วันหยุดยาวทั้งทีจะให้นอนเฉย ๆ ก็ดูจะทิ้งเวลาพักผ่อนไปอย่างสูญเปล่า แต่จะให้ออกไปแย่งกันกินแย่งกันใช้เหมือนคนอื่นก็เหนื่อยเกินไป จุดกึ่งกลางระหว่างการนอนเฉย ๆ แต่มีอะไรทำจึงจบลงที่การดูหนังดี ๆ สักสองสามเรื่อง และเพื่อให้เหมาะสมกับการพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดกับการทำงานมาตลอด UNLOCKMEN ขอเสนอหนัง Feel Good 5 เรื่องที่ดูจบแล้วรับรองว่าวันเริ่มงานมีพลังทำงานไปยิ้มไปแน่นอน UP พอเห็นเป็นการ์ตูนปุ๊ป ผู้ชายอย่างเราก็แอบเบือนหน้าหนีปั๊ป เพราะคิดว่าแอนิเมชันเป็นเรื่องของเด็กหรือผู้หญิงเท่านั้น แต่ UNLOCKMEN อยากบอกว่าอย่าประมาทพลังของการ์ตูนไป เพราะการ์ตูนบางเรื่องกลับชาร์จพลังและให้แรงบันดาลใจของเราได้ดีจนเราคาดไม่ถึง UP เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ดูจบแล้วไม่อยากวิ่งไล่ตามความฝัน เราอนุญาตให้ทุ่มทีวีทิ้งเลย! Little Miss Sunshine จะจัดให้เรื่องนี้เป็นหนัง Feel Good ก็คงไม่ผิด แต่ถามว่าชวนฝันหวานล่องลอยมั้ย ก็คงไม่ Little Miss Sunshine จึงเป็นหนัง Feel Good ที่เหมาะกับผู้ชายแมน ๆ อย่างเรามาก เพราะนี่คือความรู้สึกดี ๆ กึ่ง ๆ การยอมรับความเป็นจริงของชีวิตที่สุดท้ายแม้อะไร ๆ ไม่เป็นดังฝัน แต่อย่างน้อยเราได้ทำตามสิ่งที่รักอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจแล้ว
ยุคสมัยนี้การเล่าเรื่องด้วยภาพได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพเพื่อเล่าเรื่อง หรือแม้แต่การทำหนังก็ช่วยสื่อสารสิ่งที่มีไปยังคนดูได้ง่ายยิ่งขึ้น เรื่องจริงในหน้าประวัติศาสตร์ เรื่องราวชีวประวัติของบุคคลสำคัญ ก็ถูกนำมาสร้างสรรค์ลงบนจอเงินให้คนทั่วไปได้ซึมซับเรื่องราวกันอย่างกว้างขวาง และนี่คือ 10 หนังน่าดูที่สร้างมาจากเรื่องจริงที่คนดูหนังไม่ควรพลาด จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น เตรียมเครื่องเสียงสเตอริโอ และทีวีของคุณให้พร้อม แล้วเรามาดูไปพร้อมๆ กันเลย American Sniper (2014) ผลงานภาพยนตร์แนว American Hero ที่ทำรายได้ถล่มทลายถึง 547.4 ล้านเหรียญ ผลงานชิ้นโบว์แดงของ Client Eastwood เกี่ยวกับ US Navy SEAL เนื้อเรื่องทั้งหมดสร้างจากคำบอกเล่าที่แปลมาจากหนังสือ “American Sniper: The Autobiography of the Most Lethal Sniper in U.S. Military History” ของ Chris Kyle มือ sniper ประจำกองทัพที่แม่นยำ ลุยทุกภารกิจ ช่วยเหลือเพื่อในกองทัพไว้ได้มากมาย ทำลายล้างศัตรูไปมากกว่า 255 ศพ จากการรบในสงคราม
ความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ แม้จะมีคนออกมาพูดถึงวิธีการครองรักให้ถึงฝั่งมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าวิธีการเหล่านั้นจะได้ผล เพราะความรักไม่มีสูตรตายตัวและไม่มีทางลัด นอกจากการทำความเข้าใจ เรียนรู้และปรับตัวเข้าหากันอยู่เสมอ ดังเช่นภาพยนตร์โรแมนติค 8 เรื่องนี้ที่ UNLOCKMEN ตั้งใจคัดมาให้เพื่อน ๆ ลองดูกันสักหน แม้อาจไม่ใช่หนังรักที่ดีที่สุด แต่หนังเหล่านี้จะแทรกบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับชีวิต ความรัก และความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี ลองไปดูกัน Love Actually (2003) หนึ่งในภาพยนตร์รักโรแมนติกตลอดกาลที่มีเรื่องราวของหลายชีวิตและหลากหลายความสัมพันธ์ภายในเรื่อง แยกเป็นตอน ๆ แนวความคิดในเรื่องที่เน้นเตือนว่าทุก ๆ คน มีโอกาสที่จะค้นหาความรัก ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน ทำอะไร แค่เพียงอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมและช่วงเวลาอันเหมาะสม ทุกคนล้วนมีสิทธิที่จะรักได้ แม้ความรักจะปะปนกับความสุขและความผิดหวังบ้างก็ตาม ซึ่งมันก็คือรสชาติของชีวิต 10 Things I Hate About You (1999) การปรับตัวเข้าหากันและกัน ถือเป็นสิ่งที่ควรทำในการรักษาความสัมพันธ์และชีวิตคู่ แต่ไม่ใช่ต้องเปลี่ยนตัวของคุณเองเพื่อใครสักคน เรื่องนี้มีแนวคิดที่จะบอกว่าอย่าเปลี่ยนตัวของคุณให้เป็นตามสิ่งที่ใครชอบหรืออยากได้เพื่อให้เขาคนนั้นมีความสุข เพราะมันจะไม่เป็นตัวของคุณเองสักนิด มันจะเป็นสุขแค่ครั้งคราว และการที่ใครจะรักคุณ เขาควรจะรักคุณในแบบที่คุณเป็น รักในข้อบกพร่องบางอย่างที่เป็นตัวคุณไปพร้อม ๆ กัน About
ในวัยเด็กเมื่อครั้งได้ดูหนัง Sci-fi ที่ตัวเอกของเรื่องเก่งในการใช้งานเทคโนโลยี คอยเจาะระบบ ปิดสัญญานเตือนนิวเคลียร์อะไรล้ำ ๆ นั่นคือหน้าที่ของ “Hacker” อาชีพในฝันที่เราเชื่อว่าตอนนั้นใครดูหนังจบ ก็ล้วนแต่อยากจะเป็นสักครั้ง เมื่อเติบโตขึ้นมา เรากลับรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่กับการเดินตามความฝันนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะใจรักอย่างแท้จริงกับการที่ต้องอยู่กับระบบเลข ระบบประมวลความคิด คำสั่งมากมาย แม้จะไม่อาจเป็นแบบความฝันได้ แต่ความชื่นชอบก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งหายไป ลองเปลี่ยนมาเป็นเสพติดหนังแบบครั้งวัยเด็กก็คงไม่เลว UNLOCKMEN จึงคัดหนังชั้นยอดของฮอลลีวู้ดที่เกี่ยวกับการแฮกเกอร์ งัดความสามารถล้ำเทคโนโลยี ไว้ให้เปิดดูถึง 10 เรื่องกันเลยครับ WarGames (1983) ย้อนกลับไปหนังแฮกเกอร์เรื่องแรก ๆ ในอดีต เมื่อปี 1983 ภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบเป็นการดำเนินเรื่องของ David Lightman (Broderick) แฮกเกอร์อายุน้อยระดับไฮสคูลที่บังเอิญเข้าสู่ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ คิดว่ามันคือเกม! แต่กลับการเป็นเรื่องจริงที่พาเขานับถอยหลังสู่สงครามโลกครั้งที่สาม Hackers (1995) เด็กชายที่ถูกจับกุมโดย US Secret Service ในข้อหาทำการสร้างไวรัสคอมพิวเตอร์ขึ้นมาและสร้างภัยอันตรายให้แก่ประเทศชาติ จนทำให้ถูกศาลสั่งห้ามงดใช้คอมพิวเตอร์อีกจนกว่าจะอายุครบ 18 ปี แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาได้เจอกับเพื่อนใหม่ที่ดันไปค้นพบแผนไวรัสตัวอันตรายที่กำลังจะถูกปล่อยออกมา ซึ่งพวกเขาก็ต้องใช้ทักษะในการค้นหาหลักฐาน และหลบหลีกจาก US Secret Service ทั้งที่พวกเขากำลังจะช่วยโลก
ช่วงนี้ดูเหมือนจะเงียบ ๆ ไปสำหรับคอซีรีส์ เนื่องจากหลายเรื่องก็อยู่ในระหว่างการถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็น Walking Dead , Stranger Things อีกทั้งซีรีส์มหาชนอย่าง Games of Thones ก็จะกลับมาในกลางเดือนหน้า ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีซีรีส์เรื่องอะไรน่าสนใจให้ดูเป็นพิเศษ เราจึงทำได้เพียงคุ้ยหาหนังเก่า ๆ กลับมาดูซ้ำอีกรอบ แต่เมื่อไม่นานมานี้ UNLOCKMEN เพิ่งไปเจอซีรีส์ที่แทบจะไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีอยู่ นั่นคือ Ballers ที่ออกอากาศจนกระทั่งมาถึงซีซั่น 3 แล้วในปัจจุบัน ที่น่าแปลกใจคือซีรีส์เรื่องดังกล่าวนำแสดงโดย Dwayne “The Rock” Johnson นักแสดงคิวทองที่มีรายได้มากที่สุดในโลกจาก Forbes แต่กลับเงียบฉี่แทบไม่มีใครพูดถึงในบ้านเรา ดังนั้นเพื่อเอาใจแฟนซีรีส์ รวมถึงแฟนของ The Rock วันนี้เราได้นำเกร็ดข้อมูลเกี่ยวกับซีรีส์ชุด Ballers มาฝากกัน เพื่อชาว UNLOCKMEN จะลองไปหาดูระหว่างรอ Game of Thrones ซีรีส์ Ballers ถูกอำนวยการสร้างโดยค่าย HBO ที่การันตีในเรื่องความดราม่าเข้มข้นไม่ว่าจะเป็น Game of
หมดยุคของการบอกว่าหนังเอาไว้ดูเอามัน เพื่อความบันเทิงไปวัน ๆ แล้ว แม้หนังบางเรื่องจะเอาไว้ดูเพื่อความบันเทิงจริง ๆ แต่หนังอีกหลายเรื่องก็ดูแล้วเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งไปได้เลยก็มี วันนี้ UNLOCKMEN เลยรวบรวบประโยคเด็ด ๆ จากหนัง 10 เรื่องที่ถ้าได้อ่านแล้วรับรองว่าจะกระตุกให้เราฉุกคิดอะไรบางอย่างในชีวิตขึ้นมา จนอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เชื่อไหมล่ะ? ถ้าไม่เชื่อก็มาอ่านไปพร้อม ๆ กัน The Pursuit of Happyness “อย่ายอมให้ใครมาบอกว่าคุณทำอะไรไม่ได้ อย่ายอมแม้แต่ตัวเอง คุณมีความฝัน คุณต้องรักษามัน คนเราไม่สามารถทำอะไรสำเร็จด้วยตัวเอง พวกเขาเลยเอาแต่บอกคุณว่า คุณก็ทำเรื่องพวกนั้นไม่ได้หรอก ดังนั้นถ้าคุณอยากได้อะไรก็ตาม ไป พุ่งเข้าหามัน” Catch Me If You Can “หนูน้อย 2 ตัวตกลงไปในถังครีม หนูตัวแรกยอมแพ้อย่างรวดเร็วและจมลงไปในถังครีมนั้น หนูตัวที่สอง ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ มันต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก ในที่สุดการพยามแหวกว่ายอย่างหนักทำให้มันปั่นครีมทั้งถังจนกลายเป็นเนยและคลานออกมาจากถังได้ … สุภาพบุรุษทั้งหลาย ผมคือเจ้าหนูตัวที่สอง” Mean Girls “เรียกคนอื่นว่าอีอ้วนไม่ได้ทำให้เธอดูผอมลง เรียกคนอื่นว่าอีโง่ไม่ได้ทำให้เธอฉลาดขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลที่เธอทำได้ในชีวิตนี้คือการพยายามแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าของตัวเธอเองให้ดี
ต้องยอมรับว่าวิวัฒนาการในโลกของภาพยนตร์นั้น มาไกลเกินกว่าที่หลายคนจะคาดคิด ไม่ว่าจะเป็น Effect, CG หรือแม้แต่ Animation ก็ทำออกมาได้สมจริงและยอดเยี่ยมมากขึ้น แต่สำหรับฉากต่อสู้ที่ดุเดือดถ้าหากอยากได้บทบาทที่ดุเดือดถึงใจ ก็ยังคงต้องใช้คนเข้ามาเป็นตัวแสดงจริง ๆ เท่านั้น ถึงจะได้รสชาติความมันส์เข้าถึงอารมณ์ความสะใจ สำหรับภาพยนตร์ที่มีฉากบู๊มัน ๆ ถึงแม้ว่าจะมีอยู่หลายเรื่อง แต่ก็มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น ที่ทำเอาคนดูอินจนไม่อยากจะกระพริบตา เพราะกลัวจะพลาดช็อตเด็ด ๆ ไป บางคนอาจถึงขั้นลืมหายใจไปชั่วขณะกันเลยก็มี วันนี้เราจึงได้รวมเอาภาพยนตร์ดี ๆ ที่มีฉากบู๊ระดับตำนาน และถูกกล่าวขานไปทั่วโลก มารวมไว้ให้กับชาว UNLOCKMEN ได้นำไปเสพกันในช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ให้สบายอุรา ตอนนี้เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีภาพยนตร์เรื่องไหนบ้าง ที่ได้รับการยอมรับว่ามีฉากบู๊มันสะใจและยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล Snatch – The Pikey One-Punch Fight Ender หนึ่งในหนังที่มาจากฝีมือการกำกับเดียวของ Guy Ritchie ผู้ที่เคยฝากฝีมือไว้กับเรื่อง Sherlock Holmes, RocknRolla และล่าสุดก็มี King Arthur สำหรับฉากต่อสู้ในเรื่อง Snatch นี้ ได้นักแสดงดังอย่าง Brad
โฆษณาถือเป็นอีกหนึ่งสื่อที่สามารถกระตุ้นและชวนให้ผู้บริโภคฉุกคิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ช่วงหนึ่งสื่อโทรทัศน์ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง โฆษณาจึงกลายเป็น Talk of the town สำหรับผู้คน แถมยังมีโอกาสได้ดูโฆษณาดี ๆ เจ๋ง ๆ ที่ออกมาสร้างเสียงหัวเราะ หรือแม้แต่เรียกน้ำตาไปพร้อม ๆ กัน แต่พอยุคปัจจุบัน ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เข้าสู่ยุคดิจิตัล ทำให้เราห่างทีวีเข้าถึงโฆษณาขั้นระหว่างละครได้น้อยกว่าเดิม โฆษณาหลายตัวจึงเปลี่ยนตามพฤติกรรมผู้บริโภคตามมาออกบนสื่อออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งจะพอมีโฆษณาขึ้นเราก็กด skip ข้ามทันที ทำให้ทุกวันนี้การเข้าถึงโฆษณาและดูจนจบอาจไม่เหมือนเช่นเคยถ้าโฆษณานั้นไม่เจ๋งจริง วันนี้ UNLOCKMEN จึงได้นำหนังโฆษณาจากต่างประเทศที่ได้รางวัล Gold Lion จากเทศกาล Cannes Lions Festival ประจำปี 2017 มาฝากกัน ซึ่งแต่ผลงานแต่ละชิ้น ต้องยอมรับว่าทำออกมาคู่ควรแก่การรับชมจนจบ We’re The Superhumans Halloween The Truth is hard to find Evan Da Da Ding The
เป็นข่าวน่าเศร้าสำหรับวงการมายาต่างประเทศ รวมถึงทั่วโลก เนื่องจากนักแสดงมากความสามารถที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคอย่าง Daniel Day Lewis เจ้าของรางวัลออสการ์สาขาดารานำชายถึง 3 ครั้ง ซึ่งนับว่าเป็นเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำได้ ออกมาประกาศลาขาด เตรียมหันหลังให้กับวงการจอเงินเป็นที่เรียบร้อย ข่าวนี้สร้างความช็อคให้กับวงการฮอลลีวู้ดพอสมควรเนื่องจากอายุอานามของเขาก็ยังไม่ได้มากถึงขนาดต้องออกจากวงการ เพราะ Daniel Day Lewis เพิ่งจะอายุได้เพียง 60 ปีเท่านั้น ยังสามารถเลือกบทนำดี ๆ เพื่อสานต่อความสำเร็จต่อไปได้ไม่ยาก นับว่าเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงสำหรับคอหนังที่หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสรับชมผลงานใหม่ ๆ จากฝีมือขั้นเทพของเขาอีกแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการสรรเสริญเชิดชูผลงานของ Daniel Day Lewis ที่ผ่านมา วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ได้นำเรื่องราวของเขามาฝากกัน หากเราพูดถึง Daniel Day Lewis สำหรับคอหนังที่ไม่ใช่สายดูหนังรางวัลอาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อสักเท่าไหร่ เนื่องจากเขาเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องความติสท์แตก โดยเขาจะใช้ความพิถีพิถันในการเลือกบทบาทสักเรื่องเพื่อมาทำการแสดง ทำให้เราจะไม่ค่อยเห็นหน้าตาของเขาสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับดาราคนอื่น ๆ ที่รุ่นราวคราวเดียวกัน ก่อนอื่นเลย เราอยากจะย้อนเรื่องราวความเป็นมาของเขาเสียก่อน ตัวของ Daniel เริ่มต้นในแวดวงการแสดงด้วยการรับบทเล็ก ๆ ทางโทรทัศน์ และละครเวที ก่อนที่จะขยับขยายขึ้นสู่จอเงินเป็นครั้งแรกในปี 1985 กับบทบาทชายรักร่วมเพศในเรื่อง
บ่อยครั้งที่วงการภาพยนตร์มักจะหยิบยกเอาเรื่องราวตำนานของคนดังมาถ่ายทอดใหม่เพื่อจรรโลงให้คนรุ่นหลังได้เชิดชู และรับรู้ถึงความสามารถของบุคคลเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้กำกับจะหยิบเรื่องราวมาเปลี่ยนการนำเสนอเพื่อสร้างเส้นเรื่องใหม่ในแบบฉบับภาพยนตร์ และวิธีที่เขาคัดเลือกนักแสดงเพื่อมารับบทนำ ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงความสามารถมากกว่ารูปลักษณ์หน้าตา ซึ่งอาจจะผิดแปลกจากภาพลักษณ์เดิมเพื่อเปิดโอกาสให้นักแสดงและผู้กำกับตีความในแบบฉบับของตัวเอง แต่บางครั้งพวกเขาก็เลือกนักแสดงจากความละม้ายคล้ายคลึงมาเป็นปัจจัยแรกสำหรับการรับบทนั้น ๆ วันนี้ UNLOCKMEN จึงได้นำนักแสดงที่รับบทบาท base from true story ที่มีหน้าตาคล้ายบุคคลต้นฉบับอย่างกับแกะมาให้ดูกัน Steve Job = Ashton Kutcher นักแสดงสาย Rom-Com คนนี้เคยมีโอกาสได้รับเกียรติให้แสดงเป็นอัจฉริยะของโลกอย่าง Steve Job ทันทีหลังจากที่เขาเสียชีวิตไม่นาน ซึ่งจากกระแสหลายฝ่ายได้บอกถึงเหตุผลหลักถึงที่มาว่าทำไม Ashton Kutcher นักแสดงที่ไม่ค่อยจะมีผลงานอะไรโดดเด่นนักถึงได้รับโอกาสนี้ เพราะว่าหน้าตาของ Ashton Kutcher ไปมีความละม้ายคล้ายคลึงกับ Steve Job ในวัยหนุ่มบวกกับความเนิร์ดบ้าไอทีเหมือนกัน ทำให้ได้รับบทบาทนี้ไปครอง ซึ่งพอเห็นภาพแล้วก็พอจะยืนยันได้ว่าเหมือนแค่ไหน Charlie Chaplin = Robert Downey Jr ก่อนที่ป๋า Robert Downey Jr จะมาสวมเกราะเป็นฮีโร่คนดังอย่าง Iron Man เขาเคยมีโอกาสได้รับบทเป็นยอดตลกผู้โด่งดังอย่าง Charlie
หลังจากวันนี้ก็จะเป็นตอนสุดท้ายสำหรับซีรีย์ขวัญใจมหาชนอย่าง Prison Break ที่พวกเขาได้นำกลับมาทำใหม่หลังจากทิ้งช่วงไปนานกว่า 7 ปี เพื่อเอาใจแฟน ๆ ให้ได้หายคิดถึงกันอีกครั้ง ซึ่งต้องยอมรับเลยว่ากระแสของพี่น้องแหกคุกในรอบนี้ย่ำแย่ค่อนข้างหนักเอาการ เพราะถ้าเกิดให้เทียบเรตติ้งกับภาคแรกที่สร้างมาตราฐานผู้ชมเอาไว้สูงถึง 12 ล้านคนต่อหนึ่งตอนโดยเฉลี่ย แต่ในครั้งนี้มีจำนวนผู้ชม Prison Break ซีซั่น 5 อยู่เพียง 3 ล้านคนต่อตอน แถมยังลดลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียง 1 ล้านคนเท่านั้น ทำให้ไม่แปลกใจว่าล่าสุดค่าย FOX ผู้ถือสิทธิ์ผลิตรายการออกมายืนยันแล้วว่าจะไม่สร้างภาคต่อสำหรับ Prison Break ก่อนอื่นเลยสำหรับแฟนขาจรที่อาจจะเคยได้ยินชื่อเสียง แต่ไม่เคยได้ผ่านตาสำหรับซีรีย์เรื่องนี้เราจะขอท้าวความสักเล็กน้อย Prison Break หรือชื่อไทยว่า แผนลับแหกคุกนรก ออกฉายครั้งแรกในปี 2004 ในชื่อตอนแรกว่า ” The Pilot” เรื่องราวโดยย่อคือ ลินคอร์น เบอร์โรวส์ ถูกตัดสินประหารชีวิตจากคดีฆาตรกรรมน้องชายรองประธานาธิบดี ซึ่งถูกส่งตัวไปคุมขังระหว่างรอรับโทษประหารชีวิตที่เรือนจำฟ๊อกซ์ริเวอร์สเตท ส่วนน้องชายของลินคอล์นผู้เฉลียวฉลาดเป็นวิศวกรโครงสร้างชื่อ ไมเคิล สโคฟิลด์ ได้พยายามจะวางแผนช่วยพี่ชายของเขาหนีออกจากคุก เพราะเขาสืบค้นว่ามีผู้อยู่เบื้องหลัง และจัดฉากให้พี่ชายของเขาเป็นแพะรับบาป เขาจึงทำการปล้นธนาคารเพื่อให้ถูกจำคุกที่เรือนจำฟอกซ์ริเวอร์ที่เดียวกับพี่ชาย ซึ่งเป็นแผนที่สร้างให้เขามีโอกาสเข้าไปช่วยลินคอร์น
แม้กระแสหนังเรื่องฉลาดเกมส์โกง หนังเรื่องล่าสุดจากค่าย GDH จะเริ่มซาลงไปบ้างแล้ว ในวันที่เราเดินฝ่าฝนยามบ่ายมุ่งหน้าไปยังบาร์เบียร์ย่านพัฒน์พงษ์ เพื่อคุยกับผู้กำกับที่กำลังฮอตที่สุดในขณะนี้ แต่บทสนทนาที่เราได้แลกเปลี่ยนกันยิ่งตอกย้ำให้เรามั่นใจว่า เขาจะต้องสร้างกระแสใหม่ ๆ ให้กับวงการภาพยนตร์ไทยได้อีกหลายระลอกแน่นอน เมื่อ‘บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ’ผู้กำกับหนุ่มมาถึง UNLOCKMEN จึงไม่รอช้า สั่งเบียร์แก้วใหญ่มาตั้ง เพื่อที่เราจะรับรองได้ว่านี่คือบทสนทนานอกรอบ สบาย ๆ ที่จะแสดงตัวตนที่ไม่ติดอยู่ในกรอบของผู้กำกับคนนี้ และวิธีคิดที่สร้างเขาขึ้นมาเป็นผู้กำกับมากความสามารถอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน อย่าช้าอยู่เลย มา มาฟังบทสนทนานอกรอบจากผู้กำกับนอกกรอบเคล้ารสเบียร์ขม ๆ ไปด้วยกัน UNLOCKMEN: อยากให้แนะนำตัวเองหน่อย เผื่อมีคนไม่รู้ว่าคุณคือใครหรือทำอะไรอยู่ ชื่อ บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ เป็นพี่ชายน้องจูนจูนครับ (ยิ้ม) แล้วก็เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ครับตอนนี้ UNLOCKMEN: ที่ต้องแนะนำว่าเป็นพี่ชายจูนจูนนี่เพราะเชื่อว่าทุกคนจะรู้จักจูนจูนมากกว่าเราใช่ไหม? ใช่ครับ ก่อนหน้านี้ทุกคนจะแบบว่า เออ นี่พี่ของจูนจูนใช่มั้ย ไม่ค่อยรู้จักชื่อเรา UNLOCKMEN: วินาทีแรกในชีวิตที่เราอยากเป็นผู้กำกับ เราจำมันได้มั้ยว่ามันคือตอนไหน แล้วเรารู้สึกอะไรบ้าง? จำได้ ตอนนั้นพี่น่าจะอยู่ประมาณ ม.1 ได้ดูหนังเรื่อง Goodfellas ซึ่งจริง ๆ ก่อนหน้านี้เราเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้ว พอดีที่บ้านญาติทำร้านเช่าวีดีโอแล้วตอนเด็ก