัวกับเขาเช่นกัน เพราะใครจะไปคิดว่าผู้ชายที่เปรียบเหมือนตัวพ่อแถมยังเป็นคนกำหนดเทรนด์แฟชั่นของโลกจะมีโรลโมเดลกับเขาเช่นกัน เพราะต้องสารภาพตามตรง ก่อนหน้านี้เราคิดมาเสมอว่า Kanye West จะต้องเป็นคนที่เซ้นท์การแต่งตัวเหมือนพระเจ้าประทานมาให้คิดรูปแบบแพตเทิร์นดีไซน์ด้วยตัวเอง จนเกิดเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกต้องแต่งตัวตาม แต่ปรากฎเรื่องน่าเหลือคือ Kanye เองก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่นำแรงบันดาลใจจากหลาย ๆ แห่งมาสร้างสรรค์เป็นสไตล์ของตัวเอง ซึ่งจากการเปิดเผยล่าสุดทำให้เรารู้ว่าในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ใครคือคนที่ Kanye West ใช้เป็นแรงบันดาลกับสไตล์ของตัวเองมากที่สุด จนเราถึงกับร้องอ้อเนื่องจากไม่เคยสังเกตมาก่อน ทว่ามันกับตรงเป๊ะ ๆ มาก Shia LaBeouf ที่หลายคนมองว่าเขาเพี้ยน สติไม่ปกติ แต่ครั้งหนึ่งทีมงาน UNLOCKMEN เคยวิเคราะห์การแต่งตัวของเขาแล้วว่าสุดโต่งและเป็นตัวเองมาก ๆ เพราะตลอดเวลากว่า 10 ปีหลังจากที่ Shia (content) ค้นพบสไตล์ของตัวเองที่ผสมผสานระหว่าง Millitary และ Athleisure เกิดเป็น Normcore ที่ตัวเขาเองเรียกมันว่า “Blue Collar” จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ Kanye รู้สึกชื่นชอบในตัวเขา ถ้าหากเราย้อนดู Yezzy คอลเลคชั่น หรือ Style
ผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ กับงาน FROM RAGS TO DISPLAY ครั้งที่ 3 กิจกรรมโคตรดีต่อใจสำหรับเหล่าคนที่รักและหลงใหลในของ Vintage โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม “WEAR THE MUSIC” ในงานเต็มไปด้วยกองทัพเสื้อยืดวินเทจมากมายและเสียงดนตรีจากยุค 70’s , 80’s , 90s ภายใต้บรรยากาศสบาย ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในอู่ต่อเรือกรุงเทพ(The Bangkok Dock) กิจกรรมภายในงาน แบ่งออกเป็นหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นโซนร้านค้า กว่า 180 ร้าน ที่ไม่ได้มีเพียงพ่อค้าแม่ขายชาวไทยเท่านั้น แต่พี่น้องคนรักของเก่าจากเพื่อนบ้านฝั่งประเทศมาเลเซียรวมไปถึงญี่ปุ่น ก็ลงุทนขนเสื้อผ้าข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้เราได้เสียเงินชนิดไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล ไม่ว่าจะเป็นร้านชื่อดังอย่าง BERBERJIN และ MR.clean รวมไปถึงกิจกรรมประมูลของอย่าง Auction manage by “ LOVE TOKYO ” สำหรับคนชอบบิดของแข่งกัน ส่วนสาย ขุด คุ้ย ยื้อแย่งเป็นชีวิตจิตใจคงไม่หนีไม่พ้นความดึงดูดของเขต Backyard Sale