ย้อนกลับไปในปี 1994 ชายคนหนึ่งชื่อว่า James Jebbia ได้เริ่มต้นสร้างแบรนด์เสื้อผ้าเล็ก ๆ ของตัว เพราะมีความตั้งใจที่อยากจะทำแฟชั่นขึ้นมาตอบสนองไลฟ์สไตล์สำหรับคนที่หลงใหลในกีฬาสเก็ตบอร์ดอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งใครจะคิดว่าจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นี้ กาลผ่านไป 20 กว่าปี ปัจจุบันเสื้อผ้าของเขากลายเป็นสุดยอดแบรนด์ของโลก จนหลาย ๆ คนพยายามถอดเคล็ดลับความสำเร็จ แต่ก็ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN กำลังจะมาพูดถึงแฟชั่นที่มากกว่าแฟชั่นอย่าง Supreme Supreme เริ่มต้นจากร้าน underground เล็ก ๆ โดย James Jebbia ผู้คลุกคลีกับวงการเสื้อผ้าสตรีตแวร์มาพอสมควร เพราะเขาเคยหาบแร่ขายของวินเทจจนขยับขยายมาเปิดร้าน multi-store นำเข้าเสื้อผ้าจากประเทศอังกฤษมาขายในอเมริกา ก่อนที่จะรู้สึกอิ่มตัวและอยากสร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งเขาได้ไปเจอตึกว่างในทำเลถนนย่าน Lafayette จากความคิดเพียงว่าน่าจะเป็นสถานที่เหมาะสำหรับเป็นจุดนัดพบของเหล่าสเก็ตเตอร์เท่านั้น ขณะนั้นเอง James Jebbia ยังคงทำงานควบคู่อยู่กับแบรนด์ Stüssy พร้อมเปิดร้านเล็ก ๆ ที่ชื่อ Supreme โดย James กล่าวว่าเขาแค่รู้สึกว่าชื่อนี้มันเท่ดีส่วนโลโก้ที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์อย่าง Box Logo นั่นได้แรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะของ
หนุ่ม ๆ หลายคนที่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ Ford v Ferrari คงพอรู้การกำเนิดตำนานรถแข่งอย่าง Ford GT40 ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาของ Carroll Shelby ชายอเมริกันเพียงคนเดียวที่เคยชนะสุดยอดการแข่งขัน Le Mans และ Ken Miles นักแข่งรถมือฉมังคู่ใจของเขา ไม่ได้มีแค่ Ford GT40 เท่านั้นที่เป็นตำนานรถแข่งของ Ford เพราะในเวลาเดียวกันนั้นสองคู่หูจาก Le mans ก็ซุ่มพัฒนาสุดยอดรถแข่งอีกคันขึ้นมาชื่อ Mustang Shelby GT350 Fastback Coupe ที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน จนกลายเป็นต้นแบบรถยนต์ตัวแรงของค่ายในเวลาต่อมา และความสำเร็จของรถรุ่นนี้กำลังจะกลับมาอีกครั้งในชื่อ Ford Mustang Shelby ‘Heritage Edition’ 55 ปีผ่านไป ฟอร์ดเตรียมนำตำนานรถแข่ง Mustang Shelby กลับมาอีกครั้ง โดยถูกถ่ายดีเอ็นเอลงในแชสซีและเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ยังคงไว้ซึ่งดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงสีของตัวรถที่เลือกใช้สีที่ Ken Miles ใช้ลงแข่งในสหรัฐอเมริการะหว่างยุค 60’s ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตระหว่างการทดสอบรถในปี
หลังจากปล่อยให้หนุ่มสนีกเกอร์เฮดทั่วโลกรอคอยกันมาหลายเดือน ในที่สุดคอลเลกชันรองเท้าสายคอลแลปส์อย่าง Nike x Off-White โมเดล Dunk Low ก็เตรียมปล่อยออกสู่ตลาดเสียที โดยแคปซูลแรกประกอบไปด้วยรองเท้าทั้งหมด 3 สีด้วยกัน Nike x Off-White ‘Dunk Low’ เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยในคอลเลกชันประกอบไปด้วยโมเดล Dunk Low ที่ใช้วัสดุ Premium Leather มีทั้งหมด 3 โทนสี ประกอบไปด้วย สีเหลือง University Gold/Midnight ต่อด้วย สีแดง Red/Univesity Red/Wolf Grey และสีที่หลายคนหมายตาไว้คือ สีเขียว White/Pine Green/Pine ‘Dunk Low’ สไตล์สตรีตของ Off-White เพิ่มดีไซน์สุดพิเศษด้วยห่วงร้อยเชือกรอบ ๆ รองเท้า พร้อมกับเชือก Flywire ที่สามารถดึง เพื่อเพิ่มความกระชับได้เหมือนรองเท้าปีนเข้า ลิ้นรองเท้าจากโฟมที่มีโลโก้คลาสสิกของ Nike อยู่ และที่ขาดไม่ได้คือสายคาดชิปทำจากหนังแก้วที่เป็นซิกเนเจอร์ในงานคอลแลปส์จาก
หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบโมเดลรองเท้าวิ่งจากค่ายสามขีดไม่ว่าจะเป็น UltraBOOST และ Futurecraft 4D คงนอนตายตาหลับกันแล้ว หลังมีภาพหลุดออกมาว่า Adidas เตรียมพัฒนารองเท้าโมเดลใหม่ โดยผสมผสานกันระหว่างโมเดลเรือธงทั้ง 2 คู่ซึ่งอาจใช้ชื่อว่า Ultra 4D อาดิดาสกำลังเตรียมแผนรับปี 2020 ด้วยรองเท้าคู่ใหม่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของโมเดล UltraBOOST และ Futurecraft 4D โดยภาพกราฟิกที่หลุดออกมา ทำให้เราเห็นคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ แต่เวลาต่อมาก็มีภาพถ่ายของรองเท้าซึ่งคาดว่าเป็นคู่ตัวอย่างของ Adidas Ultra 4D หลุดออกมาให้เราได้ยลโฉม แม้ไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการจากฝั่งผู้ผลิต แต่ภาพที่หลุดออกมาของ Adidas Ultra 4D ก็ทำให้แฟน ๆ ของพวกเขาใจเต้นแรงและหวังจะได้ใส่รองเท้าสไตล์ฟิวชัน โดยในภาพแสดงให้เห็นรองเท้าที่มีอัปเปอร์แบบ Primeknit ของ UltraBOOST 1.0 สี Off-White และมิดโซลแบบ Futurecraft 4D สี Aero Green นอกจากนี้ภาพยังเผยให้เห็นแผ่นมิดโซลสีดำที่มีลายกราฟิกเขียนว่า 4D และชื่อรุ่นด้านข้างรองเท้าซึ่งเปลี่ยนจาก
เรามักเห็นโลโก้สีตัวอักษรสีแดงสามตัวบนพื้นหลังสีเหลืองสดใสอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล่องพัสดุไปจนถึงไอเทมแฟชั่น เพราะบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ชื่อดังอย่าง DHL (Dalsey, Hillblom and Lynn) จากเยอรมนีขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพการจัดส่งและเป็นธุรกิจระดับนานาชาติที่มั่นคง อยู่ค้ำวงการมานานถึง 50 ปีแล้ว DHL เป็นบริษัทขนส่งที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1969 แต่แวะเวียนเข้ามาในโลกของแฟชั่นอยู่บ่อย ๆ เช่นเดียวกับหนนี้ เมื่อแบรนด์ได้เดินทางมาถึง 50 ปี ย่อมต้องมีการออกคอลเลกชันพิเศษเพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จ โดยแบรนด์ที่ DHL เลือก Collaboration ด้วยคือแบรนด์เคสโทรศัพท์มือถือและเคสหูฟังไร้สายชื่อดังอย่าง Casetify การพบกันระหว่าง DHL กับ Casetify ถือเป็นการเจอกันครั้งที่สองแล้ว หลังจากเคยสร้างเสียงฮือฮาให้กับเหล่าคอแฟชั่นที่ชื่นชอบ Accessories สไตล์สตรีตที่มีกลิ่นอายแบบวินเทจในการร่วมมือกันครั้งแรก จนยอดจองถล่มทลายอย่างรวดเร็วทันทีที่เริ่มเปิดจอง ส่วนในปี 2019 คอลเลกชันเท่ ๆ ได้ออกมายั่วน้ำลายอีกหนโดยใช้ชื่อว่า ’50 Years of DHL’ ไอเทมจากคอลเลกชัน 50 Years of DHL ถือว่าจัดเต็มสำหรับทุกคนจริง ๆ เพราะขนมาทั้งไอเทม
ถ้าจะให้หยิบยกเอาเรื่องราวของสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาพูดถึงสักหนึ่งเรื่อง บอกเลยว่าแค่เรื่องใกล้ตัวอย่างร่างกายของมนุษย์เรานั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์มากมายให้พูดถึงกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของสมอง หรือหัวใจ รวมไปถึงกลไกอวัยวะ กระดูก กล้ามเนื้อ ผิวหนังทั่วร่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าน่าทึ่งเป็นอันดับต้น ๆ ในร่างกายมนุษย์ นั่นก็คือระบบประสาทรับกลิ่น หลายคนคงจะเคยชินกับการรับรู้กลิ่นในทุก ๆ วัน แต่อาจไม่เคยรู้ว่าความสามารถธรรมดา ๆ สิ่งนี้ มันเกิดจากการทำงานสอดประสานกันของเซลล์รับกลิ่นจำนวนมหาศาลที่ช่วยให้เราจำแนกกลิ่นที่แตกต่างได้มากถึง 1 ล้านล้านกลิ่น (APPENDIX – http://bit.ly/35UJGXx) แถมการรับกลิ่นยังถือเป็นประสาทสัมผัสที่แข็งเกร่งที่สุดในประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ หากลองสังเกตดี ๆ ในหลายเหตุการณ์เรามักจะรับรู้ถึงกลิ่น ก่อนที่จะมองเห็น ได้ยิน สัมผัส หรือลิ้มรสเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้การรับกลิ่นของคนเรา ยังมีความเกี่ยวพันกับอารมณ์ ความรู้สึก ความทรงจำ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อประสาทรับกลิ่นของเราทำงาน กลิ่นที่ได้รับนั้นจะมุ่งหน้าไปทำปฏิกิริยากับสมองส่วน Amygdala และ Hippocampus ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ และ ความทรงจำโดยตรง (APPENDIX – http://bit.ly/35RohyK) จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กลิ่นบางกลิ่นจะสามารถทำให้เรารู้สึกดี หรือบางกลิ่นจะช่วยกระตุ้นให้นึกถึงความหลัง และแน่นอนว่ากลิ่นยังทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงไปถึงสถานที่ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกบันทึกผ่านประสบการณ์ชีิวิต และความทรงจำของเราได้อย่างน่ามหัศจรรย์ อ่านเรื่องราวของ
ถ้าพูดถึงประเทศสกอตแลนด์ ผู้ชายหลายคนคงจินตนาการถึงเมืองเก่าแก่อย่างเอดินบะระ (Edinburgh) อันเป็นเมืองหลวงของประเทศแห่งนี้ แต่เชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้จักสกอตติช ไฮแลนด์ส (Scottish Highlands) ดินแดนทางตอนเหนือและตะวันตกของเกาะอังกฤษ สกอตติช ไฮแลนด์ส ไม่เพียงเป็นบ้านเกิดของสายลับเจมส์ บอนด์ จากภาพยนตร์เรื่อง Skyfall ปี 2012 เท่านั้น แต่ที่นี่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเอาไว้ เป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยเทือกเขา ทุ่งหญ้า ทะเลสาบ และธรรมชาติเต็มพื้นที่โดยไม่เหลือที่ว่างให้ตึกระฟ้าผุดขึ้นมา Mary Arnold-Forster Architects สตูดิโอผู้คร่ำหวอดด้านการสร้างสถาปัตยกรรมแบบยั่งยืน จึงนำหลักสถาปัตยกรรมมาผสมผสานกับความงดงามของธรรมชาติ เพื่อดึงสุนทรียภาพของทั้งสองสิ่งนี้ออกมา จนเกิดเป็นสถาปัตยกรรมบ้านไม้รูปทรงเรขาคณิตในหมู่บ้าน “Nedd” ของเมืองซูเธอร์แลนด์ (Sutherland) ประเทศสกอตแลนด์ เนื่องจากทีมสถาปนิกตั้งใจจะสร้างบ้านโดยไม่ทำลายก้อนหินรอบข้าง พวกเขาจึงต้องสำรวจพื้นที่เพื่อกำหนดตำแหน่งที่แน่นอนก่อนตอกเสาเข็ม แม้การเข้าถึงไซต์ก่อสร้างจะค่อนข้างทุลักทุเล เพราะต้องวิ่งผ่านถนนเส้นเล็กเพียงเส้นเดียว แต่ทีมสถาปนิกก็สามารถสร้างบ้านขึ้นมาได้และเลือกพื้นที่ที่อยู่ระหว่างหินสองก้อนเป็นทำเลที่ตั้งของบ้านหลังนี้ วัสดุหลักที่ห่อหุ้มเปลือกนอกของบ้านใช้ไม้กระดานจากต้นสนที่เคยถูกไฟไหม้ นอกจากจะนำวัสดุเหลือทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว พื้นผิวผนังด้านนอกของไม้ยังมอบความงดงามที่ต่างจากวัสดุไม้ทั่วไปอีกด้วย แม้โครงสร้างของบ้านจะถูกยึดด้วยเสาคอนกรีต แต่กลับไม่ได้ปูด้วยพื้นคอนกรีต เพราะกลัวว่าผิวดินจะรองรับน้ำหนักของบ้านมากเกินไป จึงเลือกใช้เป็นพื้นไม้ลามิเนตแทน พื้นที่ใช้สอยในบ้านถูกแบ่งเป็นสามส่วนคือ ห้องนั่งเล่น ห้องนอนหลัก และห้องนอนสำหรับแขก ซึ่งโถงทางเดินของบ้านก็สามารถเชื่อมโยงทุกส่วนเข้าด้วยกัน มีหน้าต่างขนาดใหญ่เปิดให้เห็นวิวทุ่งหญ้า เทือกเขา และทะเลสาบ Loch
หลังจากที่แบรนด์รองเท้าสัญชาติเยอรมนีอย่าง Puma ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากการปล่อยสนีกเกอร์โมเดล CELL VENOM ไปก่อนหน้านี้ ในตอนนี้แบรนด์เครื่องกีฬาชื่อดังก็พร้อมต่อยอดความสำเร็จดังกล่าวด้วยการเบนเข็มมายังฝั่งมังงะและแอนิเมชันเรื่องดังของประเทศญี่ปุ่น มังงะที่ว่าคือการผจญภัยของเหล่าโจรสลัดที่ตามหาขุมทรัพย์ ณ เกาะสุดท้ายกับเรื่อง One Piece ผลงานจากปลายปากกาของอาจารย์เออิจิโระ โอดะ ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยจะหยิบประเด็นที่ว่าด้วยความมืดและความสว่างที่เป็นแกนกลางของเรื่องมาเล่าบนสนีกเกอร์รุ่น LQD CELL เส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่วคืออะไร ? คือทหารเรือกับโจรสลัด หรือแท้จริงแล้วเราทุกคนไม่ว่าจะมีจุดยืนอยู่ฝ่ายไหนต่างก็ล้วนมีด้านมืดและด้านสว่างอยู่ในตัว ? ถ้าใครที่เป็นแฟนมังงะจะรู้ว่าไม่ใช่ทหารทุกคนจะเป็นคนดี และไม่ใช่ว่าโจรสลัดจะชั่วร้ายไปเสียหมดทุกคน ด้วยประเด็นแสนละเอียดอ่อนที่อาจารย์โอดะสอดแทรกอยู่ในผลงานอย่างน่าสนใจ Puma จึงนำแรงบันดาลใจที่ว่าเปลี่ยนเป็นแฟชั่นโดยใช้ความมืดและความสว่างมาบรรจบกันอยู่บนสนีกเกอร์ LQD CELL ที่ถูกแต่งแต้มด้วยเรื่องราวของความมืดและแสงสว่างจากเรื่อง One Piece เป็นสนีกเกอร์ที่รับแรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นรองเท้ายุค 90 และนำมาผสานกับเทคโนโลยีปัจจุบันอย่างลิควิดเซลล์รูปทรงหกเหลี่ยม นุ่มและคืนตัวซ่อนอยู่ในส้นรองเท้าแบบหนา รองรับแรงกระแทกจากการเดิน วิ่ง และกระโดดได้เป็นอย่างดี การเล่าเรื่องความมืดและความสว่างบน Puma LQD CELL จะประทับอยู่บนสนีกเกอร์สีขาวสะอาดตา เมื่อยามเดินตามปกติในเวลากลางวันหรือสถานที่มีแสงเยอะก็จะเป็นการเผยตัวตนของความดีที่อยู่ด้านสว่าง แต่ความพิเศษขั้นกว่ากลับถูกซ่อนไว้ในด้านมืดเพราะเมื่อเราเดินเข้าสู่สถานที่ที่มีแสงน้อยหรือตอนกลางคืน สนีกเกอร์ตัวแทนด้านสว่างก็จะเปลี่ยนไปเป็นด้านมืดพร้อมกับโชว์ลวดลายเรืองแสงตรงแถบ 3M Sock Lining รูปหัวกะโหลกสวมหมวกฟาง สัญลักษณ์ธงโจรสลัดของกลุ่มลูฟี่ ที่อยู่รอบบริเวณ Upper
ถ้าพูดถึงสไตล์มินิมัลแบบญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ข้าวของเครื่องใช้ คาเฟ่ ไปจนถึงโรงแรมและอาร์ตแกลเลอรี ชื่อแรกที่ใคร ๆ นึกถึงคงหนีไม่พ้นแบรนด์ Muji จากจุดเริ่มต้นปี 1980 ที่ Muji ออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์สไตล์มินิมัลให้เป็นมิตรกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม แถมเร็ว ๆ นี้ยังขยายไลน์จากแค่การขายสินค้าไปเปิดโรงแรมตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อีกทั้งเติบโตไม่หยุดด้วยการหันมาผลิตบ้านสำเร็จรูปเพื่อแฟนคลับผู้ชื่นชอบที่พักอาศัยขนาดกำลังดีสุดมินิมัล Muji เริ่มหันมาสร้างบ้านสำเร็จรูปเมื่อปี 2004 ระหว่างนั้นก็ยังกระโดดเข้าสู่ธุรกิจซ่อมแซมและรีโนเวตอพาร์ตเมนต์อีกด้วย แถมเมื่อช่วงปี 2017 ยังได้สถาปนิกชื่อดังหลายท่าน เช่น Nao Fukasawa, Jasper Morrison และ Konstantin Grcic มาร่วมออกแบบพื้นที่ใช้สอยขนาดกะทัดรัดตรงตามความต้องการของชาวญี่ปุ่น ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่ดินในประเทศญี่ปุ่นมีราคาสูงมาก การซื้อที่ดินและจ้างสถาปนิกมาออกแบบสร้างสิ่งปลูกสร้างเองถือเป็นค่าใช้จ่ายที่หนักเอาการ บ้านสำเร็จรูปจึงถือเป็นตัวเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากจ่ายเงินทีเดียว แต่ได้ทุกอย่างเพียบพร้อมตามต้องการ ทั้งสิ่งปลูกสร้าง สไตล์ที่ตอบโจทย์ และเฟอร์นิเจอร์ครบครัน “YOU NO IE” HOUSE OF MUJI แต่เมื่อ Muji ก้าวเข้าสู่ตลาดบ้านสำเร็จรูป กลับทิ้งช่วงการออกแบบบ้านใหม่
สำหรับบทความนี้หนุ่มเซอร์เครางามอาจต้องข้ามไปก่อน เพราะเรากำลังจะพูดถึงเรื่องราวจำเป็นของหนุ่ม ๆ ที่นิยมความเกลี้ยงเกลาบนใบหน้า ซึ่งแน่นอนว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้กับกิจกรรมการโกนหนวด ที่มันช่างงอกเร็ว งอกไว เผลอแป๊บเดียวหนวดก็โผล่มาให้โกนกันได้ไม่เว้นแต่ละวัน และปัญหาที่ผู้ชายหลายคนมองข้าม มันก็เริ่มมาจากความถี่ของการโกนหนวดที่บ่อยจนเป็นกิจวัตร ทำซ้ำกันอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่สมัยแตกเนื้อหนุ่ม ยันเป็นหนุ่มเนื้อแตก ผิวหน้าเกิดรอยแดง มีอาการระคายเคือง แสบ คัน ขนคุดอักเสบที่ล้วนแล้วแต่เกิดจากพฤติกรรมการโกนหนวดแบบขอให้จบ ๆ ไปที โดยที่ไม่ใส่ใจว่าผิวหน้าคนเรานั้นสุดแสนจะบอบบางแพ้ง่ายกว่าผิวหนังส่วนอื่น ยิ่งในขั้นตอนการโกนหนวดที่ผิวหน้าถูกรบกวนโดยตรง ยิ่งเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาผิวหน้ากวนใจอย่างที่เราเกริ่นไว้ข้างต้น เพื่อให้การโกนหนวดครั้งต่อไปบรรลุวัตถุประสงค์ของการเป็นหนุ่มหน้าเกลี้ยงอย่างจริงแท้ โดยไม่ต้องหวังพึ่งสารบำรุงจากสกินแคร์เพียงอย่างเดียว เราขอบอกเลยว่าหนุ่ม ๆ ทั้งหลายควรบอกลาการลงมีดลากปาดให้ทั่วไรหนวดแล้วแยกย้าย แล้วหันมาใส่ใจสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามอย่างวิธีการโกนหนวดสุดพิถีพิถัน ตามขั้นตอนที่เราแนะนำ รับรองว่าจะช่วยให้ปัญหาของหนุ่ม ๆ ผิวบอบบางแพ้ง่าย ที่ต้องเจอกับอาการระคายเคือง รอยแดง คัน ขนคุดอักเสบ หลังโกนหนวดอยู่บ่อย ๆ นั้นลดลงได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะไปเจอกับวิธีการโกนหนวดที่ถูกต้อง ขอบอกว่าการขั้นตอนการเลือกมีดโกนหนวดก็สำคัญไม่ใช่เล่น เพราะอย่างที่รู้กันว่าขณะโกนมีดโกนหนวดคืออุปกรณ์ที่มีโอกาสสร้างความระคายเคืองให้กับผิวหน้าได้มากที่สุด ดังนั้นถ้าอยากลดปัญหาผิวหน้าระคายเคืองหลังโกนหนวด มีดโกนที่อ่อนโยนต่อผิวคือสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้โดยเด็ดขาด อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าทุกคนคงมีคำถามในใจว่า “แล้วต้องเลือกมีดโกนหนวดแบบไหนถึงจะเหมาะ?” จากคำถามนี้เราจึงขอแนะนำไอเทมเด็ดที่ช่วยให้ขั้นตอนการ Shave หรือขั้นตอนการโกนหนวดซึ่งเป็นช่วงที่ผิวหน้าถูกรบกวนมากที่สุดนั้นผ่านพ้นไปได้แบบสบาย ๆ ไม่ระคายผิวด้วยมีดโกนหนวด Gillette Skinguard ที่ออกแบบมาเพื่อผิวบอบบางโดยเฉพาะ
หลังจากที่เราได้พูดถึง “10 เพลงยอดเยี่ยมทรงอิทธิพลแห่งทศวรรษ” จัดอันดับโดยนิตยสาร TIME กันในครึ่งแรกไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะกลับมาพูดถึงอีก 5 เพลงที่เหลือตามที่สัญญาทุกท่านกันครับ ก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงเพลง Rolling in the Deep (Adele), Dancing On My Own (Robyn), Everything is Embarassing (Sky Ferreira), I Want You (Luke James) และ All Too Well (Taylor Swift) กันไปแล้ว โดยแต่ละเพลงก็จะมีคุณสมบัติบางอย่างที่น่าสนใจและส่งอิทธิพลบางอย่างต่อวงการเพลงในอเมริกาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สำหรับเพลงครึ่งหลังที่เรากำลังจะพูดถึงในต่อไปนี้ บางเพลงคุณอาจไม่รู้จักและไม่เคยฟังมาก่อน แต่บางเพลงก็กำลังฮิตติดชาร์ตเป็นที่รู้จักอยู่ในขณะนี้ มาดูไปพร้อม ๆ กันว่าจะมีเพลงอะไรบ้าง แต่บอกได้เลยว่าแต่ละเพลงไม่ธรรมดาจริง ๆ I Miss Your Bones – Hospitality (2013-2014) วงอินดี้ร็อกในปี 2013
คงต้องยอมรับว่าปัจจุบัน ‘กล้อง’ นั้นมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ไม่น้อย ไม่เพียงเป็นอุปกรณ์บันทึกภาพช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ หากยังช่วยส่งต่อวัฒนธรรมหรือเรื่องราวในอดีตของคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่ผ่านรูปถ่ายได้อีกด้วย แถมความยิ่งใหญ่ของกล้องก็เป็นแรงบันดาลใจให้การดีไซน์นาฬิกาหลายรุ่น ๆ แม้แต่รุ่น Automatic Vintage Lens II ที่ขายดีที่สุดของ TACS ก็ได้อิทธิพลมาจากเลนส์ของกล้องถ่ายรูป และตอนนี้ TACS ใช้วัสดุโลหะแปลงโฉมนาฬิการุ่นวินเทจให้กลายเป็นเรือนเวลาสีเทาเข้มสุดเท่รุ่นล่าสุดของแบรนด์ ภายใต้ชื่อ ‘TACS’ AVL II Dark Metal’ TACS’ AVL II Dark Metal เรือนนี้ถูกอัปเกรดให้แข็งแกร่งและทนทานยิ่งขึ้นด้วยหน้าปัดสี่ชั้น พร้อมเคลือบป้องกันแสงสะท้อนด้วย Super-Luminova ที่เลียนแบบลักษณะของเลนส์กล้อง ทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นตัวเลข เข็ม หรือจุดต่าง ๆ บนหน้าปัดได้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้าหรือตอนกลางคืนที่มีสภาพแสงน้อยก็ตาม ใต้ชั้นหน้าปัดตกแต่งด้วยลายเส้นวงกลม และครอบกระจกคริสตัลแซฟไฟร์โปร่งใส ที่ดีไซน์มาให้คล้ายกับเลนส์ฟิชอาย (Fisheye) บริเวณขอบหน้าปัดยังได้แรงบันดาลใจจากวงแหวนที่ใช้หมุนซูมและโฟกัสภาพของกล้องอีกด้วย สิ่งที่นาฬิกาเรือนนี้ต่างจากนาฬิกาวินเทจรุ่นก่อน คือใช้สายนาฬิกาสเตนเลสสตีลเกรดพรีเมียมและตกแต่งตัวบอดี้ด้วยสีเทาเข้ม ทำให้ดูลึกลับน่าค้นหา ทั้งยังทรงพลังและทนทานกว่าเดิม ด้านกลไกใช้เครื่องนาฬิการะบบควอทซ์ Citizen Miyota 82S0 ของญี่ปุ่น ช่วยให้การเดิมเข็มน่าเชื่อถือขึ้น