เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Alpha กันมาบ้างอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนที่รู้ความหมายของคำนี้จริง ๆ อาจมีเพียงไม่ถึงครึ่ง โดยเฉพาะคำว่า Alpha Male ที่เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ในบทความประเภททำอย่างไรในการพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น วันนี้เราเลยจะมาพูดถึงคำว่า Alpha Male ว่ามันมากจากไหน และคนแบบไหนกันที่เรียกว่า Alpha Male รวมไปถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์ Alpha กับมนุษย์ Beta มาให้ดูกันด้วย แล้วมาดูกันว่า ไอ้การเป็น Alpha Male ที่เขาพูดถึงกันนักหนานี่ มันใช่ตัวคุณเองรึเปล่า? และคุณอยากที่จะเป็นมนุษย์ Alpha ที่ว่านี้หรือไม่? What is Alpha? จริง ๆ แล้ว คำว่า Alpha นั้น มาจากตัวอักษรตัวแรกในภาษากรีก ดังนั้น มันจึงน่าจะทำให้คำว่า Alpha ในภาษาอังกฤษหมายถึง จุดเริ่มต้น ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่า Omega ที่เป็นตัวอักษรตัวสุดท้ายในภาษากรีก อันมีความหมายว่า การจบสิ้น ส่วนอีกคำหนึ่งที่มักมาคู่กับ
เวลาที่เราเห็นภาพสวย ๆ ของตากล้องมืออาชีพ หรือใครสักคนทีเราชื่นชอบผ่านตาไป เรามักจะมีคำถามอยู่ในใจเสมอว่า “ใช้กล้องอะไร ใช้เลนส์อะไร ทำไมถ่ายสวยขนาดนี้” และเราจะไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย เพราะส่วนใหญ่คงไม่มีใครที่ไหนลงรายละเอียดเขียนบอกเอาไว้ให้เราทราบกันอย่างแน่นอน ซึ่งช่วงนี้ใครที่มีแนวโน้มกำลังมองหาเลนส์และกล้องที่ถูกใจสักตัว โดยตั้งเป้าหมายที่ต้องการถ่ายได้เหมือนกับตากล้องในฝันแล้วละก็ UNLOCKMEN จะแนะนำเครื่องมือออนไลน์ตัวเจ๋ง ที่จะช่วยป้ายยาให้ตรงกับเป้าหมายของการถ่ายภาพที่คุณอยากได้ที่สุด ยิ่งสมัยนี้มีกล้องเป็นร้อยแบรนด์และเลนส์เป็นพัน ๆ ตัว ให้เราเลือกชื้อเลือกใช้งาน แต่ทว่าคนที่ไม่มีความรู้หรือไม่มั่นใจว่าภาพที่เราอยากได้จริง ๆ ใช้กล้องตัวนี้หรือเลนส์แบบนี้หรือเปล่า What The Lens จึงมีรูปแบบเป็นเว็บไซต์ตัวช่วยเกิดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ การใช้งานง่ายแสนง่าย แค่เข้าไปที่ตัวเว็บไซต์ https://whatthelens.com และเลือกภาพจากหมวดหมู่ทั้งหมดที่มีถึง 6 หมวด เช่นภาพวิว, ภาพมาโคร, ภาพสัตว์, ท่องเที่ยว, ไปจนถึงผู้คนและตึกสูงใหญ่ในเมือง จากนั้นเลือก 20 ภาพที่ใกล้เคียงกับระยะที่เราชื่นชอบและอยากได้มากที่สุด ถ้าไม่มั่นใจก็สามารถคลิกขวาขยายดูรายละเอียดของตัวภาพได้เลย เมื่อขั้นตอนการเลือกเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีข้อมูลแนะนำทั้งตัวกล้องและเลนส์ที่เหมาะสมกับตัวภาพถ่ายที่คุณเลือกไว้ก่อนหน้านี้ เด้งขึ้นมาโชว์เป็นป๊อปอัพพร้อมให้เราเสียเงินสั่ง Order ได้จาก Amazon และ Adorama ให้จ่ายเงินซื้อได้ทันทีอีกด้วย เรียกว่าถูกใจใช่เลย ชื้อเลยละกัน หรือถ้าใครชอบเป็นภาพ ๆ อยากรู้ข้อมูลแค่ภาพนั้น ก็แค่ชี้เมาส์ค้างบนตัวภาพที่เราต้องการดูข้อมูล
‘ความผิดพลาด’ เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก ไม่ว่าจะในธุรกิจหรือในชีวิตจริง แม้ว่าเราจะพยายามหลีกเลี่ยงมันโดยตลอด แต่การทำธุรกิจหรือการลองทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อความเติบโตย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดข้อผิดพลาดที่เราคาดไม่ถึง ‘ความผิดพลาด’ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจที่เพิ่งเริ่มเติบโตหรือคนตัวเล็ก ๆ อย่างเราเท่านั้น บริษัทน้ำดำยักษ์ใหญ่อย่างโค้กก็เคยผิดพลาดครั้งใหญ่โตมาแล้วเช่นกัน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1985 เมื่อโค้กอยากชนกับเป๊ปซี่และหวังจะได้รับชัยชนะ พวกเขาจึงได้ริเริ่มไอเดียสุดเด็ดขึ้น ทีมวิจัยการตลาดของโค้กได้สำรวจและพบว่า โค้กรสชาติใหม่ของพวกเขาถ้าออกมาครั้งนี้ต้องได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนเป๊ปซี่ต้องแพ้กระจุยกระจาย พวกเขาจึงสรรค์สร้างโค้กรสชาติใหม่ที่หวานกว่าเดิมออกมา จนถึงวันที่สินค้าถูกปล่อยออกไป ทีมงานบริษัทโค้กต่างก็รอผลลัพธ์อันน่าทึ่ง แต่ปรากฏว่ามันพังไม่เป็นท่า! ไม่ใช่แค่เอาชนะเป๊ปซี่ไม่ได้ แต่ผู้บริโภคต่างไม่พอใจเพราะโค้กที่ออกมามันหวานเกินไปสำหรับพวกเขา มีคนเพียงร้อยละ 13 เท่านั้นที่ชอบโค้กแบบใหม่ แถมลูกค้ายังรวมตัวกันแบนไม่ยอมกินโค้กจนกว่าจะได้โค้กที่เหมือนเดิมกลับมา ภายใต้วิกฤตครั้งนั้น บริษัทโค้กปล่อยให้โค้กตัวใหม่โลดแล่นได้เพียง 77 วัน แล้วกลับไปใช้รสชาติตามเดิม ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลายเป็นบริษัทน้ำดำระดับโลกได้อย่างในปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดโค้ก ยังเคยผิดพลาดและผ่านมันมาได้ วิธีเปลี่ยนข้อผิดพลาดให้กลายเป็นความสำเร็จคืออะไร? 1.รู้ว่าอะไรคือความผิดพลาด เราไม่มีวันแก้ไขอะไรได้สำเร็จถ้าไม่รู้ว่าความผิดพลาดของเราคืออะไร หรือมาจากตรงไหน ทันทีที่เกิดข้อผิดพลาด อย่ามัวฟูมฟาย แต่หาให้เจอให้ตรงจุดให้ได้ว่าข้อผิดพลาดคืออะไรกันแน่ จะได้มุ่งตรงไปยังข้อผิดพลาดได้อย่างทันท่วงที เหมือนที่บริษัทโค้กเห็นว่าโค้กของตัวเองนั้นผิดพลาดที่ความหวาน 2.รู้ว่าเกิดความผิดพลาดได้อย่างไร ถ้ารู้ว่าความผิดพลาดคืออะไรแล้ว อย่างต่อไปที่ต้องรู้คือมันเกิดความผิดพลาดนั้นได้อย่างไร เพื่อหาหนทางแก้ไขจากสาเหตุที่มันเกิดขึ้นได้ถูกจุด และไว้เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดนี้ต่อไป 3.รับมือความผิดพลาดอย่างสงบ การฟูมฟาย หรือแม้แต่โกรธเกรี้ยวใส่กันในธุรกิจหรือวงเพื่อนฝูงกันเองเมื่อเกิดความผิดพลาดไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราควรยอมรับว่าปัญหาเกิดขึ้นแล้วและช่วยกันหาวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน
ว่ากันว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้เปลี่ยนงานบ่อยกันเป็นว่าเล่น นอกเหนือจากความขี้เบื่อแล้ว เหตุผลเรื่องฐานเงินเดือนที่ขึ้นเอา ๆ ทุกครั้งที่เปลี่ยนงานก็เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันมาก แต่ UNLOCKMEN ขอเสนอว่าเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนงานเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองเสมอไป แต่มีวิธีตรงชัดแมน ๆ อย่างการขอขึ้นเงินเดือนด้วยตัวเองกันไปเลย! เพราะงานวิจัยชี้ว่ากว่าร้อยละ 70 ของคนที่กล้าขอขึ้นเงินเดือนนั้นประสบความสำเร็จได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจริง ๆ 1.ทำการบ้าน ไม่ใช่อยู่ ๆ เรามีตัวเลขใหม่ที่อยากได้ในใจแล้วจะจบ เดินดุ่ม ๆ ไปคุยกับผู้มีอำนาจตัดสินใจแล้วขอเงินเดือนเพิ่มเสียดื้อ ๆ เราควรต้องทำการบ้านก่อนว่าตำแหน่งแบบเรานั้นเขาได้เงินเดือนกันอยู่เท่าไหร่ เรามีหน้าที่รับผิดชอบเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับตำแหน่งเดียวกันในที่ทำงานเดียวกัน หรือตำแหน่งเดียวกันในที่อื่น ๆ แล้วลองดูความเป็นไปได้กับตัวเลขในมือที่ตั้งใจไว้ดู 2.รู้คุณค่าของตัวเองที่มีต่อบริษัท แต่ความเป็นไปได้เรื่องจำนวนเงินเดือนที่เราต้องการเพิ่มก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตำแหน่งหน้าที่ของเราอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราทำงานอย่างมีคุณค่าให้กับที่ทำงานของเรามากแค่ไหน ผู้จัดการส่วนใหญ่เปิดเผยว่าพนักงานที่ทำงานที่สร้างคุณค่าให้บริษัทมากกว่าก็มีแนวโน้มที่เขาจะเพิ่มเงินเดือนให้มากกว่า รู้อย่างนี้แล้วก็ทบทวนตัวเองตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่าว่าอยากได้เงินเดือนเพอ่ม เราทำงานสร้างคุณค่าให้บริษัทเพิ่มแล้วหรือยัง? 3.รู้จังหวะเวลา จังหวะเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่มีตัวเลขในมือแล้วอยากเดินเข้าไปคุยเมื่อใดก็ได้ จังหวะที่คุณเพิ่งทำโปรเจกต์สำคัญเสร็จลุล่วงไปด้วยดีใหม่ ๆ หรือเพิ่งขายงานผ่านฉลุย หรือความสำเร็จใดก็ตามที่เป็นการสร้างคุณค่าให้กับบริษัทและหน้าที่ของคุณ เมื่อคุณทำมันได้ดี ก็รีบใช้โอกาสหลังจากนั้นในการขอปรับขึ้นเงินเดือนซะ เพราะมันมีแนวโน้มจะสำเร็จมากกว่าขอตอนที่คุณเพิ่งทำอะไรพังลงไม่เป็นท่า หรือไม่มีผลงานอะไรเลยแน่ ๆ 4.รุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง เหตุผลที่คนจำนวนมากเลือกจะลาออกจากงานเพื่อไปหวังเงินเดือนที่มากกว่ากับที่ทำงานแห่งใหม่นั้น เป็นเพราะความกลัว ความกลัวที่จะผิดหวัง ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องก้าวข้ามไปให้ได้ สงบนิ่งเข้าไว้ และคิดเสียว่านี่ก็ไม่ต่างจากการเจรจาต่อรองทั่วไป มีโอกาสสมหวัง
ถือเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วที่โลกของไฮแฟชั่นจะมาบรรจบกับสตรีทแวร์ เพราะดีไซน์เนอร์ต่างทนกระแสสังคมไม่ไหว ต้องลงมาจับมือกับแบรนด์สตรีทที่มีความเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์มนุษย์ได้ดีกว่าเสื้อผ้าประเภทโอต์ กู ตูร์ ล่าสุดถือเป็นข่าวใหญ่ทางฝั่งต่างประเทศพอสมควรเมื่อตัวเก๋าของวงการอย่าง Karl Lagerfeld จะยอมลงมาทำคอลเลคชั่นพิเศษกับ Vans เพราะถ้าหากพูดเรื่องนี้เมื่อประมาณ 10-20 ปี อาจจะฟังเป็นเรื่องขำขัน แต่ในปัจจุบันมันได้กลายเป็นจริงแล้ว เพราะ Karl ได้ออกแบบคอลเลคชั่นสุดพิเศษให้กับทางแบรนด์สเก็ตบอร์ดในตำนาน อันประกอบไปด้วย รองเท้าทั้งหมดด้วยกัน 6 รุ่นได้แก่ Old Skool , Sk8 Hi , Slip On อย่างละสองแบบ อีกทั้งยังมีเสื้อกราฟฟิค แจ็คเก็ตฮู๊ด และบอมเบอร์แจ็คเก็ต หมวก กระเป๋า มาให้ใส่เป็นเซ็ตเท่ ๆ ได้ทั้งตัว สำหรับคอนเซ็ปต์ของคอลเลคชั่นนี้ก็จะมาในโทนสีขาว ดำ ที่เป็นสัญลักษณ์ของ Karl บวกกับลายตารางที่เป็นจุดเด่นของทาง Vans สนนราคาก็ไม่แพงอย่างที่คิดเพราะราคาเริ่มต้นตั้งแต่ $40-$300 และจะวางขายที่ช้อป Vans ทั่วโลกรวมถึงทางออนไลน์ ดังนั้นใครที่เป็นทั้งแฟนของ Karl Lagerfeld และ
ถือว่าปีนี้เป็นปีการฉลองครบรอบ 20 ปี สำหรับการวางจำหน่ายรองเท้ารุ่น Air Max 97 โมเดลคลาสสิคที่แม้แต่ในปัจจุบันยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างไม่ลดละ ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็ได้มีการปล่อยสี OG หรือ Silver Bullet ออกมาเอาใจแฟน ๆ ไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าทาง Nike จะไม่หยุดไว้เพียงเท่านี้ เพราะล่าสุดต่างทยอยปล่อย Air Max 97 สีต่าง ๆ ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งวันนี้ทีมงานจะขอนำเสนอรองเท้า Air Max 97 ที่กำลังจะวางขาย และน่าสนใจมาฝากกัน Air Max 97 x UNDFTD ความจริงแล้วรองเท้าคู่นี้ยังไม่มีกำหนดการวางจำหน่ายที่แน่นอน แต่ DJ Khaled ซึ่งได้รองเท้าคู่นี้มาแล้ว ดันถ่ายภาพอวดชาวบ้าน ทำให้ร้อนไปถึงแฟน ๆ สนีกเกอร์ที่เฝ้าคอยจะได้ยลโฉมรองเท้าคู่นี้กับเค้าบ้าง ซึ่งความแตกต่างของรองเท้าคู่นี้ก็น่าจะเป็นวัสดุที่คงเลือกใช้วัสดุอย่างดี เนื่องจากราคาก็ไม่ใช่ถูกอีกต่อไปสำหรับ Air Max 97 คู่นี้ ซึ่งทางด้านแบรนด์ Undefeated
แม้ว่าจะเป็นรองเท้าระดับตำนานที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนหันมาบ้าคลั่งรองเท้าสนีกเกอร์กันอย่างจริงจัง แต่สินค้าทุกตัวย่อมมีวันที่ความนิยมลดลงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เว้นกระทั่งแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลอย่าง Air Jordan โดยล่าสุดจากรายงานของ Business Insider ได้เขียนถึงวิกฤตของแบรนด์ที่ว่ายอดขายตกลงอย่างน่าใจหาย ซึ่งประกอบกับการที่ Foot Locker ได้ส่งสัญญาณว่ารู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวความเสี่ยงที่แม้แต่แบรนด์ Jordan เองก็คงไม่เคยคาดคิดมาก่อน เพราะจากรายงานของซีอีโอ Dick Johnson ได้กล่าวว่า “ยอดขายของ Jordan ได้ลดลงและต่ำสุดเป็นประวัติการณ์แม้กระทั่งในอเมริกาซึ่งทำยอดขายได้ดีมาโดยตลอด” ทำให้เป็นเรื่องที่แบรนด์อย่าง Air Jordan ต้องมาคิดวิธีการแก้ปัญหาให้ตรงจุดนี้ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า Air Jordan ถือเป็นแบรนด์คลาสสิคตลอดกาลที่ไม่ว่าจะรีโทร หรือรีสต๊อกสินค้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการของตลาดตลอดว่ากว่า 20 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาถือไพ่เหนือกว่าทั้งผู้บริโภค และคู่แข่งเลยสามารถจะกำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะทำการเลือกขายรุ่นใดเมื่อใดก็ได้ตามความต้องการของพวกเขา แต่มันไม่ใช่อีกต่อเพราะในปัจจุบันแม้แต่พฤติกรรมของผู้เสพรองเท้าก็มีการเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคในตลาดส่วนใหญ่หันมาสวมรองเท้าแบบ Low-Top มากขึ้น เนื่องจากสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตจริงมากกว่ารองเท้าบาสอย่าง Air Jordan ที่สวมใส่แม้กระทั่งกางเกงจ๊อกเกอร์ หรือสกินนี่ยังลำบาก บวกกับกระแสความนิยมที่เริ่มเอนเอียงไปทางแบรนด์คู่แข่งอย่าง adidas มากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ยอดขายรุ่นต่าง ๆ จะไม่ดีเหมือนที่เคยป็นมา อย่างไรก็ตาม Nike เองซึ่งเป็นแบรนด์แม่ของ
ในโลกภาพยนตร์ถือว่ามีเรื่องราวเกร็ดเล็กน้อย ให้แฟน ๆ ที่ชอบการดูหนังได้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียง หรือแม้กระทั่งนำเอามาเป็นมุกตลกเสียดสีกันพอสนุกปาก อาจเพราะภาพยนตร์ถือเป็นศิลปะศาสตร์หนึ่งที่แฝงในเรื่องราวต่าง ๆ ภายในมากมาย ซึ่งหากจะบอกว่าภาพยนตร์คือภาษาสากลที่เชื่อมคนทั่วโลกเข้าด้วยกันแบบไม่จำกัด เชื้อชาติ ศาสนา ฐานะ แต่วันนี้ทีมงานไม่ได้จะนำเรื่องซีเรียสอะไรมาถกเถียง โดยเราได้นำเรื่องที่ชาว UNLOCKMEN ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่รู้ไว้ก็ถือเป็นเรื่องสนุก ๆ เกร็ด ขำขัน ที่เราได้จากภาพยนตร์รวมมาไว้ให้ Sean Bean ชื่อนี้การันตีว่าต้องตาย ไม่รู้ว่านักแสดงท่านนี้ไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรกับผู้กำกับไว้ เพราะไม่ว่าเขาจะรับบทบาทไหนก็ตาม มักจะถูกขีดเขียนให้ต้องลงเอยด้วยการจบชีวิต ถูกฆ่าตาย จนถึงขั้นต่างประเทศเขาเล่นแก๊กกันว่า Sean Bean ต้องตายทุก ๆ 1.24 ปี ซึ่งมันก็สอดคล้องกับข้อมูลที่เราได้ไปสืบค้นมาว่า Sean Bean ได้ถูกฆาตกรรมในภาพยนตร์มาแล้วกว่า 21 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1986 จนถึงปัจจุบัน ชายผู้นี้โดยทั้งธนู ปืนลูกซอง จับแช่แข็ง โดยฉากที่น่าจะสะเทือนอารมณ์คนมากที่สุดน่าจะมาจาก Games Of Throne ที่ทำท่าว่าเขาจะเป็นพระเอกของเรื่อง แต่มาโดนตัดคอสะงั้น ทำให้ปัจจุบันหากเห็นชื่อของ Sean
ปัจจุบันนี้เราเห็น Clip VDO มากมายไปหมด ตามเว็บไซต์ที่บอกว่า เป็น VDO สามารถสร้างแรงจูงใจ หรือ สร้างแรงบันดาลใจให้คุณ แต่จะมีสักกี่ครั้งกันที่คุณจะเห็น VDO ที่ถูกสร้างมาเพื่อสร้างแรงจูงใจ หรือ สร้างแรงบันดาลใจให้กับ Entrepreneurs โดยเฉพาะบ้าง? คำตอบก็คือ มีน้อยมาก จนอาจจะแทบจะไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นคือ สิ่งที่เรามองเห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์ไม่ใช่น้อยเลย ถ้าหากมีใครสักคนรวมเอา VDO ดี ๆ ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบรรดา Entrepreneurs ทั้งหลายเอาไว้ ให้ดูกันฟรี ๆ เพื่อจุดประกายในการทำงานกลับมาให้ไฟลุกโชนจนกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในชีวิตกันต่อไปในอนาคต และต่อไปนี้คือ VDO ที่สามารถสร้าง Motivation ให้กับเหล่า Entrepreneurs รวมไปถึงคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี รับรองได้ว่า คุณจะได้รับทั้ง Inspiration และ Motivation ในการอยากที่จะก้าวไปสู่จุดที่เรียกได้ว่า ประสบความสำเร็จในชีวิตมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน 1#The Life of An Entrepreneur in
ในวันที่เราเริ่มคิดจะทำอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งของตัวเองสักอย่าง ภาพปลายทางในหัวของแต่ละคน UNLOCKMEN เชื่อว่าคงมองเห็นกันแต่ปลายทางของความสำเร็จกันอยู่แน่ ๆ แต่มันก็ไม่ผิดที่เราทุกคนจะฝัน เพราะความฝันนี่แหละ มักเป็นแรงผลักดันเราให้ก้าวต่อไป และความฝันทุกอย่าง… ผมว่ามัน “ต้องการการลงมือทำจริง” ถ้าเป็นการนับ 1 ใหม่หมด เราอาจต้องเริ่มต้นจากการทำอะไรคนเดียว ไม่มีหน้าที่ตายตัว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็ก ๆ, ธุรกิจหรือทีมเล็ก ๆ การหาคนมาเติมเต็มทุกตำแหน่งที่ต้องการอาจไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำได้ทันทีเดี๋ยวนั้น ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของงบประมาณหรือการหาคนมาร่วมหัวลงท้ายด้วยกันก็ตาม เราได้รวบรวม 8 ตัวช่วยการทำงานใช้ได้จริง คุณจะเป็น Freelance หรือบริษัทเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น ๆ ก็สามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้ดีกว่าเก่าได้ มาแนะนำกัน Evernote โปรแกรมพื้นฐานที่เราแนะนำว่าควรโหลดติดเครื่องไว้เสียตั้งแต่เนิ่น ๆ หลายคนอาจคิดว่าแค่การจดโน้ตไม่เห็นจำเป็นต้องโหลดเลย ตัวติดเครื่องที่ให้มาก็ดีอยู่แล้วนิ เราบอกเลยว่าดี ง่าย แต่ยังไม่สุด Evernote จะมาเติมเต็มความสามารถมากมายที่โน้ตทั่วไปทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแชร์โน้ตของเราให้กับคนอื่น หรือจัดเก็บรูปภาพ, Task, แจ้งเตือน, ทำ Slide ไปจนถึงแยกหมวดหมู่ ได้อย่างอิสระง่ายได้ แถมแค่ตัวฟรีก็ใช้ได้เหลือ ๆ แล้ว รองรับการทำงานได้หลาย Platform พร้อมซิงค์ข้อมูลกันผ่านระบบ