มีรถยนต์เพียงไม่กี่แบรนด์ที่คงความคลาสสิคตั้งแต่วันแรกถึงปัจจุบันไว้ได้อย่างแข็งขัน หนึ่งในนั้นก็คือ Morgan Motor Company บริษัทรถยนต์ของอังกฤษ ที่ขึ้นชื่อเรื่องสไตล์ของตัวเอง และความละเอียดประณีตในการผลิตแบบ Handmade ตั้งแต่ปี 1910 กำลังการผลิตอยู่ที่ราว 1,300 คันต่อปี และถ้าใครควักเงินจองลงไป ก็ต้องรออีกราวครึ่งปีจึงจะผลิตเสร็จเรียบร้อย ใครที่ติดตามเรื่องรถยนต์มานาน อาจจะคุ้นตาดีไซน์ของรถยนต์ Morgan เป็นอย่างดี ด้วยรูปทรงที่คลาสสิคเหมือนรถโบราณสุดล้ำค่า แม้จะเป็นรถโมเดลที่ผลิตในปีใหม่ก็ตาม เช่น Morgan 4/4, +8, Roadster และที่สร้างชื่อเสียงได้มากที่สุดก็คือ Morgan Aero 8 รถหน้าตาคลาสสิคที่ว่ากันว่ามีสมรรถนะดีอยู่ในระดับ Supercar ด้วยน้ำหนักตัวที่เบาหวิว และใช้เครื่องยนต์ BMW V8 โดย generation ล่าสุดปี 2015 Aero 8 ทำตัวเลขได้ถึง 367 แรงม้า ล่าสุดในงาน Geneva Motor Show ไม่มีใครคาดคิดว่า Morgan จะเปิดตัวหมัดเด็ด Morgan Aero GT
หากใครได้ชมหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่กำลังฉายอยู่ในขณะนี้อย่าง Black Panther คงจะได้เห็นฉากการไล่ล่าผู้ร้ายในเกาหลีของตัวเอก T’Challa ที่รับบทโดย Chadwick Boseman ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราจะไม่สปอยล์หนังให้เสียอรรถรสไปมากกว่านี้ ทว่าหากใครสังเกตรถสปอร์ตสีน้ำเงินที่ T’Challa ใช้ในการไล่ล่าแล้วรู้สึกสงสัยว่าเป็นรถยนต์ยี่ห้ออะไรกัน ทำไมมันถึงเท่จัง ทำไมมันเท่กว่าชาวบ้านชาวช่อง เราขอเฉลยให้กระจ่างว่ารถคันนั้นคือ Lexus LC 500 ซุปเปอร์คาร์สุดพรีเมี่ยมจาก Lexus นั่นเอง โดยวันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำรถคันนี้แบบเจาะลึกถึงรายละเอียด Lexus LC 500 เริ่มต้นตัวต้นแบบอย่าง LF-LC ซึ่งเปิดตัวในงาน Detroit Autoshow เมื่อปี 2012 ด้วยรูปลักษณ์เส้นสายที่มีมาจาก LFA ซุปเปอร์คาร์ชื่อดังในอดีตโดยทีมออกแบบอย่าง Calty Design ทำให้ LF-LC ได้รับความสนใจมากพอสมควร จนได้ชื่อว่าจะเป็นตัวตายตัวแทนถัดไปของ LFA ด้วยกระแสตอบรับระดับดีมากนั้นทำให้ทาง Lexus อนุมัติไฟเขียวให้เริ่มการพัฒนาจากรถต้นแบบเพื่อผลิตวางจำหน่ายใช้งานจริง จนได้ LC 500 ที่มีดีไซน์ไม่ต่างจากตัวต้นแบบอย่าง LF-LC มากนัก ซึ่ง
ตั้งแต่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเชื้อสายอเมริกันอย่าง Tesla ของยอดชายนาย Elon Musk สร้างรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งระบบ 100% ก็ได้เรียกกระแสสั่นสะเทือนวงการรถยนต์ทั่วโลกไปในทันที เพราะนอกจากจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแบบสุด ๆ แล้ว สมรรถภาพของรถยังเหนือชั้นกว่ารถใช้น้ำมันบางค่ายเสียอีก ด้วยความนิยมที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บรรดายักษ์ใหญ่ต่างโดดเข้ามาร่วมวงสร้างส่วนแบ่งในตลาดนี้หลายรายด้วยกัน จนมีรถไฟฟ้าใหม่ ๆ ตามออกมาวางจำหน่ายกันมากขึ้นให้เหล่าผู้ที่สนใจพลังงานทางเลือกได้ซื้อหาจับจอง แต่สำหรับมนุษย์ผู้รักการ DIY แบบเข้าเส้น การจะถอยรถไฟฟ้าคันใหม่ก็ดูจะธรรมดาไป เลยเป็นที่มาของคนหัวใสที่จับเอาเจ้าเครื่องยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำของ Tesla มายัดใส่ในรถสุดเก๋าของ Honda จนเกิดเป็น Teslonda ขึ้นมา รถไฟฟ้าภายใต้ตัวถังญี่ปุ่นนี้เป็นผลงานของแฮ็กเกอร์อย่าง Jason Hughes ซึ่งได้เอาชิ้นส่วนของรถไฟฟ้า Tesla Model S และ Model X มา Hack ระบบเพื่อติดตั้งและใช้งานกับรถ Honda Accord ปี 1976 จนกลายเป็นรถไฟฟ้าตัวถังสุดวินเทจที่เขาตั้งชื่อเล่นมันว่า “Teslonda” แน่นอนว่าเพราะมันเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์พลังงานไฟฟ้า อัตราการเร่งของรถคันนี้ จึงทำเวลาได้ดีกว่าเครื่องเดิมมาก ๆ สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง
โดยปกติถ้าเราจะยืมรถมาขับเพื่อรีวิวหรือแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว เรามักจะต้องเลือกเส้นทางที่เบา ๆ ไม่โหดร้ายมากนัก เพื่อความมั่นใจว่าจะช่วยรักษารถของลูกค้าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้ เพราะส่วนใหญ่ราคามักจะค่อนข้างสูง ยิ่งถ้าเป็นรถยนต์โมเดลใหม่ล่าสุดอย่าง All New BMW X3 แม้จะรู้ว่ามันลุยทางวิบากได้ แต่คงจะไม่มีใครใจกล้าพอจะใช้งานมันอย่างโหดร้ายขนาดนั้น แต่สำหรับครั้งนี้ เราเลือกที่จะทดสอบความทรงพลัง อึด ถึก ทน ของมันแบบเน้น ๆ จะได้รู้ว่าสิ่งที่รวมอยู่ในราคาและ Fact Sheet นั้น สามารถใช้งานจริงได้แค่ไหน สำหรับรถยนต์ BMW X3 xDrive20d xLine รถยนต์ Compact Luxury Crossover SUV รหัส G01 คันนี้เป็น Generation ที่ 3 ซึ่งแม้จะดูเหมือนอยู่มาไม่นาน แต่ที่จริงแล้ว BMW X3 ได้ทำตลาด segment นี้มานานกว่าที่คิด ถ้าย้อนไปไกลถึง Generation แรกกับรหัส E83 ช่วง 2003 –
“If it ain’t broke, don’t fix it” หมายถึงอะไรที่มันดีอยู่แล้ว ก็อย่าไปยุ่งกับมัน เป็นประโยคที่ใช้กับการเก็บความคลาสสิคดั้งเดิมจากของสิ่งนั้นให้คงอยู่ ยกตัวอย่างเช่นสูตรลับของอาหารต้นตำรับที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ หรือรถคลาสสิคสายลึกที่นักสะสมบางกลุ่มเลือกเฟ้นหาอุปกรณ์ของตรงรุ่นทุกชิ้นในการดูแลรถยนต์ของตัวเอง เรียกว่าแม้แต่น็อตก็ต้องใช้ของเดิมเพื่อคุณค่าทางจิตใจ แต่อีกหลายกลุ่มในวงการรถยนต์อาจจะไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่ารถยนต์ต้องตอบสนองการใช้งานจริงให้ได้มากที่สุด จะต้องข้ามสายพันธุ์บ้างก็ไม่ว่ากัน อย่าง Supra ใส่เครื่อง RB26DETT ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ครอบครองมัน และจากเทรนด์ควบคุมการปล่อยไอเสียรถยนต์ที่กำลังเข้มงวดมากขึ้นแบบก้าวกระโดดในฝั่งยุโรป สำนักแต่งรถหลายแห่งจึงเริ่มปรับตัวเข้าไปวัฒนธรรมใหม่ นั่นคือการใช้พลังงานไฟฟ้า ไม่แปลกที่ Tesla จะเป็นรถที่ขายดีมากภายในไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ Voitures Extravert สำนักแต่งรถใน Hollland อยากจะฉีกไปหาทางเลือกพลังงานไฟฟ้าที่มันส์และมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า จึงริเริ่มโปรเจคที่น่าสนใจชื่อ “Quintessenza” สร้างคอลเลคชั่นฟื้นฟูรถ Porsche 911 ช่วงปี 70’s – 80’s ให้ใหม่หมดจด พร้อมเปลี่ยนเป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% และอัพเกรดสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ทันสมัย ไว้ใจได้ในทุกวันที่ใช้งาน เพราะรถเก่าที่สวยงามไม่จำเป็นต้องจอดเก็บอยู่ในโรงรถให้มดไต่เสมอไป Quintessenza ‘The All-Electric Classic” Porsche 911
ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการเป็นเมืองหลวงแห่งวงการรถแต่ง เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถเห็นรถแต่งขับอยู่บนท้องถนนได้ในชีวิตประจำวัน แถมยังมีอู่สำนักแต่งรถให้ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอัพเกรดหน้าตาและสมรรถนะจากรถธรรมดาบ้าน ๆ ให้กลายเป็นรถแข่งสุดเท่ได้ตามใจสั่ง แต่ท่ามกลางผู้คนในวงการแต่งรถของญี่ปุ่นนั้นยังมีชายที่แตกต่างและมีตัวตนที่ชัดเจนกว่าคนอื่น นั่นก็คือ Shinichi Morohoshi ผู้ที่เอา Lamborghini Diablo มาแต่งให้เป็นสีชมพูจี๊ดจ้าดชวนบาดใจ จากความฝันตอนวัยรุ่นที่ได้เห็นรถซุปเปอร์คาร์ยี่ห้อนี้ Shinichi Morohoshi หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม Morohoshi-san นั้นมีจุดเริ่มต้นความฝันที่อยากจะครอบครอง Lamborghini ตั้งแต่ตอนอายุ 17 ปี ซึ่งเขายังอยู่ในกลุ่มเด็กแว๊นของญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า Bōsōzoku หรือ Bōsō แปลว่า “ชนเผ่าที่ใช้ความรุนแรง” ในกลุ่มนี้จะใช้มอเตอร์ไซค์ที่ประกอบชิ้นส่วนจากมอเตอร์ไซค์อังกฤษ , อเมริกาและถูกตกแต่งในลักษณะแปลก ๆ เช่นติดหลอดไฟนีออน ท่อไอเสียที่ใหญ่กว่าปกติ ธงสัญลักษณ์ประจำกลุ่มที่ถูกติดไว้ตรงแฟริ่งตัวถัง แน่นอนว่ากลุ่ม Bōsō นั้นขับรถซิ่งอย่างอันตรายบนถนนในโตเกียวไม่ต่างกับกลุ่มเด็กแว๊นในบ้านเราเลย Morohoshi ใช้ชีวิตแบบนี้จนกระทั่งเขาถูกจับในคืนวันก่อนปีใหม่ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรถในฝันอย่าง Lamborghini “ผมได้ยินเสียงมันก่อนที่ผมจะเห็นมันซะอีก เสียงท่อไอเสียมันหนักแน่น ผมถูกสะกดด้วยรถคันนี้ทันทีและไม่รู้ว่ารถคันนี้ทำเสียงดังขนาดนั้นได้ยังไง เราหมดเงินไปเป็นแสนเยนกับท่อมอเตอร์ไซด์ แต่นี่มันดังกว่าซะอีก หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีผมถึงเห็นมัน รถ Lamborghini Countach สีดำขับลงมาจากถนน Nakasendō ผมบอกตัวเองเลยว่า
ปล่อยให้บรรดาพี่ ๆ ตัวหลักเผยโฉมกันไปเกือบครบตระกูลแล้ว ตั้งแต่ 7-Series, 6-Series, 5-Series หรือแม้แต่ X3 ใหม่ คิวต่อไปที่พวกเราเฝ้ารอคอยความคืบหน้าก็คือน้องเล็กพิมพ์นิยม 2019 3-Series ในรหัส G20 ที่ถึงวันนี้มีเพียงภาพ Spy Shot ปล่อยออกมา โดยไม่มีรายละเอียดใด ๆ หลุดรอดออกมาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งสร้างความน่าตื่นเต้นให้กับแฟน ๆ ใบพัดฟ้าขาวจนเนื้อตัวสั่นกันไปหมด เรียกว่าจะถอยรถใหม่ช่วงนี้ก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะกลัวจะพลาดโอกาสครอบครอง G20 คันนี้ไป ซึ่งดูจาก Spy Shot แล้วต้องบอกว่ามันเท่โคตรมากเหลือเกิน จากภาพ Spy Shot ล่าสุดโดยทาง Carscoop และ BMW BLOG เผยให้เห็นจุดสำคัญหลายอย่างในรถโมเดลใหม่ล่าสุดคันนี้ คงไม่ต้องเดาว่าโฉมหน้าต้องถอดแบบจากรุ่นพี่อย่าง 5-Series มาแน่นอน แต่ด้านหลังดูเหมือนจะผ่านการออกแบบใหม่หมด โคมไฟท้ายที่เรียวเล็กกว่าเดิม กับขนาดโดยรวมที่ดูอวบอ้วนกว่าเก่า ชวนให้นึกถึง Audi a4 ให้อารมณ์สปอร์ตที่หรูหรามากขึ้น แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่า Air Breather
นับว่าเป็นข่าวมาแรงที่กลบทั้งกระแสนาฬิกาหรู ฆ่าเสือดำ ไปเลยทีเดียวสำหรับข้อพิพากระหว่างป้าทุบรถกับคู่กรณี ที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันในสังคมถึงความเหมาะสมเกิดเป็นทีมป้าและทีมโดนทุบ โดยในฐานะที่ UNLOCKMEN เป็นสื่อมวลชนก็ขอไม่ลงความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับกรณีนี้ ปล่อยให้ว่ากันไปตามประมวลกฎหมายและข้อเท็จจริงของระบบตุลาการต่อไป เพราะเป็นกระแสสังคมเราจึงได้หยิบประเด็นนี้มาเล่นต่อ คือถ้าเกิดผู้อ่าน UNLOCKMEN กลัวว่าจะไปจอดรถแล้วโดนมือดีมาทุบรถ เพราะต้องยอมรับว่าสมัยนี้ เราได้นำรถสุดแกร่งที่แม้จะโดนยกมาทุบทั้งหมู่บ้านรับรองว่าไม่มีสึกหรอ มาลองดูกันว่ามีรถยี่ห้ออะไรบ้าง Gurkha LAPV เริ่มคันแรกที่รถหุ้มเกราะส่วนบุคคลอย่าง Gurkha LAPV หรืออีกชื่อคือ Knight XV ของบริษัท ARMET ผู้ผลิตรถหุ้มเกราะสัญชาติอเมริกัน รถรุ่นนี้ได้ชื่อมาจากกลุ่มทหารนักรบเนปาลชื่อดังอย่างกรูข่านั่นเอง ถูกพัฒนาโดยใช้พื้นฐานจากรถ Ford F550 พี่ใหญ่ตัวแรงในรุ่นกระบะปิคอัพ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ V8 ขนาด 6.4 ลิตร 350 แรงม้า ความเร็วสูงสุดที่ 155 กม./ชม. บรรทุกผู้โดยสารได้ 8 คน ตัวถังหุ้มด้วยเกราะระดับ 3 จาก 5 ระดับตามมาตรฐาน NATO (STANAG 4569) ที่สามารถกันระเบิดได้
เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับผู้ชายรักรถทุกคนที่เคยใฝ่ฝันอยากครอบครองรถหรู สมรรถนะแรงแบบ Bi-Turbo ตระกูล AMG เพราะที่ผ่านมาการนำเข้าทำให้ราคาตั้งอยู่สูงจนได้แต่ชะเง้อมอง แต่โอกาสที่ความฝันนั้นจะเป็นจริงมาถึงแล้ว ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe รุ่นประกอบในประเทศเป็นครั้งแรก ในราคาที่ลดลงมาในระดับที่ทำให้หลายคนต้อง ‘ลำบากใจ’ Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe ถือเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงตระกูล 43 ที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถสัมผัสถึงความโดดเด่นของแบรนด์ Mercedes-AMG ได้ในทุกจังหวะการขับขี่ ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นตามหลักปรัชญา “Driving Performance – ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ” ได้อย่างไร้ที่ติ พร้อมทั้งยังผสมผสานนวัตกรรมของรถสปอร์ตและรถแข่งไว้ได้อย่างลงตัว ดีไซน์ภายนอกของรถยนต์รุ่นนี้ นักออกแบบของ Mercedes-AMG ได้เน้นคุณลักษณะของแบรนด์ที่ให้ความสำคัญในด้านความก้าวหน้าของนวัตกรรมยานยนต์ เพื่อให้เกิดสมรรถนะที่เหนือกว่า รวมถึงการตกแต่งฝาครอบเครื่องยนต์ด้วยแถบสีแดงทรงวี เพื่อสะท้อนสมรรถนะเครื่องยนต์แบบวี 6 สูบเทอร์โบคู่ได้อย่างสมบูรณ์ หลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กระจังหน้า diamond grille สีเงิน พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ AMG, AMG Bodystyling (กันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้าง), ล้ออัลลอยดีไซนสปอร์ตจาก AMG
เมื่อพูดถึง ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ เชื่อว่าสิ่งแรกที่สิงห์นักบิดหลายคนนึกถึง คือภาพของรถจักรยานยนต์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ผสมผสานงานออกแบบที่สวย คลาสสิก ร่วมสมัย เข้ากับความแม่นยำในการควบคุมรถ และสมรรถนะอันเป็นเลิศ ซึ่งล่าสุดตำนานบทใหม่ของไทรอัมพ์กำลังจะถือกำเนิดขึ้น กับโมเดลสุดคลาสสิกอย่าง “ไทรอัมพ์ บอนเนวิลล์ สปีดมาสเตอร์” (Triumph Bonneville Speedmaster) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากต้นฉบับคัสตอมสุดคลาสสิกที่พรั่งพร้อมไปด้วยดีเอ็นเอสายพันธุ์แท้ของตระกูลบอนเนวิลล์ แต่สามารถใช้งานได้ง่ายดายและคล่องแคล่วขึ้นกว่าที่เคยมีมา ซึ่งเป็นมิติใหม่ของรถมอเตอร์ไซค์ตระกูลบอนเนวิลล์สไตล์คัสตอมสุดคลาสสิกแบบฉบับอังกฤษที่มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานในระดับสูงขึ้น ทีมงาน UNLOCKMEN จึงไม่พลาดเอาทีเด็ดของโมเดลนี้มาแชร์กัน เครื่องยนต์ ลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสายพันธุ์การออกแบบที่สืบทอดมาจากบอบเบอร์ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์ขนาด 1200 ซีซี ครีบเครื่องยนต์กลึงขึ้นรูป เรือนปีกผีเสื้อคู่สไตล์คาร์บูเรเตอร์ เส้นสายคอท่อที่เรียบง่ายชัดเจนสวยงาม ครีบคอท่อ อีกทั้งกล่องแบตเตอรี่แบบดั้งเดิมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากต้นฉบับ แฮนด์สไตล์ Beach Bar และเบาะที่นั่งสุดคลาสสิก แฮนด์บังคับเลี้ยวกวาดไปด้านหลังสไตล์ Beach Bar ตลอดจนเบาะที่นั่งคู่อเนกประสงค์และที่นั่งเดี่ยวที่สามารถถอดออกได้ ส่งมอบภาพลักษณ์คัสตอมสุดคลาสสิกสไตล์สบายผ่อนคลายที่เพิ่มความสะดวกสบายในการบังคับรถและการควบคุมที่เหนือชั้นด้วยตำแหน่งการขับขี่ที่ออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ ท่อไอเสีย ท่อไอเสียสแตนเลสสตีลสองชั้นชุบโครเมียมสามารถซ่อนจุดเชื่อมต่อไปยัง Cat box ได้อย่างแนบเนียน รวมถึงติดตั้งชุดกรองอากาศคู่และการออกแบบไส้กรองอากาศคู่ เพื่อส่งมอบเสียงที่ดีที่สุด จึงทำให้ บอนเนวิลล์ สปีดมาสเตอร์ มีโทนเสียงที่ลุ่มลึกและหนักแน่นมากยิ่งขึ้น ไฟหน้า
เป็นเวลานานจนเราจำแทบไม่ได้ว่า ครั้งล่าสุดที่เราเฝ้ารออะไรบางอย่างด้วยความตื่นเต้นนั้นคือเมื่อไหร่ แต่ระยะหลังความรู้สึกเฝ้าติดตามอย่างจดจ่อแบบนั้นได้หวนกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะเรากำลังเข้าใกล้การเผยโฉมอย่างเป็นทางการของ 2018 Toyota Supra ตำนานภาคใหม่ของ Iconic Supercar แดนปลาดิบ ที่เป็นวัฒนธรรมแทรกซึมเข้าไปในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะวงการภาพยนตร์ ซึ่งกำหนดการล่าสุดก็เตรียมเปิดผ้าคลุมครั้งแรกเดือนหน้านี้ในงาน Geneva Motor Show ช่วงนี้จึงมีข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับ 2018 Supra หลุดออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้ทาง Toyota จะเผยภาพ Official Teaser ออกมาเพียงภาพเดียว คือ shot ท้ายรถและ Spoiler หลังแบบมืด ๆ ไม่มีรายละเอียดและสเปคใด ๆ แต่ข่าวดีคือ Best Car magazine ของญี่ปุ่น ได้ปล่อยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ Supra คันนี้ พร้อมหน้าตาแบบไม่มีอะไรปกคลุมซึ่งเมื่อเทียบกับภาพ Concept และคัน Camouflage ที่วิ่งทดสอบแล้ว ต้องบอกว่ามีโอกาสที่ข้อมูลจะถูกต้องค่อนข้างมาก เรื่องหน้าตาความสวยงามเป็นเรื่องนานาจิตตัง แต่เราน่าจะคุ้นตากันดี เพราะได้รับอิทธิพลมาจาก FT-1 Concept ที่เผยโฉมไปในงาน Detroit
เสน่ห์ของรถยนต์ที่ทำให้ผู้ชายหลงใหลนั้น ถ้าจะให้ถามว่าเราเสพติดรถแต่ละคันเพราะอะไรกันแน่ คงเป็นอะไรที่พูดยาก เพราะมันคือการผสมรวมของประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เมื่อก่อนเราเคยคิดว่า ถ้ารถจะหรูหรา ก็อาจจะต้องเสียความแรงแบบรถสปอร์ตไป หรือถ้าจะเอารถแรง ก็คงต้องสูญเสียความหรูหราและสะดวกสบายไป แต่นับจากวินาทีที่เราได้ไปสัมผัสความบาลานซ์ของทั้งความแรงและความหรูในงาน “Mercedes-Benz Driving Events 2018” ทำให้เรารู้สึกเลยว่า ประสบการณ์ที่ว่ามีอยู่จริงใน Mercedes-Benz AMG ทุกคัน และคำว่า AMG 45, AMG 43 นั้น มันไม่ใช่แค่ป้ายประดับเอาเท่เพียงเท่านั้น แต่มันคือการบ่งบอกถึงความแรงที่พร้อมใช้งานทั้งชีวิตประจำวันและในสนามแข่ง Mercedes-Benz Driving Events 2018 เป็นงานประจำปี และจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 ที่ Benz จะเชิญลูกค้าคนสำคัญเข้ามาร่วมทดสอบสมรรถนะความแรงของรถยนต์ตระกูล Mercedes-AMG ซึ่งในปีนี้ได้ขนทัพมาทั้งหมด 6 รุ่น ได้แก่ Mercedes-AMG A 45 4MATIC, Mercedes-AMG CLA 45 4MATIC, Mercedes-AMG GLA 45