นิสัยชอบฟังเพลงเดิม ๆ ซ้ำไปมาไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะคนเราเวลาเจอเมโลดี้ที่ถูกใจ มันยากจริง ๆ ที่จะเอาออกจากหัว และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้หลายคนเสพติดเพลง Cover เพราะไม่อยากฟังเพลงเดิมจนซ้ำ แต่ยังเสพติดเมโลดี้เดิม ๆ อยู่ วันนี้เราก็เลยหยิบเพลง Cover หลากหลายทั้งใหม่และเก่า มาแนะนำคอเพลงทุกคน เผื่อจะได้อะไรดี ๆ ไปแอดเข้าเพลย์ลิสต์กับเขา Nine Inch Nails Cover David Bowie สิ่งนี้ไม่มีใน Spotify ต้องรับชมผ่าน Youtube เท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งโชว์ Cover เพลงอันดับต้น ๆ ที่เราประทับใจ เพราะวง Industrial Rock อย่าง Nine Inch Nails ได้ทำ Tribute แสดงความอาลัยต่อการจากไปของราชา Glam Rock อย่าง David Bowie โดยหยิบขึ้นมาร้องถึง 3 เพลง I’m
ในการทำงานแต่ละวันของชาว UNLOCKMEN พวกเรามักจะเปิดเพลงคลอไปกับการทำงานอยู่เสมอโดยไม่เกี่ยงประเภทเพลง บางวันเป็นเพลงร็อก เพลงสากล เพลงอินดี้ แต่จะมีเพลงของวงวงหนึ่งที่ UNLOCKMEN จะต้องเปิดอยู่เกือบทุกวัน ซึ่งเพลงของวงนั้นคือ Telex Telexs และในที่สุดในวันนี้เราก็ได้พูดคุยกับพวกเขาตัวเป็น ๆ สมาชิกของวง Telex Telexs ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน ปิ้ว (คีย์บอร์ด), นาว (กีตาร์), กร (เบส) และสมาชิกหญิงเพียงคนเดียวของวงอย่าง ออม (ร้องนำ) เมื่อเราได้พูดคุยด้วยบทสนทนาที่ไหลไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เห็นว่านอกจากดนตรีโดน ๆ ที่ได้ยินเกือบทุกวัน ยังมีแนวคิดอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจซ่อนอยู่หลังเมโลดี้และเสียงร้องอันมีเอกลักษณ์นั้น จุดเริ่มต้นของ Telex Telexs เด็กวิศวะและดุริยางคศิลป์ กับดนตรีที่ทำให้เราหลงรัก เด็กต่างคณะต่างมหาวิทยาลัยมารวมตัวกันตั้งวงดนตรีได้ยังไง ? ปิ้ว : ผมกับกรเคยมีวงดนตรีด้วยกันแล้วล้มไป แต่ว่าพวกเรายังอยากเล่นดนตรีกันต่อเลยตั้งโปรเจกต์ขึ้นมาก่อน ตอนนั้นยังไม่มีชื่อเลยไปเปิดดิกชันนารีดูแล้วเจอคำว่า Telex ที่แปลว่าโทรเลขแล้วเราชอบ ก็เลยใช้คำนี้พร้อมกับเบิ้ลคำแล้วเติม s วงมี 4 คน
สำหรับผู้ชายอย่างเรา ดนตรีและเสียงเพลงคือหนึ่งในตัวแทนที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์และรสนิยมความหลงใหลส่วนตัวได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังเป็นภาษาสากลที่สามารถเชื่อมต่อผู้คนหลายเชื้อชาติหลากภาษาเข้าด้วยกัน ด้วยจังหวะและท่วงทำนองที่สนุกสนาน ทำให้ไม่ต้องแปลกใจถ้ามนุษย์เราจะให้ความสำคัญกับเรื่องของสุนทรียภาพทางดนตรีและเสียงที่มีอยู่รอบตัว ขณะเดียวกันบทเพลงไม่ได้แค่บอกเล่าตัวตนของความเป็นมนุษย์ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะสิ่งที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวแตกต่างชัดเจนอย่าง “รถยนต์” ก็สามารถใช้เสียงเพลงบ่งบอกถึงเอกลักษณ์สำคัญที่มีในยนตรกรรมแต่ละคันได้ด้วยเช่นกัน เหมือนกับ Be My World แคมเปญสุดเจ๋งที่เลือกใช้เสียงดนตรีมาเป็นตัวแทนในการถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของรถยนต์แต่ละคันซึ่งเป็นครั้งแรกที่โลกของดนตรีได้โคจรมาบรรจบกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ต้นปีที่ผ่านมาบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เขย่าวงการยานยนต์ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 3 รุ่นที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะเป็นของตัวเอง เริ่มจาก The All-New BMW Z4 สุดยอดโร้ดสเตอร์ประจำค่ายที่มาพร้อมรูปโฉมใหม่ที่โฉบเฉียบคล่องตัวและความแรงแบบไม่เป็นสองรองใคร ต่อด้วย The All-New BMW 3 Series หนึ่งในยนตรกรรมที่หนุ่ม ๆ ให้ความนิยมมาทุกยุคสมัยและ THE X7 รถยนต์ SAV ที่เปี่ยมไปด้วยพลังที่มาพร้อมความหรูหรา ทั้งหมดเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในงาน Bangkok International Motor Show 2019 พร้อมกับศิลปินชื่อดังที่มีคาแรกเตอร์และน้ำเสียงเฉพาะตัวได้ ป๊อด ธนชัย อุชชิน , Daboyway และ มาเรียม เกรย์ ที่มารวมกันถ่ายทอดบทเพลง
การแสดงหลากหลายบทบาทถือเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น แต่จะมีนักแสดงชายอยู่คนหนึ่งที่เรามักจะเห็นหน้าเขาบ่อย ๆ โดยเฉพาะกับบทบาทของชายอัจฉริยะในด้านต่าง ๆ เพราะ Benedict Cumberbatch หนุ่มจากเมืองผู้ดีเป็นนักแสดงชายที่แทบจะไม่ได้รับบทเป็นคนธรรมดาเลย เขาต้องสวมบทเป็นสุดยอดอัจฉริยะอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นศัลยแพทย์ พ่อมด นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ นักสืบ ไปจนถึงประธานาธิบดีที่ต่อสู้เพื่อทาสผิวสี ด้วยบทบาทของชายสมองใสทำให้หลายคนกล่าวว่าเขาจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอหากผู้กำกับกำลังมองหาคนมารับบทเป็นชายซื่อบื้อ บุคลิกและหน้าตาแบบชาวอังกฤษจ๋าทำให้ Benedict Cumberbatch คว้าบทชายที่สุขุมและครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปดูภาพยนตร์ 5 เรื่อง กับการสวมบทบาทเป็นอัจฉริยะสุดฉลาดที่ทำให้เห็นว่าเขารับบทเป็นคนโง่ไม่ได้จริง ๆ The Imitation Game (2014) Benedict ต้องรับบทเป็นอัจฉริยะสมองใสใน The Imitation Game (2014) ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ของชายหนุ่มที่ชื่อว่า Alan Turing นักคณิตศาสตร์ผู้เข้าร่วมโครงการลับของรัฐบาลอังกฤษเพื่อไขปริศนา Enigma ของกองทัพนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นอกจากจะต้องรับบทเป็นสุดยอดนักคิดเขายังต้องแสดงอารมณ์ความทุกข์ของชายผู้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนช่วงเวลานั้นไม่ยอมรับ และถึงแม้ว่าเขาจะเก่งแค่ไหนแต่เรื่องรสนิยมของเขาก็เข้ามาบดบัง ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานจากแรงกดดันทางสังคม ชนิดที่ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็น เมื่อหนังเข้าฉายด้วยการแสดงที่เข้าถึงบทบาทของนักแสดงและการกำกับหนังที่ยอดเยี่ยมของ Morten Tyldum ทำให้ The Imitation Game สามารถกวาดคำชมของเหล่านักวิจารณ์ไปอย่างท่วมท้น
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั้งวงการเพลงบนเวที Glastonbury ประเทศอังกฤษ เมื่อวงร็อกอเมริกันระดับแถวหน้าอย่าง The Killers เชิญรุ่นใหญ่กว่าอย่าง Johnny Marr อดีตมือกีตาร์วง The Smiths และวง The Pet Shop Boys ขึ้นไปแจมบนเวที เล่นเอาแฟนเพลงทั่วโลกพุ่งเป้าความสนใจไปที่เหตุการณ์ เพราะใครจะไปคิดว่าพี่ ๆ The Killers เขาจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ โดยวงได้แสดงโชว์บนเวทีไปมากกว่า 15 เพลง ก่อนจะเข้าไปพักด้านหลังเวที เพื่อให้แฟน ๆ ได้ตะโกน Encore เรียกร้องกันพอเป็นพิธี หลังจากนั้น Neil Tennant และ Chris Lowe แห่ง The Pet Shop Boys สองคู่หูโอ้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งดนตรี Synthpop ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมเพลงฮิตอย่าง Always On My Mind โดย
หากเอ่ยถึง Ningen Shikaku หนุ่ม ๆ หลายคนอาจไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ถ้าบอกว่า สูญสิ้นความเป็นคน วรรณกรรมชิ้นเอกของนักเขียนชาวญี่ปุ่นชื่อดัง ดาไซ โอซามุ ก็คงต้องเคยได้ยินกันบ้างอย่างแน่นอน กับงานเขียนชิ้นเอกสะท้อนตัวตนอันแสนขมขื่นที่อัดแน่นไปด้วยความเศร้าบอกเล่าผ่าน โอบะ โยโซ ชายผู้วนเวียนอยู่กับการตั้งคำถาม สุรา นารี และใช้เวลาดำดิ่งไปยังความเศร้าที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งตอนนี้สูญสิ้นความเป็นคนกำลังจะมีหนังที่ได้โครงเรื่องจากหนังสือมาให้เราได้ชมกันแล้ว ทั้งเรื่องราวในหนังสือและภาพยนตร์จะเล่าผ่านโอบะ โยโซ ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา ความรู้ ฐานะ เติบโตมาในสังคมที่ดีแต่โยโซกลับมองโลกต่างออกไป เขาชอบตั้งคำถามและเก็บรายละเอียดของผู้คน พร้อมกับ “เป็น” ในสิ่งที่ทุกคนอยากให้เขาเป็น ทั้งหมดทำให้โยโซคิดว่าแท้จริงแล้วโลกโหดร้าย จิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งอันตรายที่ยากจะหยั่งถึง ทุกคนต่างมีเบื้องหลังที่ทำให้ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน ซึ่งมนุษย์ที่ว่าก็รวมถึงตัวเขาด้วยเช่นกัน ซ้ำยังมองว่าชีวิตตัวเองตกต่ำเกินกว่าที่จะเรียกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ ถึงแม้จะเศร้าโศกหรือดำดิ่งจนแทบสูญสิ้นความเป็นมนุษย์จนบางครั้งทำให้เขาอยากนำความเศร้าไปแบ่งให้กับคนอื่น แต่โยโซทำกลับตรงกันข้าม เปลือกนอกเขาเป็นชายอารมณ์ดีที่มากด้วยเสน่ห์ คารมดีแต่เป็นคนแปลก และพัวพันกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา เหมือนกับระเบิดเวลาเมื่อเขายิ่งแสดงออกให้ทุกคนเห็นว่ามีความสุขมากแค่ไหน จิตใจของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อก้าวผ่านวัยหนุ่มที่ถูกจำกัดอยู่ในกรอบ โยโซวัยหนุ่มต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย ทั้งเหล้า มอร์ฟีน ปัญหาเรื่องผู้หญิงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง รวมถึงการพยายามพาตัวเองไปถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายสิ่งที่เขาเจอก็คือหน้ากากของผู้คนกับความทุกข์ที่ไม่เคยหายไป และกว่าเขาจะได้จากไปอย่างที่ตัวเองต้องการ เราก็อ่านหนังสือสูญสิ้นความเป็นคนมาถึงบรรทัดสุดท้ายเสียแล้ว ภายใต้ชีวิตที่ทุกข์ระทมของโยโซเกิดขึ้นจากการประพันธ์ของดาไซ โอซามุ ชายที่พยายามจบชีวิตของตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนเช่นเดียวกับตัวละครในงานเขียนของเขา ไม่ว่าจะพยายามกินยาเกินขนาด แขวนคอหรือกระโดดลงแม่น้ำ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้สูญสิ้นความเป็นคนกลายเป็นหนังสือที่ควรอ่านและไม่ควรอ่านในเวลาเดียวกัน จากการรีวิวของเหล่านักอ่านหลายคนที่ไม่แนะนำว่าหากใครกำลังจมดิ่ง อ่อนไหวง่าย หรือเป็นโรคซึมเศร้าไม่ควรจะแตะหนังสือเล่มนี้ รวมถึงคำนำของทางสำนักพิมพ์ยังเขียนไว้ว่า ‘อ่านไปอาจจะได้อารมณ์อ่อนไหวระคนหลักแหลมหม่นหมองประคองอารมณ์
แฟนเพลง Led Zeppelin ตำนานร็อกเรือเหาะจากเกาะอังกฤษ วงดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่ปูทางแนวเฮฟวี่เมทัลให้โลกใบนี้ คงจะทราบกันดีว่า Robert Plant ฟรอนต์แมนของวง ไม่ยอมร้องเพลงฮิตอย่าง ‘Immigrant Song’ บนเวที มาเป็นเวลายาวนานกว่า 23 ปีแล้ว โดยครั้งสุดท้ายที่เขาร้องเพลงนี้คือตอนที่ยังทัวร์อยู่กับ Jimmy Page มือกีตาร์ของวง ตั้งแต่ปี 1996 มาดูกันว่าเพราะเหตุใด Robert Plant จึงตัดสินใจนำเพลงนี้กลับมาร้องอีกครั้งในวันนี้? เหตุเกิดเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ Robert Plant ได้รับเชิญให้ไปแสดงคอนเสิร์ตเดี่ยวในงาน Reykjavik’s Secret Solstice Festival ณ ประเทศ Iceland ซึ่งประเทศนี้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ Robert Plant และ Jimmy Page ร่วมกันเขียนเพลงนี้ขึ้นมา โดยพวกเขาเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เมื่อครั้งที่ได้ไปเยือน Iceland ในปี 1970 ที่นั่นทำให้พวกเขานึกถึงตำนานไวกิ้ง เรือใหญ่ และการเสาะแสวงหาดินแดนใหม่ จึงออกมาเป็นเพลง Immigrant Song ที่มีท่อน
หลังจากที่เราเคยพูดถึงช่อง Live Music ต่าง ๆ ที่น่าสนใจทาง Youtube พาร์ทแรกกันไปแล้ว (ใครยังไม่ได้อ่าน > คลิก) ก็ได้ฤกษ์งามยามดีที่จะปล่อยพาร์ทสองออกมาให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักกันอีกครั้ง รับรองว่า Channel ที่เราจะกล่าวถึงในรอบนี้ จะมีความแปลก แตกต่าง จากครั้งก่อนอย่างแน่นอน คอเพลงเตรียมกด Subscribe กันรัว ๆ ถ้าพร้อมแล้วมาดูกัน! Jam In The Van ช่องนี้ถือว่าเปิดตัวมาค่อนข้างนานพอสมควรเพราะมีมาตั้งแต่ 2011 เป็นช่องที่จะนำเอาศิลปินมาเปิดโชว์ในรถแวน โดยจะสับเปลี่ยนสถานที่ในการถ่ายทำไปเรื่อย ๆ รอบสหรัฐอเมริกา ศิลปินที่มาออกก็ไม่จำกัดแนว มีตั้งแต่ร็อก, ป๊อป ไปยันสายดีเจ แถมไม่ได้บังคับทำแค่ Acoustic เพราะพวกเขาสามารถเล่นจัดหนักจัดเต็มได้ มีการเสริมกล้อง GoPro เข้าไปตามมุมต่าง ๆ ของเครื่องดนตรี ทำให้ได้ภาพเรียล ๆ เพิ่มความสะใจให้ผู้ชมอย่างเรา ส่วนมากศิลปินที่มาออกช่องนี้ อาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตากันสักเท่าไหร่ เพราะเน้นไปที่กลุ่มนอกกระแสจริง ๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบสรรหาศิลปินใหม่ ๆ รวมไปถึงศิลปินแปลก ๆ
ปลายเดือนแบบนี้ นอกจากเงินเดือนจะออกให้ชื่นใจกันแล้ว ก็เป็นฤกษ์งามยามดีที่ที่ UNLOCKMEN จะรวบรวมเพลงเด็ด ๆ ประจำเดือนมาฝากคอเพลงทุกท่านกันด้วย เพลงเดิม ๆ ฟังวนจนร้องได้แล้ว ถึงเวลาอัปเดตเพลย์ลิสต์ของคุณแล้วสิ! 1. Talk – Two Door Cinema Club หลังห่างหายไปนานกว่า 3 ปี ในที่สุด Two Door Cinema Club ก็ปล่อยอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า False Alarm มาให้พวกเราได้ฟังกัน โดยมีซิงเกิล Talk เป็นตัวชูโรง เพลงของพวกเขายังฟังสนุก ชวนขยับแข้งขาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามาแต่งเติมสีสันแปลกใหม่ให้กับเพลง มิน่าปกอัลบั้มใหม่นี้สีสันสดใสเชียว 2. Help Me Stranger – The Raconteurs หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยวงนี้ แต่ถ้าคุณเป็นคอเพลง Garage Rock ยุค 2000 เชื่อว่าชื่อของ Jack White หรือ The
ย้อนไปในปี 1987 หนังสือการ์ตูน WATCHMEN ถูกตีพิมพ์ใน DC Comics และเล่าถึงเรื่องราวด้านมืดของเหล่าฮีโร่ทั้ง 6 ที่กลายเป็นเบี้ยในเกมหมากรุกของลัทธิฟาสซิสต์ ทั้งยังนำเสนอความเส็งเคร็งของประเทศเสรีในช่วงปี 1985 ที่โลกเต็มไปด้วยความเลวร้ายและรุนแรงจากสงคราม ยิ่งไปกว่านั้นความเหลวแหลกของสังคมก็ค่อย ๆ ซึบซับลงในจิตใจมนุษย์ ทำให้ผู้คนตกต่ำและเลวทรามลงเรื่อย ๆ ขนาดเหล่าฮีโร่ยังต้องเมินหน้าหนี ในปี 2009 WATCHMEN ก็เข้าฉายบนจอเงินและออกสู่สายตาสาธารณชนในรูปแบบภาพยนตร์เป็นครั้งแรก พล็อตเรื่องของหนังเรื่องนี้แทบไม่ต่างจากการ์ตูนที่เป็นต้นฉบับ หากผูกเรื่องด้วยปมการตายของฮีโร่วัยเกษียณที่ซ่อนเงื่อนงำและคาดว่ามีผู้อยู่เบื้องหลัง สิ่งที่ทำให้ WATCHMEN ต่างจากหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่น ๆ เป็นเพราะหนังเรื่องนี้เผยให้เห็นอีกด้านของฮีโร่ที่รัก โลภ โกรธ และหลงได้ไม่ต่างจากมนุษย์ แถมยังเสนอมุมที่ฮีโร่ถูกมองว่าเป็นพวกนอกกฎหมาย ทำให้แฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่มีทั้งที่ชอบและเกลียดภาพยนตร์เรื่องนี้ RORSCHACH ตัวละครตกอับผู้ถูกเหยียบย่ำ ในบรรดาเหล่าฮีโร่ทั้ง 6 ของ WATCHMEN บุคคลที่โดดเด่นและดูจะลึกลับที่สุดคือ RORSCHACH ชายที่มาพร้อมชุดสูท ผ้าพันคอ รองเท้าบูท ถุงมือ และหน้ากากเปื้อนหมึกอันเป็นเอกลักษณ์ เขาคือตัวละครที่น่าหลงใหลและได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์มากมาย และในปี 1988 ตัวละครนี้ก็ได้รับรางวัล Character Most Worthy
Billboard แต่เดิมสิ่งนี้คือ ‘นิตยสารเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเพลงในสหรัฐอเมริกา’ โดยจะออกเป็นรายสัปดาห์ และมีการจัดอันดับตารางเพลงและอัลบั้มยอดนิยมในสัปดาห์นั้น ๆ อยู่ในเล่ม ซึ่งการรายงานชาร์ตเพลงแบบนี้ มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ ค.ศ. 1936 กระทั่งวันเวลาผ่านมานานกว่า 83 ปี Billboard Chart ก็ยังคงรายงานอันดับเพลงอยู่จนถึงปัจจุบัน แถมพัฒนา Platform ใหม่ ๆ อาทิเว็บไซต์ www.billboard.com รวมถึงเพิ่มหมวดหมู่หัวข้อในการจัดอันดับเพลงให้หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงหมวดหมู่ที่ทรงอิทธิพลที่สุดใน Billboard นั่นก็คือ GREATEST OF ALL TIME หรือแปลเป็นไทยได้ว่า ‘ยอดเยี่ยมตลอดกาล’ นั่นเอง ซึ่งหัวข้อภายใต้หมวดหมู่นี้จริง ๆ มีมากถึง 25 ประเภทด้วยกัน แต่เราจะขอหยิบยก 10 ประเภทที่น่าสนใจมารายงานกันว่า มีศิลปิน, เพลง, หรืออัลบั้มใดที่ครองตำแหน่งเหนือแชมป์นี้อยู่บ้าง มาดูกันเลย! 1. GREATEST OF ALL TIME HOT 100 SINGLES ตกเป็นของเพลงฮิตยุค 1960 ที่ชื่อ The
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แนว Sci-Fi ที่คนทั่วโลกจดจำได้มากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่อง The Matrix ที่เกิดขึ้นจากการเขียนบทและกำกับโดยสองพี่น้อง Wachowski กับพล็อตเรื่องสุดล้ำเกี่ยวกับการทำสงครามระหว่างมนุษย์กับหุ่นจักรกลจากโลกอนาคต ที่ตอนนี้มีแววว่าทาง Warner Bros. จะกลับมาสร้างหนังภาคต่อให้ได้ดูกันคลายคิดถึง The Matrix คือภาพยนตร์ที่ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี 1999 ต่อด้วย The Matrix Reloaded (2003) และภาคสุดท้าย The Matrix Revolutions (2003) ด้วยเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ งานกำกับที่ยอดเยี่ยม ฉากแอ็กชันที่ไม่คุ้นตา รวมถึงนักแสดงที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ทำให้ The Matrix กลายเป็นหนังแห่งยุคไปอย่างง่ายดาย รับเสียงชมเชยและรายได้ทั่วโลกรวมทั้งสามถึง 1,633 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากในช่วงเวลานั้น ไม่บ่อยนักที่หนังแอ็กชันจะกวาดรางวัลได้เยอะจากเวทีต่าง ๆ แต่ด้วยปรากฏการณ์แห่งยุคของ The Matrix ทำให้หนังเรื่องนี้สามารถกวาดรางวัลจากเวทีอันทรงเกียรติอย่างออสการ์ไปได้ถึง 4 สาขา ได้แก่ สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม และลำดับเสียงยอดเยี่ยม ด้วยการสร้างตำนานของหนังเรื่องดังกล่าวจึงทำให้เกิดข่าวลือมาตลอดว่าเรื่องราวของ The Matrix จะหวนกลับมาให้เรารับชมกันอีกครั้ง