ดนตรีถือเป็นอีกหนึ่งพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดลุยเดช จนได้รับพระราชสมัญญาว่า “อัครศิลปิน” โดยพระองค์ทรงมีความสนพระราชหฤทัยในเรื่องดนตรีตั้งแต่ทรงพระเยาว์วัย และเริ่มเรียนดนตรีเมื่อมีพระชนมายุ 13 พรรษา ขณะประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดลุยเดชทรงเลือกเรียนการเป่าแซกโซโฟน วิชาการดนตรี การเขียนโน้ต และการบรรเลงดนตรีสากลต่าง ๆ ในแนวดนตรีคลาสสิค ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะสามารถทรงเครื่องดนตรีได้ดีหลากหลายชนิด นอกจากนั้น พระองค์ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์เพลงด้วยตนเองเมื่อมีพระชนมพรรษาได้ 18 พรรษา ซึ่งคือทำนองเพลง “แสงเทียน” เป็นเพลงพระราชนิพนธ์แรก จนกระทั่งถึงปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดลุยเดชทรงมีเพลงพระราชนิพนธ์รวมทั้งสิ้น 48 เพลง เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระอัฉริยะภาพของพระองค์ท่าน วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ขอนำเพลย์ลิสต์เพลงพระราชนิพนธ์มาให้สถิตอยู่ในดวงใจของชาวไทยทุกคน แสงเทียน “แสงเทียน” เพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2498 ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระอนุชาธิราชได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย แต่เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะทรงแก้ไขทำนองและคอร์ดบางตอน จึงยังไม่โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้นำออกมาบรรเลงในเวลานั้น ต่อมา ได้พระราชทานให้นำออกบรรเลงครั้งแรก พ.ศ.2490 และใน พ.ศ.2496 นางสาวสดใส วานิชวัฒนา ประพันธ์คำร้องภาษาอังกฤษ ลมหนาว “ลมหนาว” เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 19 ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. 2497
เหลืออีกวันเดียวเท่านั้น ก็จะถึงวันที่พสกนิกรไทยทั้งแผ่นดินคงไม่สามารถกลั้นน้ำตาจากความโศกเศร้าอาลัยเอาไว้ได้ กับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันที่ผู้คนทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย ต่างก็ต้องพร้อมใจกันถวายความอาลัยครั้งสุดท้ายแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงอันเป็นที่รักยิ่ง ซึ่งหากใครที่วางแผนไว้ว่าจะเดินทางไปที่พระราชพิธีไว้ในตอนแรก แต่มีเหตุให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ทัน หรือด้วยเหตุสุดวิสัยอื่นใดก็ตาม รวมไปถึงพ่อแม่พี่น้องชาวไทยทุกคนที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัดที่แม้จะไปร่วมพิถีถวายดอกไม้จันทน์ ณ พระเมรุมาศจำลองที่จัดสร้างขึ้นในแต่ละจังหวัดแล้ว แต่เราเชื่อว่ายังไงพี่น้องชาวไทยทุกคน ก็ยังอยากที่จะติดตามการถ่ายทอดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อย่างใกล้ชิด โดยช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 นี้ ได้ถูกเตรียมการเอาไว้อีกหลายช่องทาง เพื่อประชาชนชาวไทยให้ติดตาม โดยคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้ดำเนินการถ่ายทอดสดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับชมและรับฟังบรรยากาศจากมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ดังนี้ สื่อโทรทัศน์ โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) เป็นแม่ข่ายในการถ่ายทอดสดไปยังสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง และสถานีโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษ NBT World และ Thai TV TGN Global Network ส่งสัญญาณเผยแพร่ภาพและเสียงไปยัง 177 ประเทศทั่วโลก สื่อวิทยุ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เป็นแม่ข่ายถ่ายทอดสดไปสถานีวิทยุทั่วประเทศกว่า 5,000 สถานี
ตลอดระยะเวลา 1 ปีแห่งการสูญเสีย ที่เราทุกคนล้วนแต่ต้องพยายามลุกเดินและก้าวต่อไป คงไม่ใช่แค่เพียงผมคนเดียวที่รำลึกถึงพระองค์ท่าน เพราะยิ่งเข็มเวลาเดินผ่านมาไกลเท่าไหร่ พวกเราทุกคนล้วนได้รับการตอกย้ำชัดเจนมากขึ้น กับทุก ๆ สิ่งที่พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อประชาชนเสมอมา ตลอดเวลา 70 ปีที่พระองค์ทรงงานอย่างหนัก ไม่เพียงแต่เป็นพ่อของแผ่นดินเท่านั้น แต่ยังได้ให้ชีวิตและคิดการณ์ไกลในความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน ทรงพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นก็เพื่อให้คนไทยทุกคนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น สุขสบายมากขึ้น แม้ว่าในแต่ละพื้นที่ที่พระองค์เสด็จไปล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ทุรกันดารก็ตาม แม้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อก่อน ก็คงไม่ได้อำนวยสะดวกและง่ายต่อการใช้งานแบบทุกวันนี้ แต่พระองค์ก็ทรงมีอุปกรณ์ทรงงานส่วนพระองค์ติดตัวอยู่เสมอ UNLOCKMEN จึงขอพูดถึง 5 อุปกรณ์ทรงงานส่วนพระองค์ที่เมื่อเราเห็น จะได้ย้ำเตือนพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงงานหนักเพื่อประชาชนเสมอมา วิทยุสื่อสาร อีกหนึ่งความคุ้นตา ที่เรามักจะเห็นพระองค์ท่านพกพาเครื่องวิทยุสื่อสารติดตัวไปในพื้นที่ทุรกันดารอยู่เสมอ พระองค์ไม่เพียงแต่พกพาและใช้สื่อสารขณะทอดพระเนตรประชากรเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงมีพระอัจฉริยะภาพทางด้านการสื่อสารอีกด้วย โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีควอไซท์ส่วนพระองค์คือ VR 009 ที่ทรงช่วยพระราชทานคำแนะนำ เกี่ยวกับเครือข่ายวิทยุสื่อสารให้อยู่บ่อยครั้ง แม้กระทั่งเหตุการณ์ช่วยเหลือศูนย์สายลมให้เข้าถึงเหตุวาตภัยที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เมื่อปี 2539 พระองค์ท่านก็ทรงติดต่อเข้ามา เพื่อแนะนำวิธีที่ถูกต้องให้อาสาสมัครในการออกไปช่วยเหลือประชาชน แผนที่ ทุกครั้งที่พระองค์ทรงเสด็จฯ เยี่ยมราษฏร สิ่งที่เรามักเห็นอยู่ในพระหัตถ์ของท่านอยู่เสมอคงเป็น “แผนที่” ที่พระองค์ใช้ทรงงานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแห่งหนใดในประเทศไทย โดยแผนที่ฉบับนั้นเรียกว่า “แผนที่มาตราส่วน 1
ภาพจำของพระมหากษัตริย์ที่เราเห็นในหนังสือหรือภาพยนตร์คงเป็นชายหน้าตาภูมิฐานนั่งเสวยสุขอยูบนบัลลังก์ แต่นั้นคงไม่ใช่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของชาวไทยอย่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นแน่ ภาพจำของพระองค์ท่านในหัวใจของเราชาวไทยคงเป็นการตรากตรำทรงงานหนักเพื่อให้พสกนิกรอย่างเราอยู่อย่างร่มเย็น และสิ่งที่เราจำได้ว่าจะอยู่ข้างพระวรกายเสมอ สิ่งหนึ่งสิ่งนั้นที่ต้องคิดถึง UNLOCKMEN เชื่อว่าคงไม่พ้นกล้องถ่ายภาพ วันนี้ขอ UNLOCKMEN จึงขอพาชม นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จัดขึ้นที่ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ที่นำภาพ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาจัดแสดงไว้ถึง 200 รูป โดยมีทั้งที่เคยเผยแพร่และไม่เคยเผยแพร่โดยมีภัณฑารักษ์ คือ คุณนิติกร กรัยวิเชียร ภายในงานแบ่งการนำเสนอออกเป็น 3 ช่วงของรัชกาล คือ ช่วงต้นรัชกาล จัดแสดงภาพถ่ายยุคขาว-ดำของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระราชโอรส พระราชธิดา ตั้งแต่วันพระราชสมภพและพระบรมวงศานุวงศ์ ช่วงกลางรัชกาล จัดแสดงภาพการทรงงาน ณ สถานที่และโครงการต่าง ๆ ทั้งด้านการเกษตร การชลประทาน การพัฒนาท้องถิ่น และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และ ช่วงปลายรัชกาล จัดแสดงภาพครั้งเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระราชวังไกลกังวล ทัศนียภาพอันงดงามต่าง ๆ และสุนัขทรงเลี้ยง
เป็นที่รู้กันว่า สัตว์ปีก อย่างนกกระจอกเทศนั้นมี IQ ค่อนข้างที่จะต่ำ ซึ่งคุณเองก็สามารถสังเกตได้จากการที่มันมักจะมุดหัวหลบเข้าไปในอะไรสักอย่างเมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะมันคิดว่า เมื่อมันมองไม่เห็นศัตรู ศัตรูก็มองไม่เห็นมันเช่นกัน ซึ่งพูดตรง ๆ เลยว่า มนุษย์เราที่เรียนจบ ป.6 มาเป็นอย่างน้อย คงไม่มีใครใช้หลักการ หรือมีความคิดแบบนี้เมื่อต้องหลบซ่อนตัวเองอย่างแน่นอน แต่ความบื้อนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป ถ้ารู้จักนำมันมาประยุกต์ใช้ เช่นเดียวกับ Ostrich Pillow อุปกรณ์สุดเพี้ยนที่ต้องถูกใจคนชอบนอน หรือง่วงได้ทุกที่ทุกเวลา ที่คุณกำลังจะได้ทำความรู้จักกันในวันนี้ รับรองว่า งี่เง่าสุด ๆ จนคุณอาจจะมีความคิดที่อยากจะลองซื้อมาใช้งานดูก็ได้ Ostrich Pillow ที่ว่านี้ จริง ๆ แล้ว มันก็คือหน้ากากดี ๆ นี่แหละ แต่มันถูกออกแบบมาด้วยหลักการเดียวกับการซ่อนตัวของนกกระจอกเทศ ที่คิดว่าพอมุดหัวหลบเข้าไปที่ไหนสักแห่งแล้ว จะไม่มีใครเห็นมันเมื่อมันไม่เห็นใคร กลุ่มคนหัวใส่จึงใช้หลักการนี้มาประยุกต์ใช้กันคนที่ง่วงนอน หรือชอบนอนไปในทุกที่ แม้จะเป็นตอนกลางวัน หรือที่แจ้งก็ตาม การทำงาน Ostrich Pillow ที่เป็นหน้ากากนี้ ไม่มีอะไรมาก เพราะมันมีหน้าที่แค่ช่วยปกปิดดวงตาของคุณ ไม่ให้มีแสงสว่างใด ๆ เล็ดรอดเข้าไปถึงด้วยตาคุณ
คำว่า Productivity นั้นน่าสนใจมาก โดยเฉพาะในวัยคนทำงาน จะรู้ดีว่าถ้าหากวัน ๆ หนึ่งผ่านไปโดยที่ไม่มีงาน หรือได้ผลลัพธ์จากการทำงานในวันนั้นเลยจะรู้สึกหดหู่แค่ไหน บางคนจึงพยายามทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ตลอดทั้งเพื่อที่จะให้งานเสร็จลุล่วงอย่างที่ตั้งใจ หรือวางแผนไว้ แต่ในความเป็นจริงมันมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เปอร์เซ็นของ Work Productivity ในตัวเราลดลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมมันยังเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คน เป็น หรือ ทำอยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัวซะด้วย วันนี้เราจึงได้นำเอา 4 นิสัยในโลกออนไลน์ที่ถ้าหากคุณทำแล้ว จะลด Work Productivity ของคุณลงมาให้ดูกัน หากใครที่กำลังหาคำตอบชีวิตอยู่ว่า ทำไมถึงทำงานไม่ค่อยจะสำเร็จดั่งใจหมายสักที วันนี้เรามีคำตอบ และวิธีแก้ไขมาให้ได้ดูกัน ก่อนอื่นคุณต้องรู้ก่อนว่า มันมีปัจจัยมากมายหลายสาเหตุที่จะทำให้ Work Productivity ของคุณนั้นลดลง แต่ในปัจจุบันนี้ สาเหตุของคนส่วนใหญ่จะเป็นนิสัยการใช้งานโลกออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน แต่เป็น Internet นั่นแหละ ที่ทำให้พนักงาน หรือคนทำงานส่วนใหญ่ ไม่สามารถ Focus งานได้อย่างที่ควรจะเป็น โดยมีการแบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยดังต่อไปนี้ 1#Browsing without a purpose หลายคนมีนิสัยชอบเปิดแท็บในหน้าเว็ป
คุณคงเคยได้ยินใครหลายคนชอบพูดว่า ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำเพราะเหตุผลคือ “ไม่มีเวลา” สำหรับคนที่ศึกษาเรื่องพัฒนาตัวเอง คุณก็จะต้องเคยได้ยินอีกนั่นแหละว่า “ไม่มีหรอก ไม่มีเวลา มีแต่มันไม่สำคัญมากพอ คุณเลยไม่หาทางจัดเวลาให้มัน” ในฐานะที่ตัวเองเป็นพนักงานประจำที่ขับรถไป-กลับที่ทำงานวันละ 100 km. ผมพบว่า “ผมไม่ได้มีประเด็นเรื่องไม่มีเวลา ผมรู้ว่าอะไรสำคัญสำหรับตัวเองและจัดเวลาให้มันได้ แต่สิ่งที่พบคือเวลาแต่ละวันก็ยังไม่พอที่จะเติมเต็มทุกด้านของชีวิตอยู่ดี” คำถามคือ “แล้วเราจะสร้างเวลาขึ้นมาเพิ่มเพื่อเติมเต็มชีวิตให้รอบด้านมากขึ้นได้ยังไง?” และนี่คือ 3 วิธีที่ผมใช้ และอยากจะเอามาแบ่งปันให้ฟังกันครับ 1. Kaizen (Continuous improvement) ทุกบริษัทญี่ปุ่นจะมีหลักการข้อหนึ่งที่ยึดถือกันเป็นสรณะเหมือนกันคือ Kaizen แปลเป็นไทยว่า “การปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” ผมใช้หลักการนี้กับชีวิตตัวเองเสมอ ถามว่าใช้ยังไง อันดับแรกคุณต้องรู้ก่อนว่าในแต่ละวันคุณทำอะไรอยู่บ้าง เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองทำอะไรบ้างทั้งวัน คุณจะเห็นว่าตัวเองใช้เวลากับแต่ละเรื่องเยอะ-น้อยแค่ไหน จากจุดๆนั้นคุณจะสามารถหาวิธีปรับปรุงวิธีการใช้ชีวิตของคุณได้หลายอย่าง เช่น ลดเวลากิจกรรมบางอันได้ไหม ทำอะไรให้เร็วขึ้นได้บ้าง สร้างระบบ หาเครื่องมือช่วยได้รึเปล่า เป็นต้น เราโตขึ้นทุก ๆ ปีครับ ทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ มาก็มาก ยิ่งทำซ้ำมาก ยิ่งเชี่ยวชาญมาก คำถามคือ “จะเป็นไปได้ยังไงที่จะทำให้อะไรเร็วขึ้นบ้างไม่ได้เลย จะเป็นไปได้ยังไง?” 2. Outsourcing
สำหรับแฟน Microsoft ชาวไทยคงจะเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับความยอดเยี่ยมของ Surface Book กันมาบ้างแล้วว่ามันเจ๋ง และน่าใช้งานขนาดไหน แต่น่าเสียดายที่ในบ้านเรานั้น ไม่มีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะมีก็แค่ Surface Pro แต่ก็ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ดี และตอบสนองการใช้งานได้ไม่แพ้กัน แต่วันนี้ใครที่รอข่าวของ Surface Book กันอยู่อาจจะมีลุ้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะว่าทาง Microsoft เพิ่งทำการเปิดตัว Surface Book 2 ออกมาแล้ว ทำให้หลายคนนั่งลุ้นว่า ครั้งนี้จะมีการตีตลาดนำเข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการรึเปล่า? วันนี้ UNLOCKMEN จึงนำเอาความสามารถ และความน่าใช้ของ Surface Book ตัวใหม่ล่าสุดนี้ มาให้ทุกคนได้ดูกัน รับรองว่า จะช่วยเพิ่มความกระสันอยากได้ให้มากขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน ครั้งนี้ Microsoft ถือว่า จัดชุดใหญ่มาให้กันแฟน ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะ Surface Book 2 ตัวใหม่นี้ มีสเป็คที่เรียกได้ว่าโหดสุด ๆ เลยทีเดียว เพราะในรุ่น Top สุดนั้น จะใช้ชิพประมวลผล
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และสำหรับประชาชนทั่วไปที่กำลังคิดจะซื้อบ้าน ซื้อสินทรัพย์ใหญ่ ๆ เช่น รถยนต์ ต้องติดตามสองมาตรการที่กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวเราเองอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก สองมาตรการดังกล่าว ได้แก่ มาตรการ LTV (Loan-To-Value) และ DSR (Debt Service Ratio) ก่อนเราจะมารู้จักมาตรการทั้งสองตัวขอฉายภาพของ “หนี้ครัวเรือน” ในประเทศไทยเสียก่อน จากภาพเราจะพบว่า หนี้สินครัวเรือนของประเทศไทยมีกว่า 15 ล้านล้านบาทในปี 2019 และเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กว่า 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเห็นแนวโน้มการเติบโตของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL เพิ่มขึ้นทุกปี จากปี 2016 ที่มีหนี้เสียเพียง 3.8 แสนล้านบาท และนั่นคือที่มาของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องออกมาตรการดังกล่าวเพื่อยับยั้งการเติบโตของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นี้ มาตรการ LTV (Loan-To-Value) คืออะไร ? มาตรการ LTV (Loan-To-Value) คือ เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ โดยรายละเอียดของมาตรการนี้มีดังต่อไปนี้ สัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังแรก สามารถกู้ได้ 100% ไม่เปลี่ยนแปลง สัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังที่สอง
ใกล้สิ้นปีกันอีกแล้ว เป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้ต้นปีเป็นอย่างไรกันบ้าง ? บางคนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ แต่หลายคนอาจจะยังทำไม่ได้ นั่นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การเดินหน้าต่อไป เพราะเวลายังเหลือ! ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ โดยเฉพาะการลงทุน สำหรับการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ เราต้องคิดต้องทำเสียแต่บัดนี้แล้ว เพราะใกล้สิ้นปีเต็มที ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วง “มรสุม” สำหรับการลงทุน สินทรัพย์หลายตัวตกลงมาอย่างน่าใจหาย และนั่นคือ “โอกาสในวิกฤต” ส่วนมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันเลย “อสังหาริมทรัพย์ทำเลดี ที่ถูกลดราคาลงมา” สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับปีนี้หลายคนคงเห็นแล้วว่า ภาคเศรษฐกิจของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งตกต่ำลงมาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอนโดมิเนียม ที่แม้จะอยู่ในทำเลที่ดีมากแต่มีราคาถูกลงเหลือเชื่อ หากติดตามตัวเลขสถิติจะพบว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มที่ราคาขายต่อตารางเมตรจะลดลง ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไปไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาจไม่สามารถซื้ออสังหาฯ ทำเลดี ๆ แบบนี้ได้ในราคาที่ทั้งลดทั้งแถม เหมาะกับการวางแผนการลงทุนแบบนี้ คนที่มีเงินในการช้อปฯ อสังหาฯ ช่วงนี้ถือเป็นช่วงฟ้าเปิด ทำเลดี เพราะราคาส่วนลดกับออพชั่นน่าเล็งใกล้สถานีรถไฟฟ้า หลายทำเล แบรนด์ดัง ๆ พาเหรดกับลดราคาลงมา และหลายที่ Developer เองเป็นผู้ลดราคาเสียด้วย เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้เขาต้องขายสินค้าไม่ให้ค้างสต๊อก เพื่อให้ได้เงินนำไปจ่ายค่าก่อสร้างโครงการ แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นโอกาสคงไม่ได้แล้ว เมื่อโอกาสเป็นของผู้ซื้ออย่างเราตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องเลือกเสียหน่อย “หุ้นสามัญ