เพิ่งจะครบรอบ 40 ปี Unknown Pleasures หนึ่งในสุดยอดอัลบั้มทรงอิทธิพลของโลกใบนี้ไปหมาด ๆ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนต่อให้ไม่เคยฟังสักเพลงก็น่าจะเคยเห็น Art Work อัลบั้มนี้ผ่าน ๆ ตากันมาบ้าง ผลงานชุดนี้เป็นของวงดนตรีจากเกาะอังกฤษที่มีนามว่า Joy Division พวกเขาคือผู้บุกเบิกแนวดนตรีที่เรียกว่า โพสต์พังก์ (Post-Punk) เจ้าของเพลงฮิตตลอดกาลอย่าง Love Will Tear Us Apart ซึ่งอัลบั้ม Unknown Pleasures นี้แหละที่เป็นดั่งใบเบิกทางให้โลกได้รู้จักพวกเขาในปี ค.ศ. 1979 โพสต์พังก์ คือแนวดนตรีที่มีรากฐานมาจากพังก์ร็อก แต่มีการผสมผสานดนตรีและศิลปะแขนงอื่นเข้าไปในเพลง ดนตรีของ Joy Division จะมีความดิบ มืดหม่น แต่ก็มีเมโลดี้ที่ติดหู และมีทำนองสนุกสนาน เสียงร้องโทนต่ำสุดเย็นเยือกของ Ian Curtis ฟรอนต์แมนของวง ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Jim Morrison ฟรอนต์แมนวง The Doors แต่ในเวลาต่อมาวงโพสต์พังก์รุ่นหลังต่างนำเอาวิธีร้องลักษณะนี้มาต่อยอดงานเพลงของตน เมื่อเข้ายุค 80
เชื่อว่าคนรักเพลงสากลทุกคน แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเพลงเบสหนึบติดหูที่มีชื่อว่า ‘Uptown Funk’ ด้วยความฟังสนุก จึงทำเอาผู้คนโยกสนั่นทั่วบ้านทั่วเมือง แค่อินโทรขึ้นก็เป็นอันร้องอ๋อ ไม่ต้องรอให้ถึงท่อนฮุคก็จำได้ หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่จดจำว่า Uptown Funk คือเพลงของ Bruno Mars รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเพลงฮิตนี้เป็นของ Mark Ronson ต่างหาก! อีกทั้งชื่อของเขายังปรากฏอยู่บนหลากหลายเพลงฮิตอย่างเป็นปริศนา โดยไม่มีเสียงร้องของเขาสักท่อน วันนี้เราจะชวนคุณย้อนไปบนเส้นทางที่เป็นจุดเริ่มต้นของชายคนนี้ พร้อมตอบคำถามไปพร้อมกันว่า Mark Ronson คือใคร ทำไมมีชื่ออยู่บนเพลงดัง? Mark Ronson ชายคนนี้คือ DJ หนุ่มจาก London (ปัจจุบันอายุ 43 ปี) ด้วยความที่เป็นคนหลงใหลในเพลงหลากหลายแขนง เขาจึงสนุกกับการนำเพลงฮิตมา Cover ใหม่ แล้ว Remix ให้กลายเป็นเวอร์ชั่นที่แตกต่าง เขามักจะใช้ศิลปินคนอื่น ๆ มาเป็นผู้ถ่ายทอดเสียงร้องในเพลงของตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าเขาเป็นคนร้องเพลงไม่เอาไหน เขาทำงานกับศิลปินเก่ง ๆ มากมาย จึงรู้ดีว่าเส้นเสียงที่ดีควรจะเป็นแบบไหน และก่อนหน้าที่ชื่อของเขาจะเป็นที่รู้จักในวงการ Mark Ronson มีอัลบั้มเป็นของตัวเองถึง 2 อัลบั้มคือ Here Comes the
ย้อนไปราวเดือนมีนาคม ต้นปี 2019 ที่ผ่านมา เมื่อทางเพจผู้จัดคอนเสิร์ตอย่าง Viji Corp ประกาศว่าวง Alternative Rock จากอังกฤษที่ชื่อ Foals จะมาเปิดการแสดงที่เมืองไทยในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ แฟนเพลงเดนตายอย่างเราก็กรีดร้องในใจเป็นพันครั้ง ก่อนจะรีบเข้าไปกดซื้อบัตรทันทีที่เปิดการขายในเว็บไซต์ Ticketmelon ถึงจะจ่ายก่อน ชมของจริงทีหลัง แถมต้องรอเหงา ๆ ไปถึงครึ่งปี พวกเราก็ไม่ท้อถอย วันนี้เราเลยจะมาเล่าแจ้งแถลงไขให้ฟังว่า วงดนตรีที่ชื่อ Foals นี้ พวกเขาเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงน่าไปชมการแสดงสดของพวกเขาสักครั้ง มารู้จัก 10 ข้อที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Foals ไปพร้อม ๆ กัน! 1. Foals มาจาก Oxford เมืองแห่งการเรียนรู้ ประเทศอังกฤษ 2. Antidotes อัลบั้มแรกของ Foals คือแนว Math-Rock (เพลงร็อกที่มักจะมีโครงสร้างเพลงที่ผิดแปลก เช่นทำให้สัดส่วนเพลงไม่ใช่ 4:4 อย่างที่ควรเป็น จนไปถึงการขยายคอร์ดที่ไม่กลมกลืนกันเป็นต้น) ซึ่งก่อนหน้าจะเป็น Foals
ข่าวลือเกี่ยวกับการสร้างหนังฮีโร่ในช่วงนี้เรียกได้ว่ามีมาไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะข่าวเรื่องการสร้าง Avengers 5 หรือข่าวเรื่องการรีบูทภาพยนตร์เรื่อง Fantastic Four ใหม่อีกครั้ง ซึ่งข่าวเหล่านี้ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับคนดูอย่างเราได้ตลอด และล่าสุดนี้ก็เพิ่งมีอัปเดตที่น่าสนใจเกี่ยวกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ X-Men ว่าอีกนานพอดูเลยทีเดียวที่เราอาจจะมีโอกาสได้เห็นพวกเขาอีกครั้ง เหล่าแฟนภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ว่าจะค่ายหรือสังกัดไหนก็คงพอจะทราบกันอยู่แล้วว่าเหล่าซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มมิวแทนต์อย่าง X-Men มาจากจักรวาลเดียวกันกับ Marvel ฉบับคอมิก แต่ด้วยเรื่องลิขสิทธิ์ยิบย่อยเพราะทีม X-Men และ Fantastic Four อยู่กับ 20th Century Fox ส่วนเหล่า Avengers ที่เราคุ้นตากันดีก็อยู่กับ Marvel ที่สังกัดภายใต้ Walt Disney ทำให้เหล่ายอดมนุษย์ต้องแยกกันอยู่คนละจักรวาลอย่างช่วยไม่ได้ แต่หลังจากที่เหล่ายอดมนุษย์ต้องแยกบ้านกันอยู่นานเกือบสองทศวรรษ Walt Disney ตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะสั่นสะเทือนโลกภาพยนตร์ด้วยการซื้อลิขสิทธิ์ของ 20th Century Fox (สามารถอ่านเกี่ยวกับดีลครั้งใหญ่นี้ได้ใน ปิดดีลอย่างเป็นทางการ DISNEY อ้าแขนรับสมาชิกใหม่จาก FOX ในราคา 7 พันล้านเหรียญ) เท่ากับว่ากลุ่มยอดมนุษย์ที่แยกกันอาจมีหนทางกลับมาเจอกันอีกครั้ง แฟนหนังตั้งตารอโอกาสที่ฮีโร่จาก Fox จะได้มาเจอกับทีม Avengers แต่กลับกลายเป็นว่าฝันที่คาดหวังไว้อาจจะต้องรอกันนานกว่าที่คิดจากเหตุผลเหล่านี้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
หากใครฟังเพลงสากลบ่อย ๆ เชื่อว่าต้องเคยเข้าไปอ่านเนื้อเพลงในเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Genius กันบ้าง เพราะในนั้นไม่ได้มีแค่เนื้อเพลงเพียว ๆ แต่ยังเสริมที่มาที่ไป ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงความหมายเพลงที่มีทั้งแฟนเพลงและตัวศิลปินเองเป็นผู้เข้ามา Post อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม นอกจากนี้ Genius ยังมีรายการบนช่อง Youtube ที่น่าสนใจชื่อว่า Verified เพื่อให้ศิลปินมาอธิบายความหมายเพลงแบบท่อนต่อท่อนจากปากของตัวเอง และจับมือร่วมงานกับ Spotify เนื้อเพลงต่าง ๆ ที่ขึ้นในแอปฯ เขียวนั้นก็ล้วนมาจาก Genius ซึ่งยืนหนึ่งในวงการเนื้อเพลงขนานแท้ ล่าสุดทาง Genius ได้เผยหลักฐานชิ้นสำคัญออกสื่อว่าเว็บไซต์ระดับโลกอย่าง Google ขโมยเนื้อเพลงของพวกเขาไปไว้ในหน้าแสดงผลลัพธ์ของตัวเอง! ด้วยวิธีการพื้นฐานที่สุด ๆ นั่นก็คือการคลิกขวา Copy + Paste นั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์ได้จากรหัสมอร์สลับ ๆ ที่พวกเขาวางยาซ่อนเอาไว้ในเนื้อเพลง Not Today ของ Alessia Cara ด้วยการใส่สัญลักษณ์ Apostrophes (เครื่องหมาย ‘ ) ทั้งแบบตรงและแบบเอียง อย่าเพิ่งสับสนลองดูภาพด้านล่างก่อน Genius
“Safeplanet” ความหมายของมันคือการเป็นที่ปลอดภัยของพวกเรา เราอยากมีที่ที่เป็นจุดยืนของเราได้ เป็นเหมือนกับแกลเลอรีเล็ก ๆ ที่จะวาดหรือระบายอะไรลงไปในนั้นก็ได้ โดยที่ไม่มีใครมามองว่ามันถูกหรือผิด” ความหมายของชื่อวงดนตรีที่เกิดจากความหลงใหลเสียงเพลงของ เอเลี่ยน-ฐิติภัทร อรรถจินดา (ร้องนำ-กีตาร์) ดอย- อภิวิชญ์ คำฟู (กลอง) และ ยี่-ชยปัญญ์ จันทรานุสนธิ์ (เบส) จนเกิดเป็นวงดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสียงกีตาร์ลีดและจังหวะเครื่องเคาะ รวมไปถึงเนื้อร้องและทำนองที่ทั้ง 3 คนกลั่นกรองออกมาเป็นเพลงที่พวกเขาเรียกกันว่า “แนวเซฟ” นับตั้งแต่ “กล่องดำ” เพลงแรกที่ปล่อยออกมา จนมาถึง “ข้างกาย” ซิงเกิ้ลล่าสุด พวกเขาต้องลองผิดลองถูกกับอะไรมาบ้างกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้และอะไรคือสิ่งที่ทำให้ทั้งสามยังคงยึดถือแนวทางและตัวตนในการเล่นดนตรีแบบ Safeplanet อยู่เสมอ มาทำความรู้จักกับศิลปินวงแรกของ UNLOCKMEN “GARAGE : Live Session” งานดนตรีสดสุดมันส์ แต่บรรยากาศอบอุ่นชิดใกล้เหมือนฟังเพลงที่หลังบ้านใครสักคน เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Safeplanet ให้ฟังหน่อย ดอย : จุดเริ่มต้นของเราเริ่มจากเมื่อก่อนผมกับเอเคยทำวงดนตรีด้วยกันมาก่อน ตอนนั้นใช้ชื่อว่า Shadow Snare ครับ ทำกันมาได้สักระยะมาถึงจุดหนึ่งที่ความคิดไม่ตรงกันวงก็เลยแตกไป ทำให้เหลือกันอยู่สองคน ตอนนั้นเราชอบสไตล์ดนตรีที่เหมือนกัน เอก็เลยชวนผมเริ่มทำวงใหม่ เอเลี่ยน : เริ่มจากที่ดอยเล่ามาครับ ผมกับดอยมาตั้งเป็น Safeplanet ส่วนยี่เป็นรุ่นน้องที่มหิดล
หากพูดถึงคำว่า Britpop เชื่อว่าแฟนเพลงหลายคนจะต้องคิดถึงชื่อของ Oasis หรือ Blur ขึ้นมาทันทีแบบไม่ต้องคิด ในช่วงกลางปี 1990 เพลง Alternative Rock จากอังกฤษกลายเป็นคลื่นวัฒนธรรมลูกใหญ่ที่สาดซัดไปทั่วโลก มี 4 วงดนตรีแถวหน้าที่ผงาดง้ำกว่าใคร นั่นก็คือ Oasis, Blur, Suede และ Pulp พวกเขาถูกผู้คนเรียกว่า Big Four แห่งยุค 90 เกิดการช่วงชิงตำแหน่งบนชาร์ตและพื้นที่สื่อกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ Oasis และ Blur ดูจะเป็นที่นิยมมากกว่าในบ้านเรา ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงวง Blur กัน พวกเขามีเพลงฮิตเหนือกาลเวลามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Song2, Girls and Boys, Tender หรือ Parklife แต่เราจะไม่พูดถึงเพลงเหล่านั้น เพราะนี่คือเพลย์ลิสต์รวมเพลงอื่น ๆ ที่ไม่ดังแต่ฟังดีของ Blur สำหรับสาวกก็อาจจะฟังกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ใครที่ไม่ได้ฟังวงนี้บ่อยนัก บอกตรง ๆ ว่าเราไม่อยากให้พวกคุณพลาดของดีที่กำลังจะกล่าวถึงในต่อไปนี้…
Gushcloud (กัชคลาวด์) ผู้นำในการให้บริการด้านการวางแผนการตลาดและช่องทางสื่อออนไลน์ผ่านทางผู้มีอิทธิพลทางโลกออนไลน์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ ในประเทศไทย จัดอีเว้นท์ฉลองครบรอบ 3 ปีขึ้น โดยเปิดบ้านต้อนรับเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ บรรดาสื่อชั้นนำ นักธุรกิจแถวหน้าของไทย รวมถึงแบรนด์และเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่มากมาย บริษัท กัชคลาวด์ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ.2559 โดยบริการแรกที่เปิดตัวในประเทศไทยคือ การวางแผนการตลาดออนไลน์และการทำโฆษณาออนไลน์ผ่านทางผู้มีอิทธิพลและสื่อออนไลน์ หรือ Influencer Marketing ในการนำเสนอข้อมูลและคุณค่าของแบรนด์ โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้ร่วมงานกับทั้งแบรนด์และเอเจนซี่ชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศอาทิเช่น GroupM, Publicis Groupe, Omnicon Media Group, Dentsu X (Thailand), CJ WORX, GRAB (Thailand), สายการบิน Cebu Pacific, Adidas และ เถ้าแก่น้อย ปัจจุบัน บริษัทกัชคลาวด์ ได้เปิดให้บริการแล้ว 10 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย
แฟนเพลงอย่างเรา ล้วนเข้าใจดีว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ศิลปิน’ ไม่เหมือนปุถุชนคนทั่วไป พวกเขาคือเหล่าอัจฉริยะสมองใสผู้พร้อมจะปล่อยความปราดเปรื่องลงไปบนตัวโน้ต ซึ่งทักษะชั้นสูงเหล่านั้นแค่บทเพลงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ พวกเขาบางคนยังระเบิดความสุดโต่งมาให้แฟนเพลงปวดหัวเล่น ด้วยการตั้งชื่อวงโลดโผนเกินมนุษย์ธรรมดาแบบพวกเราจะหยั่งถึง วันนี้เราจะหยิบยกตัวอย่างการตั้งชื่อสุดพิลึกกึกกือบางชื่อมาให้ทุกท่านได้ประจักษ์ไปพร้อม ๆ กัน Kakkmaddafakka วง Indie-rock จาก Norway ที่หลายคนอ่านชื่อครั้งแรกต้องขมวดคิ้ว แท้จริงแล้วชื่อวงนี้อ่านง่ายตรงตัวได้ว่า kakk-mad-da-fak-ka ถามว่าทำไมตั้งชื่อนี้ วงบอกว่าตั้งใจให้มันเป็นคำหยาบในภาษาอังกฤษคำนั้นนั่นแหละ (ฮา) แต่โดยรวมเพลงของพวกเขาดีมาก แถมโดนสื่อหลายเจ้าชมว่าเป็นวงที่เล่นสดดี Energy เหลือล้นอีกด้วย Lynyrd Skynyrd วง Southern rock ชื่อดังจากรัฐฟลอริดา เจ้าของเพลงดัง Sweet home Alabama ที่เชื่อว่าใครเห็นชื่อวงครั้งแรกต้องไม่กล้าอ่านออกเสียง Lynyrd Skynyrd อ่านออกเสียงว่า Leonard Skinner มาจากชื่อครูพละคนหนึ่งที่ชอบทะเลาะกับสมาชิกในวงเป็นประจำสมัยพวกเขายังเรียนไฮสคูล เพราะพวกเขาทำผิดกฎโรงเรียนที่ห้ามเด็กผู้ชายไว้ผมยาวยังไงล่ะ! The The วงนี้ชื่ออ่านง่าย แต่ชวนงง The The (เดอะ เดอะ) เป็นวงดนตรีที่เริ่มต้นจากแนว Post-Punk สู่การเป็นวง Musical /
หลายคนยังคงจำภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของเซี่ยงไฮ้ยุค 1930 กันได้ ในยุคอัธพาลครองเมือง เต็มไปด้วยการต่อสู้ระหว่างแก๊ง และตรอกเล้าหมูที่ตีอย่างไรก็ไม่แตกเพราะมียอดฝีมืออยู่ นั่นคือเรื่องราวคร่าว ๆ ของหนังจีนเรื่อง Kung Fu Hustle และใช้ชื่อไทยแสนคุ้นหูว่า “คนเล็กหมัดเทวดา” ซึ่งในตอนนี้หนังเรื่องนี้ออกมาประกาศพร้อมสร้างภาคต่อเป็นที่เรียบร้อย ภาพยนตร์แอ็กชัน-คอมเมดี้ เรื่องคนเล็กหมัดเทวดาฉายครั้งแรกในช่วงปี 2004 กับเรื่องราวของ “ซิง” ผู้ชายไม่ได้เรื่องคนหนึ่งที่โดนหลอกขายหนังสือฝึกกำลังภายในราคา 10 ดอลลาร์จากชายแปลกหน้า เลยทำให้เขามั่นใจว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือทั้งที่เป็นแค่โจรกระจอก จนสุดท้ายเขาได้เข้าไปอยู่ในแก๊งขวานซิ่งซึ่งเป็นแก๊งที่มีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์เซี่ยงไฮ้ เรื่องราวของหนังจึงดำเนินเรื่องไปพร้อมกับซิงที่ค่อย ๆ พัฒนาฝีมือการต่อสู้ เป็นเวลานานกว่า 15 ปี ที่ผู้คนยังคงเฝ้ารอภาคต่อของหนังเรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะสร้างภาค 2 สักที จนบางคนถึงกับแซวว่าหนังทิ้งช่วงนานจนพระเอกของเรื่องอย่างโจว ซิง ฉือ ก็ไม่สามารถต้านกาลเวลา เห็นได้จากผมสีดำที่กลายเป็นผมขาวทั้งหัวไปแล้วก็ยังไม่มีภาคต่อสักที หลังจากที่ข่าวลือเกี่ยวกับภาคต่อเวียนมาแล้วจากไป ในที่สุดพระเอกของเรื่องที่ผันตัวไปอยู่เบื้องหลังในฐานะโปรดิวเซอร์และผู้กำกับ ก็ได้พูดถึงหนังภาคต่อของคนเล็กหมัดเทวดาแล้วว่า ภาคต่อที่หลายคนรอคอยจะถูกสร้างออกมาอย่างแน่นอน โดย โจว ซิง ฉือ ได้ตอบคำถามแฟนคลับคนหนึ่งว่าเขาวางแผนจะสร้างภาคต่อ แต่จะไม่ใช่คนเล็กหมัดเทวดา 2 เสียทีเดียว เพราะถ่ายทำนอกประเทศจีนและจะเดินเรื่องในช่วงเวลาปัจจุบันที่ทิ้งห่างจากภาคแรกไป 15 ปี ทว่ายังมีกลิ่นอายของหนังภาคแรกอยู่
คอเพลงกับการฟังดนตรีสดเป็นของคู่กัน แต่ก็ใช่ว่าเราจะตามดูได้ทุกวง เนื่องด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างทั้งเงินและเวลา แถมศิลปินบางคนเหมือนไม่เคยรับรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามีประเทศชื่อ Thailand อยู่ในแผนที่โลก! แต่ในยุคที่อินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูแบบนี้ ทุกอย่างพอจะมีทางออก เพราะมี Youtube Chanel มากมายพร้อมนำศิลปินที่คุณชอบมาเล่นสดให้ฟัง ถึงฟีลจะไม่ได้เท่าดูของจริง แต่ก็ยังพอยาใจคนรักเพลงไปได้บ้าง วันนี้เราขอยกแต่ละช่องที่น่าสนใจมาแนะนำคุณ อย่าเพิ่งคิดว่าทุกช่องจะเหมือนกัน เพราะแต่ละช่องเขาก็มีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์ และวิธีนำเสนอที่แตกต่างกัน จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย NPR Music Tiny Desk ช่องนี้พื้นเพอยู่ที่เมือง Washington, D.C. ประเทศอเมริกา จุดเด่นคือการนำศิลปินมาร้องเพลงในเวอร์ชันอะคูสติก โดยมีฉากหลังเป็นห้องน่ารัก ๆ ที่เต็มไปด้วยหนังสือและแผ่นเสียง ซึ่งศิลปินที่คัดมาก็มีหลากหลายแนว ตั้งแต่ศิลปินท้องถิ่นไปจนถึงคนมีชื่อเสียงแล้ว อย่าง Mac Miller เองก็เคยมาเปิดโชว์อะคูสติกที่รายการนี้เช่นกัน นับว่าเป็นอะไรที่หาดูยากและเป็นความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับเขาเลยทีเดียว ใครสนใจก็ลองเข้าไปดูได้ นาน ๆ ทีจะมีสัมภาษณ์หรือสารคดีที่น่าสนใจมาให้ดู (ขนาดตัวละคร Sesame Street ยังเคยมาออกเลย) KEXP KEXP คือแชนแนลคลื่นวิทยุจากเมือง Seattle ประเทศอเมริกา
นอกจากการออกแบบเสื้อผ้าเทเลอร์ที่ตัดเย็บแบบเฉพาะบุคคลให้กับเหล่าเอเย่นต์ในชุดดำสำหรับภาพยนตร์ที่กำลังจะออกฉายของโซนี่ พิคเจอร์สเรื่อง “Men in Black: International” แล้ว Paul Smith ยังสร้างสรรค์คอลเลคชันแคปซูลใหม่ที่ประกอบด้วยเสื้อผ้าและแอคเซสซอรี่ที่มาพร้อมเหล่าเอเลี่ยนและคาแรกเตอร์ระดับไอคอนจากภาพยนตร์อีกด้วย คอลเลคชันแคปซูลใหม่นี้มีเสื้อผ้าและแอคเซสซอรี่ให้เลือกทั้งสำหรับคุณสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี โดยมีชุดสูท “A Suit To Travel In” ของพอล สมิธเป็นชิ้นหลักซึ่งนำเสนอออกมาในสีดำ ทว่ากลมกลืนไปกับคาแรกเตอร์เอเลี่ยนหลากสีสันจากภาพยนตร์ โดยยังมีรายละเอียดของโลโก้ Men in Black: International ทรงกลม ซึ่งเป็นโลโก้ที่จะปรากฏให้เห็นครั้งแรกในภาพยนตร์ ประดับอยู่บนกระดุมข้อมือของแจ็คเก็ตแต่ละตัวด้วย นอกเหนือจากเสื้อสูท คอลเลคชั่นนี้ยังมาพร้อมแอคเซสซอรี่มากมายหลายชิ้น ซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นในสไตล์ของพอล สมิธ โดยผสมผสานไปกับรายละเอียดที่มีเอกลักษณ์จากภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น • เนคไทสีดำพิมพ์ลายกราฟิกรูปแว่นกันแดด • พ็อคเก็ตสแควร์และผ้าพันคอน้ำหนักเบาหลากสีสัน มาพร้อมลวดลายของเหล่าเอเลี่ยน • ที่หนีบธนบัตรและกระดุมข้อมือประทับด้วยโลโก้ Men in Black • ถุงเท้า 4 สีสุดโดดเด่นพร้อมลายปักรูปเอเลี่ยนเหนือข้อเท้า • กระเป๋าสตางค์หนังและเคสใส่ไอโฟนพิมพ์ลายเอเลี่ยน คอลเลคชั่นนี้ยังใส่รายละเอียดที่น่าสนใจเพิ่มเติมเข้ามาใน A Suit to