หากจะกล่าวถึงศิลปินสาย Folk ที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ James Bay คงเป็นอีกหนึ่งชื่อที่อยู่ในใจใครหลายคน ด้วยลุคเท่ ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ จะผมยาวผมสั้นก็หล่อเอาอยู่ เสียงแหบเสน่ห์ แถมสะพายกีตาร์ ลุคแบบนี้แหละอย่าว่าแต่ผู้หญิงชอบ ผู้ชายเห็นก็ยังยกให้เป็นไอดอล ล่าสุดหนุ่ม James ก็เปิดตัว EP อัลบั้มที่มีชื่อว่า Oh My Messy Mind ออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกันอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีซิงเกิลที่ชื่อว่า Bad และ Peer Pressure ที่ได้สาว Julia Michaels มาร่วมงานด้วยเป็นตัวชูโรง หนุ่ม James ได้เผยเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับแรงบันดาลใจของผลงานชุดนี้ว่า “ผมมักจะเขียนสิ่งที่อยู่ในจิตสำนึกของตัวเอง เพื่อจะล้างความคิดบางอย่างออกจากหัวสมองเป็นประจำ เพลงใน EP ผมเขียนขึ้นไม่นานมานี้ มันเกิดขึ้นในวันที่มืดหม่น จึงสะท้อนอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่ผมเผชิญอยู่ในขณะนั้นได้ดี สำหรับเพลง Bad และเพลงอื่น ๆ ใน EP นั้น คือผมอยากจะซื่อสัตย์เกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเอง รวมไปถึงสตอรี่อื่น ๆ ซึ่งเจ้าเพลง Bad
หากนับจากปีค.ศ. 1989 ไล่มาจนถึง 2019 ก็จะเท่ากับว่าตอนนี้ครบรอบ 30 ปีพอดีเป๊ะ สำหรับความพิเศษของโลกแห่งดนตรี ทุก ๆ ปีที่ ค.ศ. ลงท้ายด้วย ‘9’ มักน่าสนใจเสมอ เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านจากยุคหนึ่งไปสู่ยุคหนึ่ง และซีนดนตรีในช่วงปีนั้น ๆ มักส่งอิทธิพลต่อยุคถัดไปไม่มากก็น้อย แถมปี 1989 นี้ยังเป็นปีแห่งการกำเนิดศิลปินระดับตำนานหลายวงเลยทีเดียว เรามาดูกันว่าในปี 1989 นี้ มีอัลบั้มอะไรที่น่าสนใจออกมาบ้าง Bleach – Nirvana ไม่มีใครไม่รู้จักกรันจ์ร็อกในตำนานอย่าง Nirvana เพราะคณะดนตรีกลุ่มนี้คือตัวจริงเสียงจริงแห่งยุค 90 แต่รู้หรือไม่ว่า ‘Bleach’ อัลบั้มแรกของพวกเขา ถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ปี 1989 ก่อนจะย่างเข้ายุค 90 โดยสมบูรณ์เสียอีก ซึ่งตอนที่ผลงานชุดนี้ถูกปล่อยออกมา แทบไม่มีใครบนโลกใส่ใจกับวงดนตรี 3 ชิ้นที่ชื่อ Nirvana นี้เลย เพลงก็ไม่ติดชาร์ต ไม่ประสบความสำเร็จแบบอัลบั้ม Nevermind (ที่มีเพลงชาติชาวร็อกอย่าง Smells Like Teen Spirit) แต่เมื่อเวลาล่วงเลยแล้วมองย้อนกลับไปนั้น
หลังจากที่ทาง Netflix ได้ประกาศวันฉายซีซั่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการของ ‘Black Mirror’ ซีรีส์ Sci-Fi สุดล้ำที่จะมาเผยด้านมืดของเทคโนโลยีในแบบที่คุณไม่คาดคิด โดยปีนี้ก็เข้าสู่ซีซั่นที่ 5 เป็นที่เรียบร้อย แฟน ๆ ทั่วโลกสามารถรับชมพร้อมกันทั่วโลกได้ในวันที่ 5 มิถุนายน 2019 นี้ ซีซั่นล่าสุดนี้เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์หลายระลอกจากทาง Netflix ไม่ว่าจะเป็นการประกาศบทบาทนำแสดงโดยศิลปินสาว Miley Cyrus ที่เป็นแคสต์หลักของเรื่องในตอน ‘Rachel, Jack and Ashley Too’ หรือจะ Andrew Scott (มอร์ริอาตี้ จาก Sherlock) ที่มารับบทนำในตอนที่มีชื่อว่า ‘Smithereens’ ซึ่งความตื่นเต้นยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะในตอน Smithereens นั้นยังได้นักประพันธ์มือดีที่กวาดรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วนอย่าง ‘ริวอิจิ ซากาโมโตะ’ มาเป็นผู้สร้างสรรค์เพลงประกอบให้อีกต่างหาก หากใครยังไม่คุ้นชื่อ ‘ริวอิจิ ซากาโมโตะ’ ต้องเท้าความก่อนว่าเขาผู้นี้อยู่ในวงการดนตรีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เป็นสมาชิกวง Yellow Magic Orchestra จนต่อมาเขากลายเป็นคอมโพสเซอร์อัจฉริยะผู้อยู่เบื้องหลังซาวด์แทร็คของภาพยนตร์ดังหลากหลายเรื่อง เรื่องแรกที่ทำให้เขาแจ้งเกิดก็คือ ‘Merry Christmas, Mr. Lawrence’
หากกล่าวถึงความเฟื่องฟูทางดนตรีบนเกาะอังกฤษยุค 80 เชื่อว่าคอเพลงหลายคนคงจะคิดถึง ‘The Smiths’ วงอัลเทอร์เนทีฟอายุสั้น (1982-1987) ผู้มีอิทธิพลต่อดนตรีร็อกและวงการเพลงทั่วโลกมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะ ‘Steven Patrick Morrissey’ ฟรอนต์แมนเจ้าปัญหาของวงผู้กลายเป็นไอคอนิคของความเยอะสิ่ง และยังคงมีผลงานเพลงอย่างต่อเนื่องยาวนานมาจนปัจจุบัน ทุกสิ่งของเขาล้วนเป็นที่จดจำไม่ว่าจะเป็นการแต่งเพลงเนื้อหาคร่ำครวญ, แฟชั่น จนไปถึงความงี่เง่าบนเวที มาดูกันดีกว่าว่าจะมี ‘ความมอซ’ อะไรบ้างที่พวกเราควรระลึกถึง! ชายผู้บูชา Oscar Wilde มอร์ริสซีย์ (เรียกสั้นๆ ว่ามอซ) รักและเทิดทูน ‘Oscar Wilde’ นักเขียนแนวเสียดสีผู้โด่งดังเรื่องความฝีปากกล้าท่านนี้สุดหัวใจ โดยเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าเพลงของเขาส่วนมากได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานของ Oscar Wilde นั่นแหละ หากจะให้กล่าวว่ามีอะไรบ้าง ก็อาจจะต้องร่ายยาวไปถึง 3 วัน 7 วัน แต่เอาเป็นว่าคาแรกเตอร์ปากจัดของพี่แกนั้น มาจากการคาแรกเตอร์ของ Oscar Wilde แน่นอน โดยมอซบอกว่า แม่ของเขาผู้มีอาชีพเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์เป็นคนแนะนำให้พี่แกอ่านงานของ Oscar Wilde ตั้งแต่ยัง 8 ขวบเท่านั้น ไม่กินเนื้อสัตว์ (เด็ดขาด)
เพราะทุกสิ่งรอบตัวมีเรื่องเล่า ทันทีที่ผู้ชายอย่างเราก้าวออกจากบ้าน เราเลือกได้ว่าจะมองทุกสิ่งรอบตัวเพียงเพื่อให้มันผ่านเลยไปในแต่ละวัน หรือจะเลือกปลดล็อกตัวเองด้วย “ความคิดสร้างสรรค์” หรือ “Creativity” ที่จะทำให้เรามองทุกสิ่งในนิยามใหม่ บันทึกเรื่องเล่าจากสิ่งรอบตัวในมุมต่างออกไปอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน หากจะพูดถึงการใช้ “ความคิดสร้างสรรค์” หรือ “Creativity” มองหาเรื่องเล่าจากสิ่งรอบตัวเพื่อบันทึกและถ่ายทอดจากมุมของเรา คงหนีไม่พ้นการถ่ายภาพแนวสตรีตอย่างแน่นอน เพราะแต่ละภาพแฝงไปด้วยการพลิกมุมมอง การฟังเสียงของสรรพสิ่ง การเห็นในสิ่งที่คนอื่นอาจเผลอละเลย เราจึงพามาหาคำตอบของคำว่า “ความคิดสร้างสรรค์” หรือ “Creativity” กับ คุณพงษ์-ทวีพงษ์ ประทุมวงษ์ ช่างภาพสตรีตผู้ได้รับการยอมรับทั้งระดับประเทศและระดับโลก หลายคนอาจสงสัยว่าภาพสุดครีเอทีฟฝีมือคุณพงษ์ที่เราเห็นอยู่นี้มีเรื่องเล่าแบบไหนซ่อนอยู่? ช่างภาพต้องการสื่อสารอะไรกับเรา? และภาพนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? “ผลลัพธ์ของรูปภาพเรา คือ การตั้งคำถามกับคนดู นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยกับโมเมนต์นี้ ทำไมเด็กคนนี้ถึงบินได้ ทำไมลุงคนนี้ถึงกำลังล้ม มันคือความลึกลับ ความตลก นี่แหละมันคือความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้น” การจับโมเมนต์ที่เกิดขึ้นให้ทันนี่เองเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดภาพอันสร้างสรรค์และสามารถถ่ายทอดเรื่องเล่าผ่านภาพได้ แม้นิยามของความคิดสร้างสรรค์จากแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่ในสายตาช่างภาพสตรีตอย่างคุณพงษ์ก็มีความหมายที่น่าสนใจ “สำหรับเราความคิดสร้างสรรค์คือกระบวนการในการออกไปทำอะไรบางอย่างที่มันใหม่ ๆ” อาจพูดได้ว่านิยาม “Creativity” ของคุณพงษ์ช่างภาพสตรีตมากฝีมือคือการหาไอเดียที่ดีควบคู่กับการออกไปเจออะไรใหม่ ๆ ไม่ให้ตัวเองรู้สึกเบื่อหรือวนอยู่กับอะไรซ้ำ ๆ เพราะการออกไปเจอสิ่งที่ต่างออกไป การออกไปทำอะไรใหม่ ๆ จะช่วยจุดประกายความคิดของเราได้ แต่เราก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าโมเมนต์ที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพสตรีตที่ทำให้ได้ภาพสุดครีเอทีฟในสายตาคุณพงษ์คืออะไร? “บางเหตุการณ์มันมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต มันมักจะเป็นโมเมนต์ที่พิเศษ
เวลาไม่เคยคอยใคร แถมผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่น่าเชื่อว่าเหลืออีกไม่กี่วัน พวกเราทุกคนก็จะบอกลา ‘ครึ่งปีแรก 2019’ ทิ้งไว้เป็นเพียงอดีตไปเสียแล้ว และในปีนี้วงการเพลงก็ยังคงเต็มไปด้วยสีสัน ทั้งจากดาวดวงใหม่และคลื่นลูกเก่าที่ยังคงผลิตผลงานคุณภาพหลากหลายแนวดนตรีกันอย่างต่อเนื่อง ได้เวลาที่เราจะชวนคอดนตรีทุกท่านมาย้อนดูกันว่า ในครึ่งปีที่ผ่านมามีอัลบั้มคุณภาพจากศิลปินคนไหนบ้างที่งานดี เพลงเจ๋ง ควรค่าแก่การรับฟัง ใครเคยฟังแล้วก็ไม่เป็นไร ส่วนใครยังไม่เคยก็อยากให้มาลองชิมดู ซึ่งอัลบั้มในลิสต์นี้ ไม่ใช่การจัดอันดับอัลบั้มที่ดีที่สุด แต่เป็นเพียงผลงานที่เราชื่นชอบ ของดีที่อยากบอกต่อเพียงเท่านั้น amo – Bring Me the Horizon อัลบั้มที่เป็นดั่งการเปลี่ยนผ่านยุคของวงเมทัลคอร์ตัวพ่อ ‘Bring Me the Horizon’ โดยครั้งนี้วงได้เพิ่มความเป็นอิเล็กทรอนิกส์ป๊อปเข้าไป ทดลองนำดนตรีหลากหลายแนวไม่ว่าจะเป็นแดนซ์, ฮิปฮอป ดนตรีออเคสตร้า และอื่น ๆ อีกมากมายเข้ามาผสมผสาน เกิดเป็นสิ่งใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ถึงแม้จะขัดใจคนรักเพลงร็อกไปบ้าง แต่เชื่อเถอะว่ากลิ่นอายความเป็น Bring Me the Horizon ไม่ได้จางหายไป แถมฝีมือการแต่งเพลงของโอลิเวอร์ก็ยังยอดเยี่ยมเสมอมา WHEN WE ALL FALL ASLEEP, WHERE DO
แฟนหนังและแฟนการ์ตูนของ DC Comics คงทราบกันดีว่าหลังจาก Ben Affleck รับบทเป็น Batman คนล่าสุดมานานหลายปี ได้ประกาศถอนตัวออกจากการรับบทดังกล่าว ทำให้สื่อทั่วโลกรวมถึงแฟน ๆ ต่างจับตาดูพร้อมลุ้นว่าใครจะก้าวเข้ามารับบทซูเปอร์ฮีโร่ที่ว่างอยู่นี้ และคำตอบของคำถามที่ใครต่างสงสัยก็ได้เฉลยออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การปรากฏตัวครั้งล่าสุดของ Batman คือภาพยนตร์เรื่อง Justice League (2017) รับบทโดย Ben Affleck แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวยืนกรานชัดเจนว่าจะไม่เป็น Batman อีกต่อไปพร้อมถอนตัวออกจากโปรเจกต์หนัง จึงทำให้ตำแหน่งฮีโร่แห่งรัตติกาลว่างอยู่ และทางค่ายก็เตรียมเฟ้นหาคนที่เหมาะสมเพื่อมารับช่วงต่อ แต่ไม่นานมานี้ความว่างเปล่าไร้บัลลังก์กว่า 2 ปี กลับมาสร้างกระแสครึกโครมอีกครั้ง จากข่าวล่าสุดที่อัปเดตผ่านเว็บไซต์ Variety เรื่องการมาถึงของฮีโร่มนุษย์ค้างคาวคนใหม่ที่จะมารับบท Bruce Wayne ใน Batman: The Caped Crusader แทนที่ Ben Affleck ว่าน่าจะเป็นนักแสดงตระกูลเดียวกันกับค้างคาวอย่างหนุ่ม Robert Pattinson พระเอกหนุ่มที่ผู้คนติดตากับบทบาทแวมไพร์สุดโรแมนซ์จากหนังแฟรนไชส์ The Twilight Saga หลังจากที่เว็บ Variety ลงข่าวว่า Pattinson คือ Batman คนใหม่
เมื่อพลิกปฏิทินอำลาแสงแดดแห่งฤดูร้อน ก็เตรียมรับมือกับละอองน้ำและความเปียกปอนของฤดูฝนกันได้เลย ความพยายามที่จะสาดแสงลงกระทบพื้นโลกของพระอาทิตย์ดูเหมือนจะไร้ผล เพราะกลุ่มเมฆฝนดำครึ้มกำลังเข้ามาแทนที่ เราเชื่อว่าฤดูฝนคงมาพร้อมกับความรู้สึกนับไม่ถ้วนที่ซัดกระหน่ำเข้ากลางอกซ้ายของผู้ชายหลาย ๆ คน แม้ฝนจะเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์จากธรรมชาติ แต่มันก็เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับความรู้สึกของคนเราอย่างบอกไม่ถูก จึงไม่แปลกถ้าสายฝนจะทำให้บางคนสดชื่นและสบายใจทุกครั้งที่เห็น และก็ไม่แปลกที่ฝนจะทำให้คนซึมซาบความเปลี่ยวเหงาและเศร้ายิ่งกว่าเดิม ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำ 5 ภาพยนตร์รักฤดูฝนจากญี่ปุ่น ที่เมื่อวนกลับมายังฤดูนี้ทีไร ก็ต้องหยิบหนังพวกนี้มาดูใหม่ทุกที MY RAINY DAYS (Tenshi no Koi), 2009 ภาพยนตร์รักโรแมนติกที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายในมือถืออันโด่งดังของญี่ปุ่น MY RAINY DAYS บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเด็กสาวสุดป๊อปวัย 17 ในโรงเรียนที่หน้าตาสวนทางกับการกระทำ เธอใช้ชีวิตไปอย่างไร้จุดหมาย ขายตัว เป็นแม่เล้า และหลอกใช้เพื่อนเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่แล้วสายฝนและโชคชะตาก็พาเธอมาพบกับอาจารย์หนุ่มวัย 35 ความรักทำให้เด็กสาวเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอเลิกทำตัวไร้ค่าและเห็นเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น พวกเขาทั้งคู่ได้ใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกันและแน่นอนว่าตกหลุมรักกันไปโดยปริยาย ไม่นานนักอาจารย์หนุ่มก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนเด็กสาวมารู้ทีหลังว่าเขาป่วยเป็นโรคมะเร็งสมอง และต้องลาจากโลกนี้ไปหากไม่ได้รับการผ่าตัด เด็กสาวพยายามโน้มน้าวให้เขาเข้ารับการรักษา แม้หนทางรอดจะมีเพียงน้อยนิด และแม้ต้องแลกมากับการที่เขาจะสูญเสียความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเธอไป ความหวัง ความรัก และปาฏิหาริย์ จะทำให้อาจารย์หนุ่มรอดจากการผ่าตัดได้หรือไม่ BE WITH YOU (Ima, Ai Ni Yukimasu), 2004 “ถ้าฉันตายไป
วนกลับมาอีกครั้งสำหรับงานเทศกาลภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่อย่าง Cannes Film Festival 2019 ที่ในปีนี้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 72 แล้ว งานนี้เป็นแหล่งชุมนุมสำหรับเหล่าผู้ทำหนังอย่างแท้จริง ตั้งแต่นักแสดง ผู้กำกับ นักวิจารณ์หนัง นักธุรกิจในวงการภาพยนตร์ทั่วทุกมุมโลก แถมยังมีการแบ่งประเภทการชิงรางวัลไว้หลากหลายประเภท จึงทำให้เทศกาลหนังเมืองคานส์เป็นงานใหญ่แห่งปีที่ถูกจับตามองของผู้คน เป็นธรรมเนียมทุกปีสำหรับงานคานส์ที่จะมีหนังน่าสนใจหลายเรื่องโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางหนังนับพันที่ส่งเข้ามา เช่นเดียวกับในปีนี้ UNLOCKMEN จึงขอหยิบหนัง 5 เรื่องที่เป็นตัวเต็ง จากหลากประเภทในปีนี้มาแบ่งปันกัน ไม่ว่าจะเป็นดราม่า สยองขวัญ แฟนตาซี ไปจนถึงหนังอาร์ตเท่ ๆ The Dead Don’t Die ภาพยนตร์ที่ได้รับเลือกให้เป็นหนังเปิดงานของ Cannes 2019 คือเรื่อง The Dead Don’t Die จากผลงานของผู้กำกับมือเก๋า Jim Jarmusch ที่มีผลงานรางวัลก่อนหน้านี้ในปี 2005 จากเรื่อง Broken Flowers The Dead Don’t Die หนังแนวซอมบี้ที่ไม่เศร้าและหดหู่เพราะแทรกเรื่องราวขำขันให้อมยิ้มกันตลอดทั้งเรื่องกับเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น ณ เมืองเซ็นเตอร์วิลล์ที่เงียบสงบแต่จู่ ๆ
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาตลอดชั่วชีวิตนี้ (เท่าที่ยังหายใจและยังลืมตามาทำงานทุกวัน) พบว่ามากกว่า 75% ของชีวิตเราและคนรอบข้างที่รู้จัก ส่วนมากมักมีเป้าหมายชีวิตหรือความฝันต่างจากสิ่งที่ครอบครัวอยากให้ทำ ถ้าเป็นยุค 90 เฟื่องฟู (Generation ของคนเขียน) คงต้องบอกว่าเราโตมาพร้อมกับการฝังหัวให้กลายเป็นหมอและข้าราชการ ซึ่งเป็นค่านิยมของพ่อแม่ในยุคหนึ่งที่พวกท่านมองว่ามันเป็นอาชีพที่ดีและมั่นคง สำหรับเราที่เลือกเส้นทางนักเขียนก็ต้องพิสูจน์ให้ครอบครัวเชื่อว่า “นักเขียน” หรือการเขียนหนังสือสามารถสร้างรายได้เลี้ยงดูตัวเองได้ แม้มันจะไม่ใช่อาชีพที่ได้รายได้ดี แต่เป็นอาชีพที่ทำให้เรากล้าฝ่ามรสุมอุปสรรคที่พร้อมจะเข้ามาเล่นงานได้อย่างอดทน เพราะอย่างน้อย ความรักจะทำให้เราอยู่กับมันได้นานกว่า ส่วนตัวถือว่าค่อนข้างโชคดีที่ครอบครัวค่อนข้างเข้าใจ แม้จะรู้สึกค้านหรือพยายามเสนอให้เบนเข็มชีวิตแต่ก็ยังสนับสนุนและไม่ซ้ำเติมเส้นทางที่เราเลือกเดิน “ถ้าความฝัน ≠ ความหวัง” เป็นทั้งชื่อคลิปโฆษณาจาก OPPO และเป็นคีย์เวิร์ดยิงปังเข้ากลางใจเราตั้งแต่ชื่อของมัน ยิ่งเมื่อได้คลิกดูแล้วเราก็ไม่แปลกใจที่มันจะเป็นหนึ่งในคลิปไวรัลของเดือนเมษายนช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่าน เนื้อหาในคลิปบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกที่ทำอาชีพแอร์โฮสเตส แม่ที่ทำอาชีพแอร์ฯ ก็อยากให้ลูกเป็นแอร์ฯ ส่วนลูกก็มีความฝันของตัวเอง (ความฝันอื่นที่ไม่ได้เป็นแอร์) ที่ทำไปพร้อมกับความหวังของแม่ด้วย เรื่องมันจะดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่ตึง สะบั้นทั้งอารมณ์และเรียกน้ำตาให้เราอินโดยไม่ทันรู้ตัว แต่นอกจากเรื่องราวที่น่าสนใจแล้ว เบื้องหลังที่ทำให้คนต้องแชร์ต่อมีอีกหลายประเด็นเหล่านี้ ซึ่งเป็นคำตอบจากผู้กำกับวิดีโอที่เราคุ้นเคยอย่าง “ย้ง – ทรงยศ” ผู้กำกับแถวหน้าของไทยนี่เอง คลิปไวรัลที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริง และผู้กำกับที่การันตีได้ “Based on true story” คือจุดขายแรกที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคลิปที่เป็นหนังสั้นจากโฆษณา แต่การฟังเรื่องจริงมันทำให้เราสนใจได้เสมอ ยิ่งเมื่อได้นักแสดงเป็นเจ้าของเรื่อง มันก็ยิ่งอินเข้าไปใหญ่
หลายต่อหลายครั้งที่เรามักเห็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดหยิบเรื่องราวสุดเท่ของซามูไรมาเล่าเป็นหนัง ไม่ว่าจะเป็น The Last Samurai (2003) หรือ 47 Ronin (2013) รวมถึงหนังที่มีสไตล์การต่อสู้ด้วยดาบซามูไรอย่าง Kill Bill (2003) ซึ่งเรื่องราวของตัวละครหลักส่วนมากมักดำเนินด้วยชาวตะวันตก แต่ในตอนนี้ค่ายหนังใหญ่เตรียมหยิบเรื่องราวของซามูไรผิวสีมามาสร้างความแตกต่างให้หนังซามูไรแบบเดิม Metro-Goldwyn-Mayer (MGM) ไฟเขียวให้กับภาพยนตร์แอคชันอิงประวัติศาสตร์ที่ดึงเรื่องราวสุดเท่ของขุนศึกซามูไรผิวสีชาวแอฟริกันคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ช่วงศตวรรษที่ 16 มาสร้างเป็นหนัง ด้วยเรื่องราวที่ต้องฝ่าฝันทั้งการฝึกฝนและการตั้งคำถามของคนในสังคมช่วงเวลานั้น เพราะการเป็นซามูไรไม่ใช่แค่เดินไปจับดาบ หมั่นฝึกฝนและสามารถเป็นได้ทันที แต่คนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมองว่าซามูไรถือเป็นฐานันดรที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แล้วยิ่งทาสผิวสีที่เป็นชาวต่างชาตินั้นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ และด้วยประเด็นต่าง ๆ จึงทำให้เกิดโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ขึ้น จุดเริ่มต้นของซามูไรผิวสีคนเดียวในประวัติศาสตร์ ในปี 1579 ทาสผิวสีชาว Mozambique นามว่า Yasuke ติดตามรับใช้นักบวชเยซูอิต Alessandro Valignano เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังเกาะญี่ปุ่นที่ห่างไกลเพื่อเผยแผ่ศาสนา แต่เกาะญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นยังไม่ค่อยมีคนเชื้อชาติอื่นเดินทางเข้ามา Yasuke ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนเอเชียและสีผิวที่แตกต่างทำให้ชาวบ้านไม่คุ้นชินและหวาดกลัวเขา เคยมีคนพบบันทึกบรรยายเกี่ยวกับ Yasuke ว่าเขาเป็นชายร่างกายกำยำสูงถึง 2 เมตร แต่จริง ๆ แล้วตามบันทึกของคณะบาทหลวงเขียนไว้ว่าเขาสูงราว 6 ฟุต หรือประมาณ 182 เซนติเมตร ไม่ได้สูงสองเมตรอย่างที่คนลือกัน
หนุ่ม ๆ ผู้เป็นสาวกของมหากาพย์ภาพยนตร์อย่าง Star Wars คงเนื้อตัวสั่นกันถ้วนหน้า เมื่อมีข่าวว่าจะมีงานประมูลของชิ้นสำคัญจากหนังภาค The Empire Strike Back แถมยังเป็นชุดที่ใช้ถ่ายทำของตัวละครในตำนานอย่าง Darth Vader อีกด้วย WONDERS OF THE GALAXY งานประมูลเกี่ยวภาพยนตร์ Sci-fi ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ Bonham ผู้จัดประมูลชื่อดังและ Turner Classic Movie จะจัดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมที่กำลังจะมาถึงโดยไฮไลต์ของงานที่ทุกคนสนใจคือของโคตรแรร์จากภาพยนตร์ Star Wars จากภาค The Empire Strike Back (1980 ) ของชิ้นที่ว่าคือชุดของ Darth Vader ที่ใช้สวมใส่เข้าฉากจริงโดย David Prowse ตลอดการถ่ายทำโดยหลังจากการถ่ายทำชุดนี้ไม่เคยถูกย้ายออกจากกล่องบรรจุอีกเลย ภายในชุดประกอบไปด้วยเครื่องแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายชิ้น ตั้งแต่หน้ากากและหมวกครอบด้านบนลงมาสู่ส่วนลำตัวที่ประกอบไปด้วยเสื้อด้านใน-นอก แผงวงจรและเกราะโลหะในส่วนหัวไหล่และแขน รวมไปถึงถุงมือและรองเท้า 3 คู่ที่เขียนไว้ว่า MR PROWES สภาพความสมบูรณ์และเรื่องราวของมันทำให้ชุดนี้มีราคาเริ่มต้นไว้ที่ประมาณ