ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง จะแต่งงานแล้ว หรือว่าจะยังโสดก็ตาม การเรียนรู้ที่แสดงออกด้วยการสบสายตาอย่างมีพลัง และการเข้าใจความหมายจากการตีความจากการสบสายตาของผู้อื่น หรือที่เรามักจะได้ยินเป็นภาษาอังกฤษว่า Eye Contact ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในวงสังคมอย่างแน่นอน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ทำงาน หรือกำลัง Hang Out ใน Bar และแม้แต่ขณะที่คุณกำลังคุยธุรกิจสำคัญกับลูกค้า การสร้าง และรับรู้ความหมายจาก Eye Contact ที่ถูกต้อง จะเป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตของคุณไปสู่ความสำเร็จในด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เรามาดูกันว่าทำไมมันถึงมีความสำคัญขนาดนั้น 1. Eye Contact Builds Trust ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Northwestern University ได้พูดถึงเรื่องราวที่ตีพิมพ์ในนิตยสารวงการแพทย์ โดยเรื่องดังกล่าวได้พูดถึงประเด็นขอปฎิสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ และผู้ป่วย เมื่อเจอหน้ากันครั้งแรก ผลปรากฏว่า หมอที่มองไปที่ดวงตาของผู้ป่วยเมื่อแรกพบ จะได้รับความเชื่อถือ และเชื่อใจจากผู้ป่วยมากกว่า นั่นทำให้เรารับรู้ได้ว่า การเลี่ยงที่จะสบตานั้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ไว้วางใจมากที่สุด ตั้งแต่แรกพบเลยก็ว่าได้ 2. Eyes Truly Are the Windows to the Soul ในบางครั้งการยิ้มด้วยปากอาจจะไม่เพียงพอ

ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราจะสังเกตเห็นเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์คนไทยที่หลากหลายขึ้นกว่าเดิม เปลี่ยนแปลงไวกว่าเดิม โดยเฉพาะในกลุ่มคนเมืองกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ถ้าสังเกตดี ๆ เราจะพบว่าปัจจุบันแทบไม่มีคำว่า Slow Life ให้เห็นอีกเลย สังเกตรอบตัวกลายเป็นสังคม Fast Life ที่ทุกคนต่างขยันตั้งใจ วัยทำงานเริ่มหารายได้มากกว่า 1 ช่องทาง วัยรุ่นเริ่มเป็น Freelance รับงาน หรือค้าขายพร้อมกับเรียนไปด้วย ปีนี้จึงกลายเป็นปีที่คนเฉื่อยชาจะโดนทิ้งไว้ข้างหลัง จนหลายคนรอบตัวเราดูเหมือนจะแก่ขึ้นเกินอายุจริงยังไงยังงั้น แน่นอนว่าการขยัน ชีวิตที่เร่งรีบ ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญหาที่แอบเกาะหลังตามมาเงียบ ๆ คือความเครียดจากไลฟ์สไตล์คนเมือง ความน่ากลัวคือ มันจะไม่แสดงออกให้เห็นผลในเร็ววัน แต่มันจะสะสมพอกพูนทั้งทางร่างกายและจิตใจ สาเหตุหลักข้อนึงมาจาก การที่เราไม่มีพื้นที่สงบให้หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองหลวง เมื่อความเครียดทางอารมณ์ที่อยู่ในหัวของเรา สมทบกับความเครียดจากปัจจัยภายนอก วันนึงมันอาจจะถึงจุดแตกหัก ที่เรียกว่า Breaking Point ได้ และเทรนด์นี้ไม่ได้เกิดกับคนกรุงเทพเพียงเมืองเดียว แต่เป็น Macro Trend ระดับโลก ที่คนเมืองในเกือบทุกประเทศ ต่างประสบกันอย่างทั่วหน้า จากเทรนด์คนเมืองนี้เอง ที่เป็นตัว trigger ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์ ที่คนเมืองเริ่มอยากหันหน้าเข้าหาธรรมชาติมากขึ้น สังเกตดูรอบตัว เราเห็นสินค้าที่ทำจากวัตถุดิบ