ถ้าพูดถึงระบบรองรับแรงกระแทกของแบรนด์อย่าง Nike ผู้ชายหลายคนคงคุ้นเคยกันดีกับ “AIR” รวมถึงระบบ React ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนค่าย Swoosh ยังยอมหยุดพัฒนาเรื่องความนุ่มสบายให้รองเท้าของพวกเขา ล่าสุดจึงเปิดตัวนวัตกรรมรองรับแรงกระแทกตัวใหม่ของค่ายที่เรียกว่า JoyRide ออกมา ถ้าพูดถึงระบบรองรับแรงกระแทก AIR ที่พัฒนาจนต่อยอดออกมาเป็นนวัตกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Air Max, Air Zoom, Air Huarache ที่หนุ่ม ๆ หลายคนโดยเฉพาะนักวิ่งหรือนักออกกำลังคงเคยสัมผัสความนุ่มสบายของระบบต่าง ๆ กันมาบ้าง Nike เองก็ทราบดีว่ากลุ่มลูกค้าของพวกเขาต่างมองหารองเท้าวิ่งที่มาพร้อมระบบรองรับแรงกระแทกที่นุ่มนวล นวัตกรรมรองรับแรงกระแทกที่ชื่อ Joyride จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดค้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้โดยเฉพาะ หลังจากเปิดตัวนวัตกรรม React มาได้ปีกว่า ๆ และได้เสียงตอบรับที่ดี จนถูกพัฒนาออกมารวมกับรองเท้ารุ่นต่าง ๆ มากมาย ล่าสุด Nike เปิดตัว Joyride นวัตกรรมรองรับแรงกระแทกกรรมสิทธิ์ล่าสุดที่ออกแบบมาสำหรับรองเท้ากีฬา โดยเฉพาะรองเท้าวิ่งระยะใกล้รวมถึงระยะกลาง หลักการทำงานของ Joyride คือการลดและกระจายแรงกระแทก ด้วยเม็ด Thermoplastic Elastomers (TPE) จำนวนมากที่ถูกห่อเอาไว้โดยเม็ดโพลิเมอร์เหล่านั้นจะมีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายสปริงและมีความทนทานสูง เมื่อถูกน้ำหนักกดทับจะหดและขยายตัวได้แบบทุกทิศทาง อีกทั้งยังจัดการความเหมาะสมในการรองรับแรงกระแทกด้วยการแบ่งเม็ด TPE
SEIKO แบรนด์นาฬิกาชั้นนำระดับโลกนำทีมโดย คัทซึมิ คูโบตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไซโก ประเทศไทย จัดงานเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุด “ไซโก พรอสเปกซ์ แอล เอกซ์ ไลน์” (Seiko Prospex LX Line) ที่ได้ร่วมออกแบบโดย เคน โอคูยามา (Ken Okuyama) นักออกแบบรถสปอร์ตระดับโลกอย่าง เอ็นโซ เฟอร์รารี่ (Enzo Ferrari) ปี 2002 โดยนาฬิการุ่นยอดนิยมนี้พัฒนามาจากซีรีย์สุดฮอตอย่างรุ่น Prospex ยกระดับความหรูหราของแบรนด์ด้วยการเผยโฉมนาฬิกาคอลเลคชั่นใหม่ Seiko Prospex LX Line ที่เผยโฉมพร้อมกัน 3 ซีรี่ย์ 6 โมเดล แยกตามไลฟ์สไตล์ของนักสะสมนาฬิกาประกอบไปด้วย Land Series ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนภาคพื้นดิน Sea Series ที่เน้นการใช้งานในรูปแบบ Diving เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดำน้ำและ Sky Series ที่ออกแบบพิเศษสำหรับนักบินและนักเดินทางผ่านเขตเวลาหลากหลาย โดยชื่อรุ่น “LX”
ในที่สุดสถิติของราคารองเท้าที่มีราคาซื้อขายผ่านการประมูลของ Converse คู่ที่ตำนานยัดห่วงอย่าง Michael Jordan เคยใส่แข่งขันในรอบชิงในการแข่งขันกีฬา Olympics ในปี 1984 ก็ถูกทำลายลงแล้ว โดยแชมป์ใหม่กลายเป็นของรองเท้าต้นแบบจาก Nike ที่มีฉายาว่า “Moon Shoe” ใครที่เคยคิดว่ารองเท้ารุ่นหายากหรือโมเดลแรร์ในอดีตคงจะไม่มีราคาควรค่าแก่การครอบครอง อาจต้องคิดใหม่ เพราะราคาประมูลรองเท้าที่แพงที่สุดในโลกคู่ก่อนหน้าอย่าง Converse ‘Jordan Olympics 1984 มีราคาถึง 190,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 5.8 ล้านบาท ในขณะที่สถิติคู่ใหม่ที่เป็น Prototype ของรองเท้าวิ่งทั้งมวลในโลกอย่าง Nike ‘Moon Shoe ที่ถูกประมูลไปในราคา 437,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 13.5 ล้านบาทเลยทีเดียว เจ้า Moon Shoe ถือเป็นบรรพบุรุษของรองเท้าวิ่งที่ผลิตโดย Nike ในช่วงปี 1970 ที่ Phil Knight และ Bill Bowerman ผู้อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของค่าย Swoosh ร่วมมือกันพัฒนาและสร้างขึ้นเพื่อให้กลายเป็นรองเท้าวิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้น ก่อนที่ Moon Shoe
สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา ประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในสงคราม และโดดเด่นด้วยยอดมัทเทอร์ฮอร์นที่เป็นมงกุฎตั้งตระหง่านกลางเทือกเขาแอลป์ ตลอดพื้นที่ 41,285 ตารางกิโลเมตร มีหลาย ๆ เมืองที่ผู้ชายเราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี ทั้งลูเซิร์น ซูริค และเจนีวา แต่คงมีน้อยคนที่จะรู้จัก ‘บาเซิล’ เมืองแสนสงบทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแม่น้ำไรน์ ถ้าเทียบกับเมืองอื่น ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ บาเซิลอาจไม่ได้มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อัดแน่นเท่าลูเซิร์น ไม่ได้ทันสมัยเฉกเช่นเจนีวา และไม่ได้โด่งดังเทียบเท่าซูริค แต่ที่นี่เป็นเขตแดนระหว่างสวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี จึงกลายเป็นเมืองนานาชาติที่ซุกซ่อนกลิ่นอายของวิถีชีวิตอันหลากหลายและมีเสน่ห์บางอย่างที่บางคนยังไม่รู้ SWIM CITY นิทรรศการเมืองว่ายน้ำที่เปลี่ยนชีวิตของผู้คน The S AM (Swiss Architecture Museum) และ Future Architecture Platform เปิดตัวนิทรรศการใหม่ที่มีชื่อว่า ‘Swim City’ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและตีแผ่เรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการว่ายน้ำในแม่น้ำไรน์ พร้อมเชิญชวนให้ผู้คนที่หลงรักกิจกรรมนี้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ ความเจริญที่เยื้องกรายและความวุ่นวายของจราจรใจกลางเมือง อาจเป็นอีกเหตุผลที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตของชาวเมืองบาเซิล The S AM จึงตั้งใจจะผละฝูงชนออกจากตัวเมืองและชวนมาทำกิจกรรมยามว่างในพื้นที่สาธารณะ จากความคิดที่เชื่อว่า ‘แม่น้ำ’ คือทรัพยากรที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนในเมือง นำไปสู่การจัดนิทรรศการกลางน้ำที่หวังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับคนที่นี่
แหล่งน้ำกำลังโดนทำลาย หลอดพลาสติกทำร้ายสัตว์น้ำ แก้วพลาสติกใช้เวลาหลายปีเพื่อย่อยสลาย เรื่องนี้เรารู้กันมาเป็นชาติตั้งแต่ยังเรียนประถมแล้ว แต่ปัญหาหลายอย่างยังไม่ค่อยได้รับการแก้ไข และเมื่อมันทยอยลุกลามเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้จึงถึงเวลาที่แต่ละฝ่ายออกมามีส่วนร่วมปลุกกระแสการรณรงค์รักษ์โลกในรูปแบบของตัวเอง วันนี้ UNLOCKMEN นำเรื่องราวเสื่อมโทรมที่บอกเล่าผ่านมุมมองทางศิลปะแสนสวยถ่ายทอดได้กระแทกใจกลับมาส่งต่ออีกครั้ง แม้ว่าทั้ง 3 นิทรรศการนี้จะจบลงแล้ว แต่เราคิดว่าควรแบ่งปันเพราะเนื้อหาของมันไม่เก่าเลย Popsicles project ผลงานชิ้นนี้เกิดขึ้นจาก 3 นักศึกษาชาวไต้หวันที่ร่วมมือกับโครงการที่ดูแลเรื่องน้ำเสีย นำเสนอโปรเจกต์รวบระหว่างการเสพสุนทรียภาพทางศิลปะและการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ด้วยการนำน้ำจากแหล่งน้ำเสีย 100 แห่งในไต้หวันมาและนำไปคงรูปในรูปแบบของแท่งไอติม ไอติมน้ำเสีย 1 แท่ง 1 สถานที่ ที่เขาใช้วิธีทำพิมพ์หล่อเรซินไว้สำหรับโชว์ จากนั้นสร้างแพ็กเกจสีสันสดใสห่อหุ้มไว้ เห็นแล้วอยากจะหยิบกิน แต่เมื่อแกะซองออกมาเห็นเนื้อไอติมใส ด้านในกลับมีมลพิษมากมายเจือปนอยู่ การนำเสนอโครงการแบบดักตีหัวอย่างนี้ไม่เพียงสนุก น่าสนใจ และเป็นไวรัลเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนว่าวันนี้สังคมเรามองข้ามเรื่องน่าเกลียดและปัญหาต่าง ๆ ที่มีจากการไปโฟกัสมุมอื่นที่สวยงามมาแทนที่ด้วย 100%純污水製冰所 完整版形象影片來囉!!!好看=好吃?我們親自取臺灣100個污染水源地的水後,將其製成冰棒,因冰棒不易保存所以我們將他們再復刻成1:1的poly模型做展示,透過美麗包裝與內容物的反差感來傳達純淨水的重要,最後以圖鑑來呈現。那麼我們想問問大家的是:【這麼美的冰棒,你敢吃嗎?】設計團隊: 洪亦辰 、 郭怡慧 、鄭毓迪( Yudi Jheng)新一代設計展🏊↣ 台北世貿一館 / 編號D07(臺藝大)↣ 05.19(五) – 05.22(一)↣
สำหรับผู้ชายอย่างเรามีไม่กี่เรื่องที่สามารถปลุกเร้าความตื่นเต้นเร้าใจ และทำให้นัยน์ตาหรี่ปรือเบิกโพลงได้ในทันที ‘มอเตอร์ไซค์คลาสสิก’ ก็เป็นหนึ่งในความสนใจที่มีไม่กี่เรื่องนั้น นอกจากความเก๋เท่เก๋าของรถคลาสสิกที่คนอื่นมองเห็น บรรดาผู้ชายต่างรู้กันดีว่ามันมีคุณค่ามากกว่านั้น แล้วดูเหมือน RECAST MOTO บริษัทเวิร์กช็อปรถจักรยานยนต์ชื่อดังแห่งเบลารุสก็คิดเช่นเดียวกับเรา โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และความรู้ทั้งหมด ถ่ายทอดลงในมอเตอร์ไซค์คลาสสิกที่ดัดแปลงให้ทันสมัย เพิ่มดีกรีความเท่ และไม่ทิ้งกลิ่นอายของมอเตอร์ไซค์เก่าที่ยังสวยงามเสมอแม้เวลาเปลี่ยน หลังจากประสบความสำเร็จจากการดีไซน์ MOTO GUZZI NEVADA 750 รุ่นก่อน RECAST MOTO ก็นำทายาทคันใหม่ ‘MOTO GUZZI CALIFORNIA 1100’ ออกมาโลดแล่นบนถนนอีกครั้ง โดยเอาโครงรถของปี 2005 มาดัดแปลงรูปลักษณ์ให้มีเสน่ห์ยิ่งขึ้น เพิ่มขนาดรถ กันชน และเครื่องยนต์ให้ใหญ่กว่าเดิม ปรับปรุงส่วนท้ายรถและโช้คอัพด้านหลังให้แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ แถมยังตัดแต่งหน้ารถให้สั้นลงเพื่อให้มันดูเท่และก้าวร้าวเมื่อต้องขับโฉบเฉี่ยวบนท้องถนน เสริมความปราดเปรียวอีกชั้นด้วยเบาะนั่งเพรียวบาง พร้อมชุดตกแต่งด้านหลังของ Tarozzi ที่ดัดแปลงมาเพื่อสร้างตำแหน่งการขับขี่ทีดีขึ้น มาพร้อมชุดยาง Hendenau K60 ที่ใช้วัสดุไทเทเนียมทองคำตกแต่งบริเวณจุกยาง ดัดแปลงขอบยางของล้อหลังให้กว้างกว่าเดิม แถมตัวดิสก์เบรกและเฟืองโซ่ก็ทนทานกว่า MOTO GUZZI NEVADA 750 คันก่อน ทั้งยังนำมาตรวัดความเร็วของ T&T มาใช้แทนบาร์ตัวเดิมด้วย เพิ่มถังแก๊ส
ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยของเล่นตัวต่อและรถมอเตอร์ไซค์คันงามก็เป็นไอเทมที่ไม่มีวันหายไป โดยเฉพาะกับ Lego และรถมอเตอร์ไซค์คันโตสัญชาติอเมริกาอย่าง Harley-Davidson® แต่จะเป็นอย่างไรถ้าทั้งแบรนด์ของเล่นและแบรนด์รถจักรยานยนต์หันมาจับมือกันปล่อยคอลเลกชันตัวต่อสุดพิเศษที่ถอดแบบ Fat Boy รถรุ่นดังออกมาได้เหมือนเปี๊ยบ? ตัวต่อจำลองที่ถอดแบบรถรุ่น Fat Boy เป็นผลงานการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ของเล่นชื่อดังกับแบรนด์มอเตอร์ไซค์สุดคลาสสิกสัญชาติอเมริกาอย่าง Harley-Davidson® ประณีตบรรจงทุกอณูจากการเก็บรายละเอียดครบถ้วนตั้งแต่งานออกแบบ สีแดงสดที่แต่งแต้มลงบนตัวถัง สีดำตรงตัวรถ ล้อแม็กแบบตัน ถังน้ำมันเทียร์ดรอป เซ็ตมาตรวัดความเร็ว ท่อไอเสียแบบคู่ ไปจนถึงการเคลือบผิวให้เงาวับ นอกจากนี้ล้อ ลูกสูบ ก้านเบรก แฮนด์มอเตอร์ไซค์ของตัวโมเดลยังสามารถขยับได้ แถมขาตั้งที่ให้มาก็สามารถพับตั้งโชว์ได้เพื่อให้ Lego รุ่นพิเศษนี้เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ต้นแบบทุกประการ รูปทรงของ Lego Harley-Davidson® Fat boy™ มีขนาดความสูง 7 นิ้ว (20 เซนติเมตร) กว้าง 18 เซนติเมตร ยาว 12 นิ้ว (33 เซนติเมตร) และมีตัวต่อทั้งหมด 1,023 ชิ้น นอกจากความเหมือนระดับเคาะพิมพ์ออกมา Fat Boy ที่ไม่ได้ซิ่งลงถนนคันนี้ยังน่าสนใจกว่าจาก Option ที่เราสามารถดัดแปลงเพิ่มเติมให้มีดีไซน์เฉพาะเป็นของตัวเองได้ ไม่ซ้ำใครอย่างแน่นอน สำหรับหนุ่มผู้ชื่นชอบและหลงใหลรถมอเตอร์ไซค์
“I want to make a timepiece that will not break, even if dropped.” จากประโยคที่แฝงความมุ่งมั่นของ Kikuo Ibe วิศวกรนาฬิกา G-SHOCK ที่ลั่นวาจาไว้เมื่อปี 1981 สู่การคืนชีพความคลาสสิกของเรือนเวลารุ่นดั้งเดิม DW5000C ที่นำเรื่องราวในอดีตมาแต่งเติมและสานต่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นผ่านโมเดลตัวใหม่ ‘G-SHOCK GMWB5000D-1’ ครั้งนี้หยิบยกนาฬิการุ่นเก๋ามาแปลงโฉมให้ทันสมัย แต่คงความงามแบบโบราณและโดดเด่นด้วยพื้นผิวสแตนเลสสตีลที่แวววับตั้งแต่สายนาฬิกาไปจนถึงตัวเรือน G-SHOCK GMWB5000D-1 ดีไซน์หน้าปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เพิ่มกรอบสไตล์วินเทจใช้ลายอิฐเป็นตัวเดินเรื่อง สร้างผิวสัมผัสแปลกใหม่ท่ามกลางความมันวาวระยิบระยับ ปรับกลไกและฟันเฟืองให้มีโครงสร้างแบบลอยตัว พร้อมใช้ชุดเรซินเชื่อมระหว่างรอยต่อของตัวเรือนและขอบสเตนเลส เพื่อให้ดูดซับแรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น แถมทนทานและกันน้ำได้ถึง 200 เมตร มีน้ำหนักเพียง 167 กรัม แต่คงซึ่งประสิทธิภาพวัสดุแข็งแกร่งและยากต่อการทำลาย ราวกับเป็นเรือนเวลาที่ถอดแบบมาจากฅนเหล็กในภาพยนตร์ The Terminator ยังไงยังงั้น บริเวณหน้าปัดยังเพิ่มไฟ super illuminator LED ที่ส่องสว่างเป็นพิเศษและผู้ใช้ยังเลือกระยะการเรืองแสงได้แบบ 2 และ 4 วินาที มาพร้อมไทม์โซน
วงการโฆษณาเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ทำงานบนข้อจำกัดด้านเวลา พื้นที่เล่าเรื่อง และงบประมาณ แต่สิ่งที่ห้ามมีจำกัดคือจินตนาการ ดังนั้น ไม่ว่าโจทย์ที่ได้จะเป็นลูกค้าเจ้าเดิมที่พรุนสายตาผู้บริโภค อยู่มานาน หรือมีบรีฟที่จำเจขนาดไหน สิ่งที่คนทำงานต้องทำคือหยุดผู้บริโภคให้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ฝังความทรงจำของผู้บริโภคให้นาน วันนี้เราจึงรวม Print Ads ซึ่งเป็นหนึ่งในแขนงงานโฆษณาที่เราชื่นชอบมากที่สุด เพราะมันมีโอกาสเล่าเรื่องด้วยภาพเพียงภาพเดียวเท่านั้นจากหลายแบรนด์ดัง หลายภาพในนี้ทำให้เราไต่ไปถึงคอนเซ็ปต์แบรนด์จนเกิดความประทับใจ ลองมาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง แล้วภาพพวกนี้ Kill คุณได้เหมือนที่เรารู้สึกหรือเปล่า McDonalds 24/7 ผลงานจาก Cream Electric Art สตูดิโอครีเอทีฟโปรดักชันที่ออกแบบโปสเตอร์โฆษณาให้กับ Fast Food เจ้าของตัวอักษร M ที่เราคุ้นเคยซึ่งจำหน่ายตลอด 24 ชั่วโมง โผล่มาอยู่ทุกช่วงเวลาสำหรับคนทุกอาชีพ ไม่ว่าค่ำคืนดึกดื่นแค่ไหน คุณจะได้เห็นอักษรสีเหลืองอยู่เป็นเพื่อนเสมอในทุก ๆ กิจกรรม อาทิ การลาดตระเวนของหน่วยรักษาความปลอดภัย การเล่นเกม คนที่ติดไฟแดงระหว่างขับรถยามค่ำ คู่เพื่อนที่ติวหนังสือกัน KFC ชิ้นนี้หลายคนเคยเห็นเวอร์ชันแรกกันไปแล้ว สำหรับเวอร์ชัน 2 เอเจนซี่ดังอย่าง Ogilvy & Mather
เคยมีงานวิจัยของ Massachusetts Institute of Technology (MIT) อ้างว่ากว่าจะออกมาเป็นสนีกเกอร์หนึ่งคู่ มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากถึง 13.6 กิโลกรัม ยิ่งถ้าการผลิตใช้วัสดุจากหนัง ตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าตัว แต่ต้องบอกว่าตอนนี้แฟชั่นสนีกเกอร์ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว หลายแบรนด์รองเท้าเริ่มหันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่เพียงเน้นหนักแง่งานดีไซน์และประโยชน์ใช้สอย หากให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตโดยเลี่ยงการทำลายสิ่งแวดล้อมหรือน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในช่วงหลายปีมานี้เราเลยได้เห็นรองเท้าดีไซน์รักษ์โลกคลอดออกมาให้หนุ่ม ๆ หัวใจสีเขียวเลือกสอยกันไม่หยุดหย่อน UNLOCKMEN เลยอยากพาคุณสุภาพบุรุษไปชมสนีกเกอร์สุดเจ๋งจาก 5 แบรนด์ที่ทำจากสับปะรด ข้าวโพด พลาสติกชีวภาพ จวบจนขยะรีไซเคิล จะเท่และคลีนขนาดไหน ไปดูกัน! PLANT SHOE BY NATIVE SHOES สนีกเกอร์มินิมัลที่สร้างสรรค์โดยฝีมือของแบรนด์รองเท้าสัญชาติแคนาดา NATIVE SHOES คู่นี้ผลิตจากพืช 100% ได้ยูคาลิปตัส เปลือกสับปะรด ใยปอแก้วออร์แกนิก และยางพาราเป็นส่วนประกอบหลัก PLANT SHOE ดีไซน์มาให้เป็นแบบ unisex จึงสวมใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ด้านบนของรองเท้าทำจากเปลือกสับปะรดและใยปอแก้วออร์แกนิก ก่อนจะใช้น้ำมันมะกอกและกาวจากยางพาราเชื่อมวัสดุทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตัวพื้นรองเท้าด้านนอกทำจากน้ำยางพาราธรรมชาติ แต่ไม่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาทางปิโตรเคมีเหมือนกับยางชนิดอื่น ๆ ทำให้มันสามารถย่อยสลายจุลินทรีย์ได้เองตามธรรมชาติและเร็วกว่าปกติหลายเท่า รวมถึงกลายเป็นปุ๋ยหมักคุณภาพเยี่ยมได้อีกด้วย TREAD
เป็นอีกครั้งที่แบรนด์นาฬิการะดับตำนานอย่าง Patek Philippe ส่งผลงานเข้าสู่งานประมูลนาฬิกาเพื่อการกุศลชื่อดังอย่าง OnlyWatch ที่จัดขึ้น 2 ปีหน และครั้งนี้ถือเป็นการจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 นับจากเริ่มต้นครั้งแรกในปี 2005 จากคอนเซ็ปต์การประมูลนาฬิกาพิเศษที่มีเพียงเรือนเดียวในโลก ตรงกับชื่องานที่ตั้งไว้คือ “Only Watch” ทำให้งานนี้กลายเป็นงานที่รวมนาฬิกาหายากจากแบรนด์ชั้นนำทั่วทุกมุมโลก และอยู่ในระดับแรร์สุด ๆ เพราะบางเจ้าถึงกับออกแบบและผลิตนาฬิกามาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ OnlyWatch งานประมูลนาฬิการะดับโลกที่นำรายได้ทั้งหมดมอบให้กับ Monegasque Association องค์กรที่นำเงินไปสนับสนุนโครงการวิจัยเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้อเสื่อมดูเชน Duchenne muscular dystrophy (DMD) และแม้งานนี้จะเป็นงานประมูลการกุศลแต่อย่าได้ดูถูกความสามารถของคำว่า “เรือนเดียวในโลก” เด็ดขาด เพราะในปีที่ผ่านมาเงินสะพัดภายในงานประมูล OnlyWatch นั้นสูงถึง 1,300,000,000 ล้านบาท แน่นอนว่าไม่มีทางที่ Patek Philippe จะพลาดงานนาฬิกาการกุศลที่ใหญ่ขนาดนี้ ชื่อของ Patek จึงอยู่ในลิสต์หนึ่งในห้าสิบสองแบรนด์ที่จะนำนาฬิกามาประมูลในปีนี้ทันทีพร้อมระบุรุ่นนาฬิกาที่เคาะราคาไม่ได้ง่ายอย่าง Grandmaster Chime 6300A (Grandmaster Chime Ref.6300) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ หน้าปัดบอกเวลาทั้งหน้าและหลัง แถมได้รับการยอมรับจนถูกขนานนามให้เป็นนาฬิกาข้อมือที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลก Patek Philippe ขึ้นชื่อเรื่องความประณีตในการสร้างระบบกลไกแสดงเวลาที่ซับซ้อน หน้าปัดทั้งสองด้านผลิตจากทองคำ 18 กะรัต ด้านหนึ่งใช้สีแซลมอนพร้อมแกะสลักลวดลาย Guilloche หรือที่เรียกว่าลายกิโยเช่ที่รับแรงบันดาลใจจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ออกมาเป็นลายเส้นบนหน้าปัดนาฬิกา รังสรรค์โดยช่างฝีมือที่รับประกันว่าเป็นงานทำมือ
เพราะการแต่งกายไม่ได้เป็นเพียงเครื่องนุ่งห่ม แต่การแต่งกายบ่งบอกไลฟ์สไตล์ สะท้อนตัวตน ไปจนถึงแสดงวิธีคิดเบื้องลึกของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนาฬิกาซึ่งถือเป็นไอเทมคู่ใจ ใคร ๆ ก็มองเห็นได้ง่ายจึงสามารถบอกเล่าเรื่องราวของผู้สวมใส่ได้ไม่น้อย การจะเลือกนาฬิกาสักเรือนที่ตอบโจทย์สไตล์การแต่งตัว แต่ขณะเดียวกันก็มีแก่นและคอนเซปต์ชวนค้นหาจึงเป็นเรื่องสุดท้าทายสำหรับผู้ชายอย่างเรา ๆ โดยเฉพาะผู้ชายที่นิยมชมชอบวิถีมินิมัลและต้องการไอเทมที่มีดีไซน์เรียบง่าย แต่ก็ยังต้องการนำเสนอแก่นแท้และวิธีคิดสุดลึกล้ำเพื่อแสดงให้เห็นว่าภายใต้ความเรียบเท่ ตัวตนของเรามีเรื่องราวมากมายรอให้ค้นเจอ วันนี้เราจึงมีไอเทมสำหรับผู้ชายผู้หลงใหลความมินิมัลมาแนะนำ “ISSEY MIYAKE 1/6” นาฬิกาดีไซน์เรียบเท่ แต่อัดแน่นด้วยคอนเซปต์และไอเดียเบื้องหลังการดีไซน์สุดลึกล้ำที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Tradition Scale หรือ เครื่องมือวัดรุ่นเก่า อีกทั้งยังเป็นการร่วมงานครั้งสำคัญระหว่างแบรนด์ ISSEY MIYAKE WATCH Project และ Nao Tamura ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก แม้ปกติ Nao Tamura จะออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ไลต์ติ้งและอื่น ๆ มาไม่น้อย แต่ความพิเศษสำหรับงานดีไซน์ชิ้นนี้คือการออกแบบนาฬิกาทั้งเรือนครั้งแรกของเธอ จึงยิ่งทำให้มุมมองการดีไซน์นั้นเต็มไปด้วยความสดใหม่ ดึงดูดใจ และไร้กรอบแห่งความจำเจมาจำกัด “วินาทีที่นาฬิกาพาดอยู่บนข้อมือ มันเสริมสร้างตัวตนและเอกลักษณ์ให้กับผู้สวมใส่ด้วย อาจพูดได้ว่านาฬิกาคือที่ซึ่งอารมณ์และฟังก์ชันรวมอยู่ด้วยกัน” – Nao Tamura สำหรับ Nao Tamura นาฬิกาจึงเป็นพื้นที่แห่งฟังก์ชัน แต่ในขณะเดียวก็มีอารมณ์อันซับซ้อนซ่อนอยู่ เธอต้องการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นมากกว่านาฬิกาทั่วไป