Collection พิเศษที่เกิดจากความเป็นแฟนกีฬาเบสบอลรุ่นใหญ่ของ Ralph Lauren ถูกถ่ายทอดผ่านแฟชั่นสุดเท่ที่ร่วมมือกับ 4 ทีมชื่อดังแห่ง MLB (Major League Baseball) ได้แก่ New York Yankees, Los Angeles Dodgers, Chicago Cubs และ St. Louis Cardinals หลายคนอาจไม่รู้ว่า Mr. Ralph Lauren เป็นแฟนคลับเหนียวแน่นของ New York Yankees ที่เติบโตในเขต Bronx โดยมีนักกีฬาดาวรุ่งอย่าง Joe DiMaggio “The Yankee Clipper” และ Mickey Mantle “The Commerce Comet” 2 นักเบสบอลที่เล่นให้กับ Yankees เป็นไอดอลมาโดยตลอด จากความชอบกลายเป็นแรงบันดาลใจในการดีไซน์ผลงานที่ผสมผสานจุดเด่นของทั้งแฟชั่นและเบสบอลเข้าไว้ด้วยกัน Polo Ralph Lauren x
นาฬิกา Super Chronomat (ซุปเปอร์ โครโนแมต) คือ นาฬิกาในตระกูล Chronomat (โครโนแมต) ที่โดดเด่นที่สุดของ Breitling (ไบร์ทลิ่ง) จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นทางเลือกอันยอดเยี่ยมที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการนาฬิกาที่มีความสมดุล ระหว่างความทนทานและความมีสไตล์ โดยได้แรงบันดาลใจจากนาฬิกา Frecce Tricolori (ฟรีคเช่ ตรีโคโลรี่) ที่ Breitling สร้างขึ้นสำหรับฝูงบิน Italian Air Force’s Aerobatic Fleet (อิตาเลี่ยน แอร์ฟอร์ซส แอโรบาติก ฟลีต) ในปี 1983 ซึ่ง Super Chronomat (ซุปเปอร์โครโนแมต) คือนาฬิกาสปอร์ตที่ถูกเพิ่มพลัง และความอเนกประสงค์ไปจนหรูหราพอที่จะใส่ไปงานเลี้ยงมื้อค่ำได้เช่นกัน “นี่คือนาฬิกาที่คุณจะสังเกตได้โดยไม่ต้องสงสัย” Georges Kern (จอร์จส์เคิร์น) Breitling CEO (ไบร์ทลิ่งซีอีโอ) กล่าวว่า “นาฬิกาเรือนนี้ แข็งแกร่งพอสำหรับทุกสถานการณ์แต่ก็ไม่ขัดต่อสไตล์ของคุณ” ตามแบบฉบับดั้งเดิมของ Chronomat ด้วยหมุดป้องกันกระจกหน้าปัด Sapphire
ตอนนี้หน้ากากอนามัยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้ว เพราะทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ไปยังพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ เราถูกบังคับให้ต้องใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อยู่เสมอ (หากฝ่าฝืนอาจถูกปรับเป็นเงินถึงหลักสองหมื่นได้) แต่การสวมใส่หน้ากากอนามัยก็มี side effects ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น การหายใจไม่ะดวก หรือ ความอึดอัดที่เกิดขึ้นกับใบหน้า ฯลฯ เพราะฉะนั้น การสวมใส่หน้ากากเป็นเวลานานก็อาจนำไปสู่ปัญหาที่เรียกว่า ‘Mask Fatigue’ ที่อาจทำให้บางคนไม่อยากสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากอนามัยดูเป็นสิ่งของที่เราต้องใช้กันอย่างต่อเนื่องไปอีกสักพัก UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการป้องกันการเกิดอาการ Mask Fatigue เพื่อให้ทุกคนใช้ชีวิตในยุค COVID-19 ได้อย่างปลอดภัยทั้งทางกายและทางใจ เลือกหน้ากากที่เหมาะกับใบหน้าของเรา ในช่วงแรกที่ COVID-19 ระบาด เราเจอกับปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย ทำให้หลายคนต้องหยิบหน้ากากที่หาได้เร็วที่สุดมาใส่ก่อน แต่ตอนนี้ เรามีหน้ากากอนามัยเยอะขึ้นแล้ว การเลือกซื้อหน้ากากอนามัยที่เหมาะสมกับใบหน้าเราจึงทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งหน้ากากอนามัยที่เหมาะสมควีมคุณสมบัติดังนี้ ต้องปกปิดดั้งจมูกและคางของเราได้อย่างมิดชิด สามารถแนบชิดกับแก้มของเราได้ นอกจากนี้ควรมีการประกอบชิ้นเหล็กด้ายในที่สามารถงอให้เข้ารูปกับจมูก เพื่อให้หน้ากากฟิตกับรูปหน้าของเราได้ดียิ่งขึ้น อย่าสวมหน้ากากต่อเนื่องนานเกินไป ถ้าเราสวมหน้ากากมาเป็นเวลานาน ควรหาพื้นที่ใกล้ที่สุดที่สามารถถอดหน้ากากและพักผ่อนได้ เช่น ในห้องน้ำ พื้นที่ปลอดผู้คน หรือ ร้านอาหาร เป็นต้น เพราะถ้าเราอดทนกับความอึดอัดที่เกิดจากการสวมหน้ากากนานเกินไป
กีฬาบาสเก็ตบอลเรียกได้ว่ามีส่วนสำคัญต่อหน้าประวัติของสนีกเกอร์ของโลกอย่างมาก เพราะหากว่ากันตามตรงแล้วรองเท้าโมเดลตลอดกาลที่เราสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็น Converse All Star Chuck Taylor , Nike Air Force 1 , Air Jordan Series ล้วนเคยเป็นรองเท้าบาสเก็ตบอลมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นบรรดาเหล่าแบรนด์ดังมากมายถึงให้ความสำคัญกับการว่าจ้างพรีเซ็นเตอร์ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อผลักดันไลน์สินค้านี้ รวมถึงพยายามดึงตัวซุปเปอร์สตาร์ของลีค NBA มาไว้ในมือ เอาที่เห็นภาพชัดที่สุดก็คือ Nike ที่ต้องยอดควักเงินมหาศาลรวมนักกีฬาระดับ MVP ไว้แทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น Lebron James , Kevin Durant , Kylie Irving ,Giannis Antetokounmpo หรือในอดีตอย่าง Michael Jordan และ Kobe Bryant ผู้ล่วงลับ แต่การที่แบรนด์เหล่านี้ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อดึงนักกีฬาดังไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ สิ่งที่แลกตามมาคือต้นทุนที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับรองเท้าโมเดล Signature รุ่นดังกล่าวจะมีราคาที่สูงขึ้น อย่างต่ำๆ เราต้องเสียเงินให้ค่างวดรองเท้ารุ่นพิเศษไม่ต่ำกว่า $150 (4,500 บาท) ทำให้บรรดาเด็กที่ต้องการจะดำเนินตามไอดอลของเขาไม่มีกำลังซื้อหรืออาจจะต้องไปรบกวนเงินของผู้ปกครอง เพื่อได้ครอบครองรองเท้าคู่ที่ตัวเองต้องการ เหตุการณ์นี้จึงเป็นเหมือนปมให้กับอดีตนักบอลระดับออลสตาร์คนหนึ่งอย่าง Shaquilie O’neal รู้สึกว่าไม่ได้หละ ทำไมเด็กคนที่มีไอดอลเป็นของตัวเองจะสามารถซื้อรองเท้าที่สวยและราคาถูกไม่ได้ โดยเขาคิดว่าตัวเองต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง กระทั่งมีอยู่วันหนึ่งสมัยที่เขาเล่นอยู่กับทีม Orlando Magic ขณะที่เขาซ้อมเสร็จ เขาได้พบกับแม่คนนึงมายืนร้องไห้ต่อหน้าเขา พร้อมบอกว่าเธอทำให้ลูกชายของเธอเสียใจเพียงเพราะไม่สามารถซื้อรองเท้างี่เง่าของพวกคุณในราคาแสนแพงได้ และด้วยความที่ Shaq เป็นคนที่ค่อนข้างเฟรนลี่และเป็นกันเองกับแฟน ๆ Shaq จึงพยายามให้เงินแก่แม่คนนั้น เพื่อเป็นซื้อรองเท้าให้ลูกเธอ แต่เธอปฎิเสธและบอกฉันไม่ได้ต้องการเงินคุณพร้อมเดินจากไป ปมนี้คือเรื่องในใจของ Shaq ตั้งแต่นั่นมา และเป็นไอเดียที่ว่าอยากจะทำรองเท้าในราคาที่สมเหตุสมผลออกมาขาย ซึ่งในช่วงแรกของอาชีพการเล่นของเขาไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้มากนัก เนื่องจาก Shaq ได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ Reebok ตั้งแต่ปีที่เป็น Rookie แล้วมีสินค้ารุ่นพิเศษของตัวเองรุ่น Attaq ออกมาอยู่ต่อเนื่อง ทว่ารองเท้าไลน์พิเศษของเขานั้นเรียกได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย และเป็นเหมือนคำสาปสำหรับนักบอลในตำแหน่งเซ็นเตอร์ เพราะไม่ว่าคุณจะดังระดับซุปเปอร์สตาร์อย่าง Kareem Abdul Jabbar หรือ Patrick Ewings แต่รองเท้าของพวกเขาก็จะไม่ได้รับความนิยมเท่ากับผู้เล่นตำแหน่ง ฟาวเวิร์ด์ หรือ การ์ด เช่นเดียวกับ Shaq จนกระทั้งเขาย้ายออกจาก La Lakers ในช่วงกลางๆ การเล่นของเขาที่รองเท้าของเขาจะเริ่มมียอดขายที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ตามเป้าที่ Reebok คาดหวังไว้ ซึ่งมีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า Shaq พยายามนำเสนอโปรเจครองเท้าราคาถูกให้กับทาง Reebok ช่วงก่อนที่เขาจะหมดสัญญา แต่แน่นอนว่าสำหรับ Reebok ที่กำลังตีตลาดสร้างแบรนด์ ต้องมาขายรองเท้าราคาถูก ไอเดียนี้จึงถูกปรับตกอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับยอดขายรองเท้าของ Shaq ก็ไม่ได้ดีพอที่จะมีปากมีเสียงมากนั้น ทั้งคู่จึงบอกเลิกสัญญากันไป และ Shaq ก็เป็นนักกีฬาที่ไม่มี Sponsorship ส่วนตัวใดๆ ในระหว่างนั้นเองเขาก็ได้เจอกับผู้บริหารของ ACI International ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาราคาถูกอย่าง la Gear และอีกมากมาย ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันในไอเดียการสร้างรองเท้าราคาถูกเพื่อทุกคน จึงได้สร้างไลน์สินค้าใหม่ที่เรียกว่า Dunkman และมีสัญลักษณ์เป็นภาพของ Shaq กำลัง Two Hand Dunk ขึ้นมา สำหรับดีไซน์แรกๆ ของ Dunkman เรียกว่าได้ถูกคนวิจารณ์อย่างหนักมาก เนื่องจากมีความคล้ายคลึงหรือแทบจะถอดแบบมาจากรองเท้าสุดฮิตอย่าง Air Jordan เลยก็ว่าได้ แต่ Shaq ก็ไม่ได้สนใจคำวิจารณ์เหล่าเพราะเขาบอกว่าของที่มันดีอยู่แล้วจะไปเปลี่ยนมันทำไม อีกทั้งเขารู้ว่าปนิธานของการทำแบรนด์นี้คืออะไร โดยรองเท้าของ Shaq เรียกได้ว่าสวนทุกกฎการตลาดทั้งหลายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากราคาสุดถูกเพียง $35 ( 1,050 บาท ) แต่มีดีไซน์สวยเหมือนรองเท้าราคาแพง แถมมี endorser เป็นระดับผู้เล่น All Star ของลีค ( โดยในขณะนั้น Shaq เพิ่งจะคว้าแหวนแชมป์วงที่สามร่วมกับ La Laker ) อีกทั้งเขาเลือกที่จะวางขายมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไม่ว่าจะเป็นร้านอย่าง Payless, Walmart และหลายที่ เพียงแค่ปีแรกรองเท้า Dunkman ขายมาก 2 ล้านคู่ เรียกว่ามากที่สุดในบรรดาผู้เล่นทั้งหมดของ NBA แม้ว่าจะราคาถูกแต่เนื่องจากปริมาณที่สูงลิบทำให้ Shaq ได้รับส่วนแบ่งคร่าวๆ ราวๆ $ 6 ล้านเหรียญสหรัฐ ( 180 ล้านบาท ) เทียบกับค่าจ้างที่เขาได้รับจากทีมในตอนนั้น สำหรับเบื้องหลังความสำเร็จนี้ทาง Matthew Powell นักวิเคราะห์จาก SportsOneSource ได้อธิบายว่ารองเท้าของ Shaq เป็นรองเท้าที่ราคาถูก เด็กสามารถซื้อใส่ไปเรียนหรือเล่นบาสจนทำให้มันพังได้โดยไม่เสียดาย แถมไม่จำเป็นต้องไปเบียดเบียนผู้ปกครอง มันง่ายขนาดที่ว่าหากวันนี้เด็กคนนึงลืมนำรองเท้าบาสไป และเขาอยากลงไปเล่นกับเพื่อน เพียงแค่เขาเดินเข้า Payless ซื้อมันออกมาลงสนามเหมือนกับพวกเราซื้อของออกจากร้านสะดวกซื้อเลยก็ว่าได้ ความสำเร็จของ Dunkman ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพียงแค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เพราะว่าในจีนเอง Shaq ก็มีฐานแฟนคลับค่อนข้างมากๆ เนื่องจากเขาเป็นคนที่สนิทสนมกับ Yao Ming เซ็นเตอร์ออลสตาร์ชาวจีน รองเท้าของเขามียอดขายมากกว่า $ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
อาจจะช้าไปซักเล็กน้อยเนื่องจากเหตุการณ์ Covid-19 เมื่อปีที่ผ่านมาทำให้ Tokyo 2020 Olympic Games ต้องเลื่อน แต่มหกรรมกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงโตเกียวปี 2020 ก็กำลังจะได้เปิดฉากขึ้นในไม่ช้านี้ และวันนี้ถือว่าเป็นหมุดหมายสำคัญในการนับถอยหลัง 100 วันสู่สุดยอดมหกรรมกีฬาจะเปิดฉากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่เหล่านักกีฬากำลังเตรียมตัวขั้นสุดท้ายก่อนลงสนาม ผู้บอกเวลาอย่างเป็นทางการก็เผยโฉมเรือนเวลาสำคัญที่อุทิศเพื่อการแข่งขันคราวนี้โดยเฉพาะ เรือนเวลา OMEGA Seamaster Diver 300M Tokyo 2020 เลือกใช้เฉดสีพิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตราสัญลักษณ์ประจำมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงโตเกียวปี 2020 อีกทั้งยังอัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมระดับสูงของอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบอกเวลา ตัวเรือนสแตนเลสสตีลขนาด 42 มม. ติดตั้งด้วยขอบตัวเรือนสแตนเลสสีน้ำเงิน สเกลดำน้ำบรรจุด้วยเซรามิกสีขาว สายนาฬิกาสแตนเลสสตีลขัดแต่งทั้งแบบขัดเงา-ขัดด้านก็ผสมผสานกับตัวเรือนได้อย่างลงตัว สีน้ำเงินยังถูกขับเด่นด้วยหน้าปัดเซรามิกสีขาวขัดเงาที่สร้างดูมีมิติด้วยการแกะสลักด้วยเลเซอร์เป็นลายคลื่น หน้าต่างวันที่ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ชื่อ Seamaster อันโด่งดังในสีแดงโดดเด่น ชุดเข็มสีน้ำเงินและหลักชั่วโมงประดับหน้าปัดเติมด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova สีขาว ฝาหลังที่ติดตั้งด้วยกระจกแซฟไฟร์แสดงถึงเอกลักษณ์ผ่านตราสัญลักษณ์ประจำมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงโตเกียวปี 2020
หากถามว่านักบอลคนใดเก่งที่สุด คำถามนี้พวกเราอาจจะต้องเกาหัวไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เพราะตัวชี้วัดนั้นช่างยากเสียเหลือเกินที่จะเอามาเป็นตัวตัดสิน แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนคำถามเป็นว่า คุณคิดว่านักฟุตบอลคนไหนมีสไตล์เท่ที่สุดในโลก ? เราเชื่อว่าทุกคนต้องพร้อมใจยกให้กับชายที่ David Robert Joseph Beckham เพราะแม้แต่คนที่ไม่เคยดูฟุตบอลเลย ก็ต่างรู้ว่าเขาคือหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว แฟชั่น หรือแม้แต่เรื่องราวครอบครัว เรียกได้ว่าอยู่ในสปอร์ตไลท์ตลอดเวลา ซึ่งเราคงไม่สาธยายเล่าความโด่งดังของชายคนนี้อีก เพราะเชื่อว่าทุกคนคงจะเคยทราบประวัติรวมถึงผลงานต่างๆ ของเขาผ่านสื่อหลักต่างๆ มานับไม่ถ้วน แต่วันนี้ UNLOCKMEN จะขอนำ Evolution Style & Look รวมถึงถอดรหัสสไตล์การแต่งตัวของ David Beckham ที่หลายสำนักยกให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ชายที่เท่ตลอดกาล จนกาลเวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย Academy to Pro Player หากย้อนกลับไปช่วงยุค 90s ที่เรียกได้ว่าเป็นยุคทอง David Beckham เริ่มต้นพร้อมๆ กับช่วงเวลาที่เขาได้ออกเดทกับ Victoria Beckham ก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกัน โดยมีการบอกเล่าว่าช่วงเริ่มแรกคนที่ดูแลเรื่องสไตล์การแต่งตัวให้เขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นภรรยาสุดที่รักที่เป็น Stylist ส่วนตัว คอยจัดสรรเสื้อผ้ามาให้เนื่องจาก David Beckham ก็ไม่ต่างจากนักกีฬาคนอื่นที่เน้นใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ อย่าง Tracksuit กางเกงขา Baggy กับเสื้อยืดง่าย ๆ ทว่า Victoria Beckham มักกำชับให้เขาใส่ใจเรื่องเสื้อผ้า เพราะจะมีปาปารัสซี่คอยจับตาอยู่ตลอดเวลา และจะเห็นได้ว่าเสื้อผ้าของทั้งคู่จะไปในแนวทางเดียวกัน The Sophisticated Moto Cafe Racer หลังจากที่เขาย้ายไปใช้ชีวิตใน Los Angeles เราก็เริ่มเห็นว่า Beckham ได้อิทธิพลการแต่งตัวที่เอนไปทาง Biker เล็กน้อย
แม้ท้องฟ้า และผืนน้ำไม่อาจมาบรรจบ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือสองสิ่งที่อยู่เคียงคู่กันตลอดมา เปรียบเสมือนนาฬิกานักบิน และ นาฬิกาดำน้ำ เรือนเวลายอดนิยมที่เรามักจะพบเห็นอยู่บนข้อมือของเหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลาย ซึ่งหนุ่ม ๆ ผู้หลงใหลในเสน่ห์ของเครื่องบอกเวลาแทบทุกคน เป็นต้องมีนาฬิกาทั้ง 2 ประเภทเก็บเอาไว้ในคอลเลกชัน เพื่อเป็นไอเทมสำหรับสวมใส่เพิ่มความมั่นใจให้กับ Everyday Look รวมไปถึงโอกาสพิเศษต่าง ๆ และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ภาพของท้องนภา และห้วงมหาสมุทรซึ่งยังคงอยู่เคียงคู่ ณ เส้นขอบฟ้า จะมีโอกาสมาประดับบนข้อมือของสาวกเรือนเวลาอีกครั้ง กับ Avigation BigEye และ Legend Diver Watch คู่หูเรือนเวลาตัวแทนแห่งแผ่นฟ้า และ ผืนน้ำจาก Longines (ลองจินส์) แบรนด์เก่าแก่ระดับโลก อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของนวัตกรรมเวลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ยืนหยัดมายาวนานกว่า 189 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาในปี 1832 ที่เมือง Saint-Imier โดยนาฬิกาข้อมือ The Longines Avigation BigEye และ The Longines Legend Diver Watch รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวออกมา บอกเลยว่าแต่ละเรือนนอกจากจะคงความคลาสสิก
เชื่อว่าชาว UNLOCKMEN แทบจะทุกคนเลยก็ว่าได้ที่อย่างน้อยในชีวิตนี้ต้องเคยเป็นเจ้าของแบรนด์นาฬิกาจากประเทศ ‘Swiss’ อย่าง ‘Swatch’ กันมาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นคงต้องบอกเลยว่านาฬิกา Swatch นั้นตอบโจทย์ได้ครบครันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพการผลิต ที่มีต้นกำเนิดมาจากแผ่นดินที่ก่อกำเนิดเรือนเวลา รวมไปถึงดีไซน์การออกแบบที่มีลวดลายให้เลือกเยอะที่สุด และสุดท้ายก็คือเรื่องราคาที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง ในอดีตที่ผ่านมา เราอาจจะติดภาพนาฬิกา Swatch ว่า ตัวนาฬิกานั้นจะต้องมีลวดลาย และสีสันที่หลากหลาย หรือไม่ก็ดู Art ดูคูลสุด ๆ แต่จริง ๆ แล้ว Swatch มีนาฬิกาหลายรุ่นมากที่ถูกยกให้เป็น Iconic ของนาฬิกาที่ถูกดีไซน์ให้ดูเรียบง่าย แต่ดูมีอะไรซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็น 1988 Swatch Andromeda GK111, 1989 Swatch Albatross GX700, 1990 Swatch Golden Jelly GZ115, 1995 Swatch Le Grand Soir YLG103 หรือ 1995 Swatch Upside
Benedicte Piccolillo สาวอาร์ตมากความสามารถจากฝรั่งเศสเจ้าของ Design Studio ‘Voglio Bene’ ผู้เริ่มต้นจากเส้นทาง Photographer จากนั้นจึงผันตัวสู่การเป็น Digital Graphic จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผลงานที่โดดเด่นของ Piccolillo คืองานอาร์ตที่ผสมผสานความเป็น Renaissance กับ Modernity เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยการใช้แรงบันดาลใจจากผลงานศิลป์เก่าแก่จากยุค Middle Ages จาก Italian และ Spanish ที่มักจะเกี่ยวข้องกับศาสนา นำมาเพิ่ม graphci design เข้าไปในงานต้นแบบจนกลายเป็นชิ้นงานที่ดูร่วมสมัย ทำให้มีวัง คฤหาสน์ หรือแม้แต่ Museums ที่มีผลงานเก่า ๆ มากมายมักจะชักชวน Piccolillo เพื่อร่วมงาน Colloboration โดยใช้ ‘coups de Coeur’ หรือการนำชิ้นงานเก่าแก่มา twist เพื่อจัดแสดงเป็น Exhibition ให้กับคนรุ่นใหม่ได้เข้าถึงงานศิลป์เก่าแก่ที่มีคุณค่า นอกจากงานอาร์ตเพื่อจัดแสดง
คอลเลกชันเสื้อผ้าที่หลายคนรอคอย UNIQLO and JW ANDERSON Spring/ Summer 2021 กลับมาอีกครั้ง กับงานคอลแลปส์สุดพิเศษระหว่าง ยูนิโคล่กับ Jonathan Anderson ดีไซเนอร์ชาวอังกฤษ ดีกรีระดับโลกเจ้าของแบรนด์ J.W. Anderson ที่มีสไตล์โดดเด่นด้วยดีไซน์ละเอียดประณีต เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ผู้นำด้านนวัตกรรมและแนวคิดล้ำสมัยในลอนดอนที่เป็นที่จับตามอง ในคอลเลกชันครั้งนี้มาพร้อมกับความอบอุ่น สดใส ด้วยงานปัก และดีเทลเล็ก ๆ ที่มีความครีเอทีฟ สนุกแปลกใหม่ ทั้งการเย็บลายดอกไม้ลงไปในดีเทลต่าง ๆ รวมถึงการใช้สีพาสเทลที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ และแน่นอนว่าทุกไอเท็มยังคงสวมใส่สบาย ตามคอนเซ็ปต์ของ Uniqlo ที่ทั้งดูดีและยังสวมใส่สบาย ในคอลเลกชันนี้ยังคงกลิ่นอาย dna ของทั้งสองแบรนด์ได้อย่างลงตัว UNLOCKMEN ได้มีโอกาสนำบทสัมภาษณ์ของโจนาธาน แอนเดอร์สัน เกี่ยวกับแรงบันดาลใจในคอลเลกชันนี้ ร่วมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในช่วงโควิด 19 มาฝากกัน แรงบันดาลใจในการออกแบบคอลเลกชันนี้คืออะไร และอะไรคือสิ่งที่คุณอยากจะสื่อสารไปถึงผู้สวมใส่ Jonathan Anderson : ในช่วงแรกของการระบาด
ผิวอ่อนนุ่มของมนุษย์เอาเข็มแหลมจุ่มสีจิ้มย้ำลงไปให้เลือดซิบ หมึกซึมเข้าไปในผิวหนัง จะได้รอยสักบ่งบอกตัวตน ผู้ชายกับรอยสักเป็นของคู่กัน แต่ที่อยู่กับรอยสักได้ดีไม่แพ้ผิวหนังมนุษย์ ก็ผิวของ “หินอ่อน” จากงาน Iconic ที่ถูกเพิ่ม “รอยสัก” เข้าไปจนกลายเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย และมีศิลปินท่านนึงที่อาจหาญทำมันได้สำเร็จจนได้ Fabio Viale เกิดใน Cuneo ทางตอนเหนือของ Italy ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านหินอ่อนคุณภาพดี เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการหินอ่อนเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะตอนอายุ 16 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกหลงใหลในวัสดุชิ้นนี้ ต่อมาเขาผลิตงานประติมากรรมสลักหินอ่อนมากมาย และมีผลงานบางส่วนที่โด่งดังเข้าตาวงการร้านขายของแอนทีค ถือเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเต็มตัวของ Fabio เส้นทางก่อนเป็นศิลปินอิสระ คือการสร้างรูปปั้นเพื่อตกแต่งสุสานในเมืองมิลาน แต่หลังทำไปสักพัก Fabio ก็เลือกเส้นทางศิลปินเดี่ยวออกมาทำงานคนเดียว ย้ายจากอิตาลีไปอยู่ทั้งนิวยอร์กและรัสเซีย มุ่งมั่นสร้างผลงานจนในที่สุดเขาก็มีผลงานสร้างชื่อเข้าจนได้ โดยมีรางวัล Cairo Prize ให้ชื่นใจเป็นชิ้นแรก กระทั่งปี 2015 เขาตัดสินใจทำงานร่วมกับ Poggiali Gallery ใน Florence เพื่อจัดนิทรรศการส่วนตัว และผลงานนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เพราะได้รับเกียรติให้นำเข้าไปติดตั้งไว้ในโบสถ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างมหาวิหารซานโลเรนโซ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ไวรัลเท่างานล่าสุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นการสร้างรูปปั้นไอคอนิกตามแบบที่สำคัญในประวัติศาสตร์ แล้วนำมาใส่รอยสักลงไปจากการตีความของ Fabio แต่มันไม่ได้ธรรมดาแค่นั้น เพราะจุดสำคัญคือรอยสักบนหินทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้วิธีทาสีทับธรรมดา แต่ใช้เทคนิคทำให้เหมือนสีซึมอยู่ด้านในจนดูคล้ายกับรอยสักมนุษย์จริง
ใครเคยเดินเหยียบเศษหมากฝรั่งที่คนถุยทิ้งไว้บ้าง? มันเป็นสิ่งที่กวนใจ สกปรกเลอะเทอะ เอาออกยาก แต่ด้วยความเหนียวหนืดของมัน จึงมีสองนักเรียนดีไซน์เนอร์ Hugo Maupetit และ Vivian Fischer คิดไอเดียการเปลี่ยนซากหมากฝรั่งให้เป็นล้อสเก็ตบอร์ดได้สำเร็จ ไอเดียนี้แจ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือการสะสมเศษซากหมากฝรั่งด้วยการออกแบบและติดตั้งบอร์ด “Gum Collection Board” ผลิตจาก polymethyl methacrylate (PMMA) plastic ให้คนแปะหมากฝรั่งเคี้ยวแล้วให้เป็นที่เป็นทาง จากนั้นจะมาเก็บไปทั้งกระดานสัปดาห์ละครั้ง 1 บอร์ดจะได้หมากฝรั่งประมาณ 60 ชิ้น ในขณะที่ล้อแต่ละอันจะใช้เศษหมากฝรั่งประมาณ 10 – 30 ชิ้น แล้วแต่ขนาดและความแข็งแรง ทั้งบอร์ดและหมากฝรั่งจะถูกส่งต่อไปที่โรงงานเผื่อผ่านกระบวนการใช้ความร้อนหลอมรวมกันก่อนจะแปลรูป ทำสี และพิมพ์ออกมาเป็นล้อสเก็ตบอร์ดในที่สุด ข้อดีของโปรเจคนี้คือ เมื่อล้อเหล่านี้พังเสียหาย ก็สามารถนำกลับไปกระบวนการแปรรูปได้อีกครั้ง แม้บอร์ด PMMA ที่เต็มไปด้วยเศษหมากฝรั่งจะดูไม่ค่อยสวยงาม แต่เรื่องการใช้งานถือว่าโอเคมาก เพราะลดการคายถุยทิ้งตามพื้นทางเดินได้ไปในตัว เพราะปัญหาการทิ้งเศษหมากฝรั่งใน UK นั้นค่อนข้างหนัก มีเพียง 10% ที่ทิ้งเป็นที่เป็นทาง อีก 90% ถูกทิ้งอย่างไม่เป็นระเบียบ และทุกปีต้องใช้งบประมาณถึง 2,700