หลังจากสาวกต่างเฝ้ารอนาฬิกาที่ถือเป็น The holy grail of Rolex อย่าง Daytona ซึ่งราคาก็แข็งชนเพดาน และ demand ก็สูงจนหาของยากสุด ๆ แต่ในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปี Rolex Daytona นี้ ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกับ edition ใหม่สักที เป็นความใหม่ที่คนทั่วไปอาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ไปดูกันว่ามีรายละเอียดอะไรใหม่บ้างใน Daytona เริ่มจากตัวเรือนยังคงมีขนาด 40mm เหมือนเดิม ส่วนหน้าปัดมีการปรับดีไซน์ใหม่เล็กน้อยเพื่อบาลานซ์ความแตกต่างของหน้าปัดและตัวบอกรายละเอียดรวมถึงใน sub-dial ต่าง ๆ ให้ชัดเจนลงตัวมากขึ้น ตัว Oyster case มีการขัดเงาบริเวณ lugs และด้านข้างมากขึ้น ส่วนรุ่นหน้าปัดทองหรือ pink gold บน Cerachrom bezel จะได้สายที่ใช้เหล็กที่ข้อกลางเป็นสีเดียวกัน ทำให้ดูต่อเนื่องและภูมิฐานมากขึ้น จุดสำคัญที่สุดใน New Daytona คือกลไกที่ผลิตแบบ In-house ของ Rolex ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี
Nothing แบรนด์เทคโนโลยีในลอนดอนได้ทำการเปิดตัว Ear (2) ซึ่งเป็นหูฟังไร้สายที่ได้รับการดีไซน์แบบโปร่งใสอีกเช่นเคย ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของ Nothing อย่างชัดเจน และยังได้รับการปรับแต่งให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประสบการณ์เสียงอันทรงพลังขั้นสูงสุด Ear (2) มอบประสบการณ์เสียงอันทรงพลังอย่างแท้จริง เพราะได้รับการรับรองคุณภาพเสียงความละเอียดสูง (Hi-Res Audio) และมีเทคโนโลยี LHDC 5.0 ผู้ใช้ยังสามารถสร้างโปรไฟล์เสียงส่วนตัวของตนเองได้โดยทำการทดสอบการได้ยินผ่านแอป Nothing X จากนั้น Ear (2) จะปรับการตั้งค่าอีควอไลเซอร์แบบเรียลไทม์เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด หูฟังมีไดร์เวอร์ขนาด 11.6 มม. ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อเสียงเบสที่ลึกและทรงพลังและเสียงสูงที่ชัดใส และได้รับการออกแบบ Dual-Chamber ใหม่ที่จะมาช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงโดยรวม ด้วยการไหลเวียนของอากาศที่ลื่นไหลยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Ear (2) ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์สองเครื่องพร้อมกัน พร้อมทั้งมีการอัปเกรด Clear Voice Technology ที่สามารถป้องกันเสียงลมและผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดีและการอัปเกรดของการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟส่วนบุคคลที่จะถูกปรับให้เข้ากับรูปร่างหูของผู้ใช้แต่ละคน เสียงสมจริงอย่างแท้จริง Ear (2) ได้รับการรับรองคุณภาพเสียงความละเอียดสูง (Hi-Res Audio) เพื่อสัมผัสประสบการณ์เสียงอันดื่มด่ำ เสมือนพาคุณไปยังสตูดิโอบันทึกเสียง เทคโนโลยีตัวแปลงสัญญาณ LHDC 5.0
ในโลกนี้มีการค้นพบ 1937 Patek Philippe Reference 96 Quantieme Lune ทั้งหมดเพียง 8 เรือน (รวมเรือนนี้) และมีเพียงแค่ 3 เรือนที่ใช้ตัวเลขอารบิกบนหน้าปัด Roulette ขนาด 30mm ในตัวเรือน platinum Calatrava case (case number 294,462) Patek Philippe Reference 96 Quantieme Lune เรือนนี้มีความสำคัญมากกว่าแค่ vintage watch หายากทั่วไป เพราะจากประวัติพบว่ามันเคยเป็นนาฬิกาในครอบครองของสมเด็จพระจักรพรรดิผู่อี๋ (Aisin-Giro Puyi) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนที่โด่งดัง และเคยถูกนำไปสร้างภาพยนตร์ The Last Emperor ที่ได้รางวัล Best Picture-winning film ซึ่งผู่อี๋ได้รับมาในช่วงปี 1945-1950 ขณะถูกจับเป็นเชลยใน Soviet Union ก่อนจะยกให้กับล่ามคนสนิท Georgy Permyakov
เรือนเวลารุ่นล่าสุดจาก RM ที่หยิบเอาความหรูมาอยู่คู่กับความร็อกได้เท่ลงตัวสุด ๆ กับโมเดลใหม่รหัส RM 66 Flying Tourbillon ที่มีจำนวนจำกัดแค่ 50 เรือนทั่วโลก RM 66 Flying Tourbillon ตัวเรือนขนาด 42.70 x 49.94 x 16.15 mm. ผลิตจากวัสดุสุดแกร่ง Carbon TPT และ grade 5 titanium จุดเด่นของเรือนนี้ก็คือ มือกระดูกสีทองทำสัญลักษณ์ Rock n’ Roll คล้ายเขาของปีศาจกลางหน้าปัด ผลิตจาก 5N red-gold และฝีมือช่างระดับสูงในการเก็บรายละเอียดทั้งหมด และโชว์กลไก flying tourbillon ดีไซน์หัวกะโหลกด้านบนบริเวณ 12 นาฬิกา เป็นการแสดงออกถึงความขบฐของชาวร็อก เพราะปกติ flying tourbillon มักจะอยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา เพิ่มความดิบอย่างมีสไตล์ด้วยลวดลาย Clou
Iconic Piaget Polo ปี 2023 เพียเจต์ โปโล ปลดล็อกความท้าทายอย่างไม่เคยมีมาก่อนด้วยการคิดค้นและสร้างสรรค์ Piaget Polo Perpetual Calendar Ultra-thin ขึ้น โดยเรือนเวลาที่ไม่ธรรมดาชิ้นนี้ นอกจากขับเคลื่อนด้วยกลไกเพรียวบางชุดใหม่อย่าง Calibre 1255P เมซงยังผนวกคอมพลิเคชั่นมูนเฟสเข้ามาในโมเดลนี้อีกด้วย หากย้อนรอยความสำเร็จเพียเจต์ โปโล ยุคก่อนไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนสีทอง หรือ สตีล ถือเป็นหนึ่งในไอเท็มคู่ใจที่ปรากฏอยู่บนข้อมือไอคอนระดับตำนานหลายคน อาทิ Ursula Andress, Roger Moore, Andy Warhol ไปจนถึง Bjorn Borg ด้วยรูปทรงสะดุดตา ดีไซน์แบบยูนิเซ็กส์ ลุคสปอร์ตที่ไม่ตกยุค ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จที่ว่านี้จะยกเครดิตให้ใครไม่ได้นอกจาก มร.อีฟ เพียเจต์ ด้วยความที่เป็นนักเดินทางตัวยง บวกกับความหลงใหลในสุนทรียภาพทางศิลปะเช่นเดียวกับที่ลุ่มหลงในงานฝีมือ ประสบการณ์ทั้งหมดจึงถูกนำมาหลอมรวมเป็นเพียเจต์ โปโล เรือนเวลาที่แทบไม่มีใครเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ The emblematic Perpetual Calendar นับเป็นครั้งแรกสำหรับคอลเลกชั่นเพียเจต์ โปโล ที่ถูกเติมเต็มด้วยระบบกลไกปฏิทินถาวร –
รังสรรค์ขึ้นในปี ค.ศ. 2021 นาฬิกา แอร์เมส เอช08 คือตัวแทนของการผสมผสานระหว่างหลักการอันเข้มแข็งเข้ากับมาตรฐานระดับสูงที่หลอมรวมไว้ด้วยความหนักแน่นและลื่นไหล โดยสัญลักษณ์งานออกแบบอันร่วมสมัยซึ่งสะท้อนถึงสไตล์อันทรงพลังนี้ได้สร้างรูปเป็นวัตถุที่ถ่ายทอดไว้ทั้งหมดด้วยความสมดุลและความตรงข้ามกัน ธรรมชาติอันมีมิติที่หลากหลายจึงได้ถูกแสดงออกผ่านการเล่นกับรูปทรงและวัสดุ ด้วยความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันในรายละเอียดและกระบวนการสร้างสรรค์อันแม่นยำ ที่ได้สร้างรูปเป็นภาพลักษณ์ที่มีทั้งความสปอร์ตและสง่างาม ด้วยพลังอันมีชีวิตชีวาและสัมผัสแห่งอารมณ์ความรู้สึกของเส้นสายซึ่งเผยให้เห็นถึงสุนทรียะความสวยงามเฉพาะหนึ่งเดียว โดยถ่ายทอดบนหน้าปัดวงกลมพร้อมทั้งฟอนต์สไตล์ดั้งเดิม และหลอมรวมไว้ภายในตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมกับขอบมนอันแสนนุ่มนวล ออกแบบขึ้นโดย ฟิลิปป์ เดโลตัล (Philippe Delhotal) ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แห่ง แอร์เมส ออร์โลเฌอร์ (Hermès Horloger) นาฬิกา แอร์เมส เอช08 คือผลลัพธ์ของการผสมผสานระหว่างพื้นผิวและแร่กับเหลือบสีเข้มและสัมผัสที่เต็มไปด้วยสีสันผสานโดยเส้นสายที่ไม่อัดแน่นจนเกินไปและโดดเด่นด้วยรูปทรงเรขาคณิตอันสง่างามร่วมไปกับรูปลักษณ์ของทั้งสไตล์แบบด้านหรือเงาวาว โดยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของนาฬิการุ่นล่าสุดนี้ในวันนี้ยังได้เสริมความรุ่มรวยแห่งเสน่ห์ด้วยการผสมผสานระหว่างทองและไทเทเนียม รังสรรค์ขึ้นภายใต้โลหะผสมอันแข็งแรงและน้ำหนักเบา กับตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมมนหรือคุชชัน (cushion-shaped) ของนาฬิกา แอร์เมส เอช08 ที่ประกอบด้วยฝาหลังตัวเรือนทำจากไทเทเนียม เคลือบดีแอลซี (DLC) สีดำ ส่วนด้านบนของตัวเรือนชิ้นกลางทำจากโรสโกลด์ การเล่นบนความแตกต่างกันนี้ยังเสริมเสน่ห์ยิ่งขึ้นด้วยขอบตัวเรือนและเม็ดมะยมเซรามิกสีดำซึ่งสลับระหว่างการตกแต่งแบบขัดด้านซาตินและขัดเงา ขณะที่ตัวเรือนแบบทูโทนได้ฉายความโดดเด่นให้กับมิติอันลุ่มลึกของหน้าปัดตกแต่งแบบเกรนอย่างประณีตในเฉดสีดำ ซึ่งตัดกับเข็มชี้ทองเรืองแสงและตัวเลขอารบิกทอง มอบเป็นความชัดเจนอันสมบูรณ์แบบ ขณะที่ดิสก์นาทีกลางและเข็มวินาทีเคลือบด้วยนิกเกิลสีดำ พร้อมทั้งการแสดงวันที่ภายใต้ช่องหน้าต่างทรงคุชชัน ณ ตำแหน่งระหว่าง 4 และ 5 นาฬิกา ถ่ายทอดซึ่งการแสดงอันสมดุล สวยงาม และอ่านค่าได้อย่างชัดเจน
MacBook Pro ใหม่มีประสิทธิภาพเร็วขึ้นสูงสุด 6 เท่า เมื่อเทียบกับ MacBook Pro ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel ที่เร็วที่สุด และรองรับหน่วยความจำแบบรวมสูงสุด 96GB สำหรับเวิร์กโฟลว์หนักๆ ระดับโปร Apple ประกาศเปิดตัว MacBook Pro รุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว ใหม่ที่มาพร้อมซิลิคอนระดับโปรเจเนอเรชั่นถัดไปของ Apple อย่างชิป M2 Pro และ M2 Max ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพที่ยังคงประหยัดพลังงานและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่สำหรับผู้ใช้ระดับโปร ชิป M2 Pro และ M2 Max ซึ่งเป็นชิปที่ทรงพลังและประหยัดพลังงานที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อประดับโปร ช่วยให้ MacBook Pro สามารถจัดการกับงานหนักๆ อย่างการเรนเดอร์เอฟเฟ็กต์ได้เร็วขึ้นสูงสุด 6 เท่า เมื่อเทียบกับ MacBook Pro ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel ที่เร็วที่สุด และปรับแก้สีได้เร็วขึ้นสูงสุด 2 เท่า ประสิทธิภาพของ
เชื่อว่าชาว UNLOCKMEN หลายคนต่างเติบโตมา พร้อมความสุขบนหน้าจอ ที่เต็มไปด้วยฉากชวนตื่นตาตื่นใจระหว่างรับชมการต่อสู้ของฮีโร่ร่างยักษ์ซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์โลกจากเหล่าสัตว์ประหลาดไคจูตัวร้าย พร้อมเอาใจช่วยด้วยความลุ้นระทึกกับเงื่อนไขเวลาจำกัดของพระเอกขณะที่อยู่ในร่างยอดมนุษย์นามว่า Ultraseven โดยเรื่องราวของ Ultraseven นักรบผู้ผดุงความยุติธรรมจากดวงดาวแห่งแสงใน Nebular M78 ที่ออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1967 – 1968 ได้กลายเป็นตำนานสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 55 ปี เช่นเดียวกันกับเรือนเวลา SEIKO 5 SPORTS ซึ่งยืนหยัดในฐานะ Automatic Day-Date Watch รุ่นแรกของญี่ปุ่น ที่มาพร้อมราคาคุ้มค่า คุณภาพน่าเชื่อถือ และดีไซน์ที่ถูกพัฒนาให้ร่วมสมัยสำหรับหนุ่มสาวหัวใจสปอร์ตมาเป็นเวลา 55 ปี นับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 1968 ด้วยช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดิบพอดี ทำให้ยอดมนุษย์ Ultraseven และเรือนเวลาชั้นยอดอย่าง SEIKO 5 SPORTS มีโอกาสได้โคจรมาเจอกันในคอลเลกชั่น SEIKO 5 SPORTS 55th ANNIVERSARY ULTRASEVEN LIMITED EDITION เรือนเวลารุ่นพิเศษ ตัวแทนการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 55 ปีของทั้งคู่ ที่บอกเลยว่าแฟน
สร้างสรรค์สไตล์ให้โดดเด่นและเป็นตัวเองด้วยนาฬิกาเรือนโปรดไปกับแบรนด์ “ทิสโซต์” (Tissot) ที่หลังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการนำคอลเลกชั่น “พีอาร์เอ็กซ์” (PRX) ที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1978 กลับมาสร้างสรรค์ใหม่อีกครั้งในขนาด 40 มม. เมื่อปี 2021 โดยล่าสุด “ทิสโซต์” (Tissot) ได้ประกาศเปิดตัวเรือนเวลาคอลเลกชั่นใหม่ที่ชื่อว่า “พีอาร์เอ็กซ์ 35 มม.” (PRX 35MM) กับการปรับขนาดนาฬิกาให้เล็กลงด้วยขนาด 35 มม. เพื่อตอบโจทย์หนุ่มสาวที่ต้องการความคล่องตัว แต่ยังคงไว้ซึ่งความเท่และกลิ่นอายของยุค 70s โดย “ทิสโซต์” (Tissot) ได้บอกเล่าจุดเด่นของคอลเลกชั่นนี้ผ่านการสร้างสรรค์ภาพยนตร์สั้นสะท้อนถึงวัฒนธรรมป๊อปคลาสสิกของกลุ่มวัยรุ่นในช่วงยุค 70s “ทิสโซต์” (Tissot) แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิส ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1853 ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นาฬิกาประสิทธิภาพสูงในดีไซน์ที่ความทันสมัยอย่างมีเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ได้การยอมรับในแวดวงกีฬา ในฐานะผู้ผลิตนาฬิกาที่มีเทคโนโลยีระบบจับเวลาด้านความเที่ยงตรงแม่นยำสูงสุด สำหรับภาพยนตร์สั้นจากคอลเลกชั่น “พีอาร์เอ็กซ์ 35 มม.” (PRX 35MM) ถูกถ่ายทอดเรื่องราวผ่านกลุ่มเพื่อนที่ทั้ง 5
ตรงกับช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองปีเถาะ หรือ The Year of the Rabbit ที่ใกล้จะมาถึง แฟรงค์ มุลเลอร์ (Franck Muller) และแบรนด์สตรีทแวร์จากโตเกียว #FR2 ได้จับมือกันเผยโฉมนาฬิกา #FR2NCK MULLER Vanguard ซึ่งนับเป็นความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างสองแบรนด์ ทั้งยังเป็นโอกาสที่จะได้เห็น แฟรงค์ มุลเลอร์ นำภาษาการออกแบบอันโดดเด่นของ #FR2 มาใช้บนนาฬิกาเอกลักษณ์อย่าง แวงการ์ด (Vanguard) โดยผลลัพธ์แห่งความร่วมมือนี้คือเรือนเวลาอันล้ำนำแฟชั่นและทันสมัย ด้วยหน้าปัดที่ประดับตกแต่งลวดลายกระต่ายอันเป็นไอคอนิกตลอดกาลของ #FR2 ซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางตัวเลขรูปทรงสัญลักษณ์ และตัวเรือนทรงตอนโนของ แฟรงค์ มุลเลอร์ โดย #FR2NCK MULLER Vanguard นับเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาหรูของสวิส และสตรีทแฟชั่นของญี่ปุ่น จากการหลอมรวมองค์ประกอบต่างๆ ของแต่ละจักรวาล และเติมเต็มด้วยสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองนักสร้างสรรค์ ผลงานนี้จึงมีความโดดเด่นอย่างชัดเจนบนหน้าปัด ที่ซึ่งเผยความสวยงามอันล้ำสมัย แต่ยังคงความเหนือกาลเวลาของ แฟรงค์ มุลเลอร์ ที่สะท้อนผ่านอารมณ์สัมผัสแห่งสตรีทสไตล์ ประกอบด้วยฐานหน้าปัดสีขาวแบบด้านที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ ซึ่งก่อร่างขึ้นกลายเป็นความสวยงามอันเป็นหัวใจ และเหนือขึ้นไปนั้นยังบรรจุไว้ด้วยเข็มชี้บอกเวลา มาร์กเกอร์ และเครื่องหมายขีดแบบนำมาติดที่เป็นสีดำ ด้วยลุคสไตล์โมโนโครมที่ตัดกันอย่างชัดเจนยังได้มอบซึ่งความสมบูรณ์ลงตัวจากการเล่น
งดงามสมการรอคอย! เมื่อ “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ประกาศเปิดตัวเรือนเวลาหรูรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น “คอมมานเดอร์” (Commander) นาฬิกาเรือนสุดท้ายที่เหล่านักสะสมต่างรอคอยจากคอลเลกชั่น “ทเวนตี้ เยียร์ส อินสไปร์ บาย อาคิเทคเจอร์” (20Years Inspired By Architecture) ซึ่งเป็นการออกแบบนาฬิการุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น เพื่อเป็นการรำลึกถึงสุดยอดสถาปัตยกรรมชื่อก้องโลกที่ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบนาฬิกาของแบรนด์ “มิโด”(MIDO) ในตลอด 20 ปีที่ผ่านมา “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (GEORGES SCHAEREN) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.SCHAEREN & CO. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน
แฟรงค์ มุลเลอร์ (Franck Muller) ร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปีของ คอร์ติน่า วอทช์ (Cortina Watch) ที่ได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงสูงสุดแห่งวงการการค้าปลีกนาฬิกาของสิงคโปร์ด้วยซีรีส์ผลงานเรือนเวลาเฉลิมฉลองสุดพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นเฉพาะเพียงหนึ่งเดียว โดยผู้ผลิตที่ได้รับการขนามนามว่า มาสเตอร์ ออฟ คอมพลิเคชันส (Master of Complications) รายนี้ ได้เผยโฉมคอลเลกชันอันวิจิตรประณีตของการรังสรรค์เรือนเวลาเฉพาะหนึ่งเดียว (pièce unique) ขึ้นใหม่ทั้งหมดห้าผลงานจากแนวคิดของนาฬิกาสลับซับซ้อนรุ่น เรโวลูชัน 3 สเกเลตัน (Revolution 3 Skeleton) ของ แฟรงค์ มุลเลอร์ ที่นำมาสร้างสรรค์ขึ้นพิเศษ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี (Golden Jubilee) ของ คอร์ติน่า วอทช์ ในปีนี้ นาฬิกา เรโวลูชัน 3 สเกเลตัน ทั้งห้ารุ่นผลงานเอกลักษณ์ ที่ล้วนรังสรรค์ขึ้นด้วยมืออย่างพิถีพิถันละเอียดอ่อนโดยเหล่าศิลปินช่างระดับมาสเตอร์ ณ โรงงานการผลิต วอทช์แลนด์ (Watchland) ในเจนีวา ซึ่งแต่ละผลงานนั้นได้ร่วมรำลึกถึงมรดกแห่งสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้นระหว่าง