Mercedes-AMG เปิดตัวรถรุ่น entry-level ของตระกูล SL กับรหัส SL 43 น้องเล็กสุดในหมู่รุ่นใหญ่อย่าง SL 55 และ SL 63 ซึ่งล้วนวางเครื่องยนต์ V8 ที่สมน้ำสมเนื้อกับภาพความเป็น high-performance car Mercedes-AMG SL 43 ใช้เครื่องยนต์เพียง 2.0 ลิตร 4 สูบ แน่นอนว่าเสียงคำรามที่ดุดันจะต้องหายไปด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับตัวถังตระกูล SL แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นรถที่เชื่องช้าจนไร้จิตวิญญาณความเป็น SL เพราะทาง AMG การันตีว่าขับสนุกมันส์ไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่อย่าง SL 55 หรือ SL 63 แน่นอน แม้ Mercedes-AMG SL 43 ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร แต่ก็มาพร้อมเทคโนโลยีที่ได้แรงบันดาลใจจาก F1 นั่นคือการพ่วงระบบ electric turbocharger จากขุมพลังไฟฟ้า 48-volt
ดูเหมือนว่า GR Yaris จะประสบความสำเร็จดี ทำให้ Toyota ไม่รอช้าที่จะปล่อย hot hatch รุ่นล่าสุด 2023 Toyota GR Corolla ที่เรียกว่าจัดสเปกมาน้อง ๆ Rally car บนถนนแทนที่ Evolution หรือ WRX STI ได้เลย เพราะผ่านการทดสอบและพัฒนาโดยทีมนักขับ Rally มือพระกาฬนำโดย Akio Toyoda บนสนามหลากหลายความท้าทาย ทั้ง Suzuka, Fuji Speedway, Tsukuba Circuit ใต้ฝากระโปรงของ GR Corolla เป็นขุมพลังเดียวกันกับ GR Yaris เครื่องยนต์ 1.6-liter 3 สูบ turbocharged แต่มีพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 300 horsepower 273 lb-ft of torque ส่งกำลังด้วยเกียร์
หลังจาก BMW คว้า Alpina เข้าไปรวมไว้ในค่ายอย่างเป็นทางการ หลายคนตั้งคำถามว่าจะพัฒนารถยนต์ยังไงไม่ให้ซ้ำซ้อนกับ M Division ตอนนี้เราเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า รุ่นไหนไม่ทำ M version ก็ยังสามารถแตกไลน์ไปทาง Alpina ได้ และนี่คือผลงานชิ้นแรก 2023 Alpina B4 บนบอดี้ 4 Series Gran Coupe ซึ่ง BMW เคยย้ำชัดว่าจะไม่ทำร่าง M แน่นอน ใครติดตามข่าวของ BMW และ Alpina อาจจะพอทราบกันอยู่แล้วว่ามีการซุ่มพัฒนา 4-Series Gran Coupe ตัวแรงผ่านทาง spy shot มาบ้าง และในที่สุดก็มาถึงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ 2023 Alpina B4 ที่สาวกเตะตากันทันทีที่ได้เห็นล้อ Alpina Classic เวอร์ชั่นใหม่ขนาด 20 นิ้ว เป็นล้อ forged น้ำหนักเบาเพียง 12
หลายคนอาจเข้าใจว่ารถยนต์ซีดานหรือ SUV เป็นรถยนต์กลุ่มหลักที่ขายดีในบ้านเรา แต่ที่จริงแล้วยอดขายรถยนต์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นของรถกระบะและรถ PPV หรือที่เรียกว่ากระบะดัดแปลง ปัจจุบันคนส่วนใหญ่จึงหันมาเลือกใช้รถยนต์ประเภท PPV หรือกระบะยกสูง ไม่ว่าจะเป็น 4×4 หรือ 4×2 ในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น เพราะเป็นรถยนต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้คนในยุค Work From Anywhere ใช้ชีวิตให้เต็มที่ได้ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวัน ขับไปทำงาน รับส่งลูก พร้อมออกไปลุยเที่ยวต่างจังหวัดในวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเขาตั้งแคมป์ ออกไปผจญภัยเส้นทาง Off-road ซึ่งเป็นเทรนด์การใช้ชีวิตที่เหมาะกับผู้คนวันนี้มาก เชื่อว่าเจ้าของรถ 4×4 รถกระบะยกสูง และรถ PPV น่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยางที่แข็งแกร่ง ต้องยอมแลกมาด้วยความแข็งกระด้าง การเกาะถนนต่ำ และเสียงที่ดังสะท้านเข้ามาในห้องโดยสาร แต่ที่จริงแล้วเราสามารถเพิ่มประสบการณ์การใช้งานรถคันเดิมให้ดียิ่งขึ้นได้ ด้วยการเลือกเปลี่ยนยางที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้งาน พร้อมแก้ปัญหาที่มักจะเจอในรถยนต์ประเภทนี้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใครยังไม่รู้ ยางติดรถยนต์ที่ออกมาจากโรงงานเป็นยางที่คุณภาพโอเคแน่นอน แต่ต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดเรื่องการควบคุมราคาขายต่อคันที่ต้องกดให้ต่ำเพื่อการแข่งขันในตลาด นั่นหมายความว่ายังมียางที่คุณภาพเหนือกว่ายางเดิมติดรถ พร้อมให้เราเปลี่ยนได้โดยไม่มีผลใด ๆ กับ Warranty ของรถยนต์ หากเราไม่ประทับใจในประสิทธิภาพยางเดิม หรือถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางแล้ว อยากอัปเกรดยางรุ่นที่ดีขึ้น มีดีไซน์ที่สวยขึ้น รวมถึงยางที่ตอบโจทย์การใช้งานได้มากกว่ารุ่นเดิม สำหรับคนที่ใช้รถยนต์ประเภทเหล่านี้ และมีไลฟ์สไตล์การขับที่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก
หลังจากที่เคยผลิตรุ่น “Defender V8 Bond Edition” ฉลองการเปิดตัวภาค “No Time To Die” ล่าสุด Land Rover ก็กลับมาเอาใจสาวกพยัคฆ์ร้าย 007 อีกครั้งกับ “Land Rover Defender 90 James Bond” เพื่อฉลองแซยิดของภาพยนตร์สายลับสุดมหากาพย์ แต่การกลับมาครั้งนี้มันคือความพิเศษเพราะรถยนต์รุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลุยศึก “2022 Bowler Defender Challenge” โดยเฉพาะ Bowler Challenge เป็นซีรีย์แข่งแรลลี่แบบวันเมค ถูกจัดขึ้นมาเพื่อเป็นการปูทางเข้าสู่การแข่งขันแรลลี่ระดับโลก เช่น ดาการ์ โดยจะจัดขึ้นที่สหราชอาณาจักร มีทั้งหมด 12 ทีมด้วยกัน แต่ละทีมจะต้องขับรถ Land Rover Defenders ที่ถูกเซตไว้สำหรับแข่งขันโดยเฉพาะ และต้องขับรถลุยในสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทางดินลูกรัง ป่าลึก หรือแม้กระทั่งเทือกเขา และทุกทีมจะต้องใช้รถยนต์ Land Rover Defender 90 ขุมพลัง 2.0
BMW M3 E30 คือหนึ่งใน M3 ที่ได้รับความนิยมขึ้นแท่น Classic car ได้ชื่อว่าเป็น M3 ที่ดีในอันดับต้น ๆ ของซีรีย์ตั้งแต่เคยสร้างมา แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงอีกรุ่นที่น่าสนใจและแรร์ไม่แพ้กัน นั่นคือ 1987 Hartge H26 Hartge H26 มีทั้งหมดสองรุ่นย่อย ต่างกันที่การพัฒนาจากพื้นฐานของ BMW 323i และ 325i ผ่านการตกแต่งและโมดิฟายจาก Hartge นอกจากรูปทรงแล้ว ไม่มีสัญลักษณ์อะไรที่บอกความเป็น BMW หลงเหลืออยู่เลย ซึ่งย้อนไปในช่วง 1980s นั้น ถือว่าเป็นรถรุ่นนึงที่ออกมาปฏิวัติความแรงให้แฟนคลับ E30 ได้เลือดลมสูบฉีดกันครั้งใหญ่ แม้จะไม่เท่า M3 แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับ Aplina ที่เน้นสร้างให้ขับสนุกขึ้น ตั้งแต่ชุดแต่งภายนอกที่มาในสี Aplina White พร้อมใส่ไฟตัดหมอก ตกแต่งเส้นสายด้วย chrome เงา กระจกข้างสีเดียวกับตัวรถ มีสปอยเลอร์หลังและสเกิร์ตรอบคันที่สร้างความแปลกตาจาก E30 เดิม ๆ
ข้อดีของความคลาสสิค คือไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน กาลเวลาก็ไม่อาจทำให้มันดูเก่าจนหมดความนิยมลงได้ ซึ่งในกลุ่ม miniMOTOs ของ Honda นั้นก็มีรถที่เรียกว่า cult-favorite อยูไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น Monday, Grom, Cub รวมถึง Dax Honda Dax ได้ชื่อมาจากหมาพันธุ์ Dachshund หรือหมาไส้กรอกตัวเล็กแต่ยาว เรียกอย่างเป็นทางกาว่า 1969 Honda Dax ST125 mini-motorcycle ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ถูกนำกลับมาใหม่อีกครั้งโดยยังคงเสน่ห์ของดีไซน์และมิติที่ใกล้เคียงกับของเดิมไว้อย่างครบถ้วน ใน 2023 Honda Dax ใช้ดีไซน์ดั้งเดิมของเฟรมเหล็ก T-shaped เบาะนั่งหุ้มหนังที่มีความหนาและสะดวกสบาย ตำแหน่งแฮนด์สูงจากตะเกียบหน้าขนาด 31 มิลลิเมตร ล้อลาย 5 ก้านขนาด 12 นิ้ว เครื่องยนต์ความจุ 124 cc. air-cooled SOHC 2-valve ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Honda Super Cub ให้พละกำลัง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นิสสันได้เผยแพร่วิดีโอของโปรเจ็ค นิสสัน e-4ORCE กับการเสิร์ฟราเม็งบนเคาน์เตอร์ เพื่อให้เห็นว่าเทคโนโลยีในการควบคุมรถขั้นสูงสามารถมอบการขับขี่ที่สะดวกสบาย ด้วยการสาธิตผ่านการเสิร์ฟราเม็งถึงลูกค้าอย่างรวดเร็วและคงความนุ่มนวลในสภาพของส่วนผสมต่างๆของอาหารยังมีความสมบูรณ์ ด้วยเทคนิคชะลอการเทเอียงไปข้างหน้าและการเคลื่อนไหวของส่วนผสมในชาม แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้ที่มีต่อรถยนต์นิสสัน โดย e-4ORCE ถูกนำมาใช้ใน นิสสัน อริยะ ใหม่ (all-new Nissan Ariya) รถยนต์เอสยูวีครอสโอเวอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่ง e-4ORCE คือเทคโนโลยีล่าสุดจากนิสสันในการควบคุมล้อทั้งสี่เพื่อให้การเคลื่อนที่และเบรกเป็นไปอย่างนุ่มนวลและมั่นคง ระบบนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่โดยการช่วยให้ขับไปตามทิศทางที่ต้องการบนพื้นผิวถนนเกือบทุกรูปแบบ รวมทั้งถนนที่เปียกและเต็มไปด้วยหิมะ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการหรือรูปแบบการขับขี่ ทีมวิศวกรได้ปรับแต่งเทคโนโลยีการควบคุมที่แม่นยำใน e-4ORCE กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่เพื่อให้ผู้โดยสารทุกที่นั่งรู้สึกสบายตลอดการเดินทาง อีกทั้งการฟื้นฟูพลังงานในมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าและด้านหลังเมื่อรถชะลอความเร็ว ยังช่วยลดอาการกระชากที่ทำให้เกิดอาการเมารถอีกด้วย ด้วยวิธีการสาธิต ถาดเสิร์ฟราเม็งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่ทำงานแยกกันอย่างอิสระ ผนวกกับการปรับแต่งพิเศษจากทีมวิศวกร ทำให้ได้อัตราเร่งที่รวดเร็วและนุ่มนวลบนเคาน์เตอร์ที่ถาดวิ่งผ่าน เช่นเดียวกับการวิ่งไปบนท้องถนนของนิสสัน อริยะที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี e-4ORCE โดยการพัฒนาเทคโนโลยี e-4ORCE ถือกำเนิดมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของนิสสันในการพัฒนารถยนต์ทั้งแบบที่สร้างเพื่อการใช้งานแบบสมบุกสมบันและรถสปอร์ตสมรรถนะสูง เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาต่อยอดจากระบบช่วยการขับขี่แบบแยกแรงบิด ATTESA E-TS ที่ขึ้นชื่อของนิสสัน จีที-อาร์ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะในนิสสัน พาโทร ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Nissan
ปล่อยให้รอกันมานานหลายปี หลังจากเปิดตัว concept ไปตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีภาพแง้ม ภาพหลุดออกมาให้เห็นพอหายคิดถึงกันเป็นระยะ แต่ก็ยังไม่มีคำยืนยันจาก Volkswagen ว่าจะผลิตจริงเมื่อไหร่ แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาของรถตู้มหาเสน่ห์ที่ใกล้จะเปิดตัวเข้าไปทุกที โดยวันนี้เราจะมาสรุปประเด็นเท่าที่มีเปิดเผยของ Volkswagen ID.Buzz ที่หลายคนเฝ้ารอกันครับ Volkswagen ID.Buzz ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานแพลตฟอร์มพลังงานไฟฟ้าที่แชร์ร่วมกันในเครือ เรียกว่า Modular Electric Drive Kit (MEB) โดยจะมีด้วยกันสองรุ่นคือ ID.Buzz และ IC.Buzz Cargo ซึ่งแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การใช้งาน แน่นอนว่าขุมพลังพื้นฐานจะใช้ไฟฟ้า 100% โดยวางแบตเตอรี่ lithium-ion จำนวน 12-module รวมความจุ 77 kWh ไว้ด้านล่างสุดของตัวรถ ให้พละกำลัง 201 แรงม้า แรงบิดราว 229 ปอนด์ฟุต ขับเคลื่อนล้อหลัง ตัวเลขไม่หวือหวาแน่นอนเพราะไม่ใช่รถที่ต้องทำความเร็วสูง แต่ที่สำคัญคือความเร็วสูงสุดถูกจำกัดเอาไว้เพียง 144 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเราคาดว่าน่าจะต้องมีรุ่นที่แรงกว่าตามออกมาภายหลังไม่เกินปี 2023 มิติตัวถังของ Volkswagen
Land Rover Defender ได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ SUV ระดับ Iconic ที่โดดเด่นเป็นที่หลงรักของคนทุกเพศทุกวัย ที่ผ่านมามีการเปิดตัว edition พิเศษแบบจำนวนจำกัดออกมาหลายรุ่นย่อย ซึ่งขายหมดอย่างรวดเร็วทุกครั้ง และใน edition พิเศษล่าสุดก็น่าจะถูกใจแฟน ๆ ของ Defener ได้ไม่แพ้กัน Land Rover Defender “URBANIGHT ’22” limited edition โมเดลสุด exclusive ผลิตในจำนวนเพียง 200 คัน สำหรับลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น อัดแน่นด้วยสเปกและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เต็มพิกัด แตกต่างด้วยโทนสีภายนอกเข้มสุดขรึมด้วยสีพิเศษ “Carpathian Gray” และ “Silicon Silver” ตัดกับการตกแต่งรายละเอียดด้วยสีดำรอบคัน ล้อขนาด 22 นิ้วสีดำ กันชน หลังคา ไปจนถึง brake calipers ภายในใส่ของใหม่เข้าไปอัพเกรด หน้าจอ touchscreen infotainment control
เคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือไม่ว่า เราเกิดมาเพื่อจะเป็นแบบคนอื่นหรืออยากจะเป็นตัวของตัวเอง ถ้าคำตอบของคุณคือการเป็นตัวเอง สิ่งเหล่านั้นมันก็จะสะท้อนออกมาจากแนวคิด, การใช้ชีวิต แฟชั่น รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ ไม่เว้นแม้แต่วงการรถจักรยานยนต์ มีอยู่หลาย ๆ คนเลือกที่จะนำรถคันโปรดไปผ่านการคอสตอมจนได้ดีไซน์ออกมาแตกต่างจากใคร ๆ บนท้องถนน และอาจจะมีแค่คนเดียวในโลกด้วยซ้ำ ซึ่งร้านที่ได้รับการยอมรับและได้รับความไว้วางใจในการปรุงแต่งเปลี่ยนโฉมในบ้านเราคงต้องยกให้กับ K-Speed คุณเอก หรือคุณธนดิษ สาระเวก คือเจ้าสำนัก K-Speed ที่ซึมซับความชื่นชอบรถจักรยานยนต์มาตั้งแต่วัยเด็ก คุณเอกได้เล่าให้ฟังถึงจุดกำเนิดแพชชั่นไว้ดังนี้ “ผมคลุกคลีกับรถบิ๊กไบค์มาตั้งแต่ช่วงเรียนมัธยม ตัวเองก็ขี่มอเตอร์ไซด์มาตั้งแต่ช่วง 14-15 แล้ว มีคุณพ่อทำธุรกิจนำเข้ารถเก่าของญี่ปุ่นเข้ามาขายในบ้านเราด้วย ทำให้เราได้ซึมซับความชื่นชอบมาเรื่อย ๆ คอยศึกษาดูการแต่งรถจากพวกหนังสือ จนได้มาเริ่มลองแต่งรถด้วยตัวเองตามหนังสือจากประเทศญี่ปุ่น แต่สุดท้ายเราก็ต้องมานั่งหาลายเซ็นของตัวเองจนทำมันออกมาได้สำเร็จครับ” K-SPEED สถานที่สำหรับชาว 2 ล้อ แต่กว่าที่คุณเอกจะกลายเป็นมือวางอันดับ 1 ในการ Custom รถจักรยายนต์ เริ่มแรกเลยร้าน K-Speed เปิดเป็นร้านจำหน่ายอะไหล่สำหรับตกแต่งมาก่อน ซึ่งดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ Diablo มาตั้งแต่ปี 2002 จนมาถึงปัจจุบัน และมีวางจำหน่ายกระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งเมื่อช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาจึงมาเริ่มงาน Custom
ถ้าไม่ดีจริง ไม่อยู่มาได้นานขนาดนี้ หลายคนอาจไม่รู้ว่าปีที่ผ่านมา (2021) เป็นปีครบรอบอายุ 120 ปีของมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield จึงมีการเปิดตัวรถรุ่นพิเศษแบบจำนวนจำกัด เพื่อฉลองในโอกาสนี้ บนพื้นฐานของมอเตอร์ไซค์สองรุ่น “Continental GT” และ “Interceptor 650” Royal Enfield 120th Year Anniversary Limited Edition ทั้งสองรุ่นผ่านการตกแต่งด้วยสีและโลโก้พิเศษ ภายนอกมาในสี Black and Chrome ที่ดูดุดัน เข้ากับเบาะหนังสีน้ำตาลอ่อนแบบ diamond stiching ปักโลโก้ Royal Enfield ซึ่งเป็นสีเดียวกับหนังบริเวณแฮนด์ สร้างกลิ่นอายของความวินเทจร่วมสมัย ตกแต่งลวดลายพิเศษโลโก้ “120 Years” ด้วยเส้นสายสีทองที่โดดเด่นและหรูหรา พร้อมตัวเลขระบุลำดับที่บนถังน้ำมัน Royal Enfield 120th Year Anniversary ที่ผ่านการตกแต่งพิเศษนี้จะผลิตออกมาเพียง 480 คัน และใช้วิธีแบ่งโควต้าไปขายใน 4 ตลาด India,