Entertainment

“INDUSTRIAL ROCK” จากดนตรีของชนชั้นที่ถูกกดขี่ สู่ความเกรี้ยวกราดบนโลกเมนสตรีมยุค 90

By: Synthkid May 7, 2023

หากคุณเป็นหนึ่งคนที่วนเวียนอยู่ในแวดวงเพลงร็อก เมื่อเอ่ยคำว่า ‘Industrial Rock’ (อินดัสเทรียลร็อก) ศิลปินคนแรกที่คุณจะนึกถึง คงหนีไม่พ้น Nine Inch Nails หรือ Marilyn Manson สำหรับดนตรีแนวนี้ ถึงจะเป็น Genre ที่แตกแขนงออกมาจากร็อก มีความคล้ายคลึงกับอิเล็กทรอนิกส์ร็อกอยู่หลายประการ แต่ก็ไม่สามารถถูกเหมารวมได้ เพราะดนตรีแนวนี้มีความแปลกแตกต่าง ทั้งในแง่ซาวด์ แนวคิด และประวัติความเป็นมา

เอกลักษณ์ของอินดัสเทรียลร็อกคือการหลอมรวมระหว่าง ‘ร็อก’ กับ ‘อิเล็กทรอนิกส์’ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีหัวใจหลักคือความดุดัน ก้าวร้าว และตีแผ่ความไม่น่าอภิรมย์ทั้งหลาย ก่อนหน้าจะมีอินดัสเทรียลร็อก โลกของเรามี ‘ดนตรีอินดัสเทรียล’ แบบดั้งเดิมมาก่อนตั้งแต่ยุค 70’s ถึงแม้จะไม่เกรี้ยวกราดบาดหูเท่า แต่ก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังมืดหม่นไม่แพ้กัน เพราะอะไรพวกเขาถึงนำเอาความบันเทิงที่ควรจะสร้างความสุข มาถ่ายทอดความอับเฉาของโลกใบนี้เท่านั้น ?

กำเนิดดนตรี Industrial

ค.ศ. 1970 เมื่อเครื่องซินธิไซเซอร์ คอมพิวเตอร์ และดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เริ่มเข้ามามีบทบาทกับอุตสาหกรรมดนตรี กลุ่มศิลปินทั่วโลกทั้งในและนอกกระแสต่างให้ความสนและนำดนตรีประเภทนี้มาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในแบบฉบับของตัวเอง ‘ดนตรีทดลอง’ หรือที่เรียกว่าแนว avant-garde เริ่มแพร่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง

ในขณะที่ศิลปินส่วนมากหยิบจับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มาสร้างเป็นเพลงแดนซ์ ดิสโก้ เพื่อเติมสีสันและความรื่นรมย์ให้กับโลกใบนี้ แต่สำหรับชนชั้นที่ปากกัดตีนถีบกว่า พวกเขาเลือกที่จะนำเสียงสังเคราะห์เหล่านั้นมาถ่ายทอดความอัปยศของสังคม การเมือง และตั้งคำถามเรื่องศีลธรรมผ่านบทเพลง ซาวด์ดนตรีก็จะมีความหยาบกระด้าง ให้ความรู้สึกอึดอัด กดดัน มีการใส่เสียง Noise แปลก ๆ มีความยุ่งเหยิง ไม่สอดคล้องในท่วงทำนอง อย่างในอเมริกาเพลงที่มีลักษณะนี้แบบนี้อาจถูกนับรวมอยู่ใน No Wave Scene (คุณสามารถทำความรู้จักดนตรี No Wave ได้ที่นี่ คลิก) ส่วนทางฝั่งเยอรมันก็มีแนวดนตรีที่เรียกว่า Krautrock มาตั้งแต่ปี 60’s ศิลปินจากฝั่งอังกฤษและอเมริกาก็ได้อิทธิพลบางอย่างมาจากพวกเขาเช่นกัน

ดนตรี No Wave

ฟากฝั่งสหราชอาณาจักรยังไม่มีคำเรียกดนตรีแนวนี้แบบตายตัว รวมถึงยังไม่มีการรวมตัวของศิลปินใต้ดินที่ทำเพลงลักษณะนี้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1976 Throbbing Gristle กับ Monte Cazazza รวมตัวสร้างค่ายเพลงใต้ดินที่มีชื่อว่า Industrial Record ขึ้นมาเพื่อรวมคนทำเพลงประเภทเดียวกันในเกาะอังกฤษให้เป็นกลุ่มก้อน โดยเกิดจากแนวคิดที่ว่า ดนตรีประเภทนี้เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองโลกแห่งจักรกลและให้ความสำคัญกับเสียงสังเคราะห์ พวกเขาจึงเลือกใช้คำว่า ‘Industrial’ ที่แปลตรงตัวว่าอุตสาหกรรม ยึดถือคติที่ว่า “อุตสาหกรรมดนตรี เพื่อคนในอุตสาหกรรม” ซึ่งคนอุตสาหกรรมในที่นี้ก็คือชนชั้นแรงงานและชนชั้นกลางระดับล่างนั่นแหละครับ

มันคือหลักฐานว่าทุก ๆ คนมีความสามารถที่จะทำดนตรี ไม่ว่าพวกเขาจะตระหนักถึงมันหรือไม่ก็ตาม

– Throbbing Gristle

เมื่อ Industrial Record ถือกำเนิดขึ้น ทิศทางดนตรีและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวก็เริ่มก่อตัว อันที่จริงพวกเขาก็ไม่ได้มีแนวคิดที่ต่างจากพังก์เท่าไหร่ มีความหัวขบถ ต่อต้านความไม่เท่าเทียม เพราะล้วนแล้วแต่ผ่านการกดขี่จากสังคมมาไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เพียงแต่ถ่ายทอดผ่านดนตรีต่างชนิดกันเท่านั้นเอง

ศิลปินอินดัสเทรียลร็อกยุคแรก ๆ มักจะนำเรื่องฉาวโฉ่ในสังคมมาแต่งเป็นเพลง ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดฟาสซิสม์ พฤติกรรมทางเพศที่สุดโต่ง กระทั่งความบิดเบี้ยวทางศีลธรรม โดยซาวด์ดนตรีลักษณะนี้มักจะไม่ได้แสดงออกมาเฉพาะด้านดนตรี แต่การแต่งตัวและ Visual ที่ถ่ายทอดออกมาผ่านการแสดงจะสร้างสรรค์ขึ้นให้สอดคล้องกัน มีความมืดหม่นชวนขนลุกขนพองไม่ต่างจากตัวเพลง ซึ่งก็อยู่ที่ศิลปินคนนั้นจะหยิบจับศิลปะแนวไหนมาประยุกต์นะครับเพราะแต่ละวงเขาก็มีการตีความในแบบของตัวเอง

ดนตรี Industrial ดั้งเดิม

Evolution Of Industrial Music

ธรรมชาติของดนตรีทุกประเภทพัฒนาไปในรูปแบบต่าง ๆ พอย่างเข้าปี 1980 ก็เริ่มมีวงดนตรีรุ่นใหม่ ๆ ที่นำซาวด์แบบอินดัสเทรียลไปผสมกับจังหวะแดนซ์ จนแตกแขนงออกไปเป็นแนว Electro-Industrial (อิเล็กโทรอินดัสเทรียล) ศิลปินบางกลุ่มก็เริ่มนำริฟฟ์กีตาร์แบบร็อกหรือเมทัลมาใช้ ซึ่งวงแรก ๆ ที่ทำแบบนี้ก็มีมากมายหลายวง ตัวอย่างเช่นวง Ministry จากอเมริกา และวง KMFDM จากเยอรมัน ส่วนวง Killing Joke จากอังกฤษก็นำไปผสมกับซาวด์แบบ Gothic และ Post-Punk จนประสบความสำเร็จ แม้จะไม่มีช่วงเวลาและการระบุที่แน่ชัดว่าใครมาก่อนใคร แต่ทุก ๆ สิ่งล้วนพัฒนามาจากรากฐานเดียวกัน และแตกแนวออกไปในทิศทางของมัน ตอนนั้นเองที่ดนตรีแนว Industrial Rock และ Industrial Metal เริ่มเข้ามีบทบาทกับโลกใบนี้

Industrial Rock บนโลกเมนสตรีม

ถึงแม้จะเริ่มมีผู้คนรู้จักแล้ว แต่ก็ยังเป็นได้เพียงดนตรีดุดันที่มีคนฟังเฉพาะกลุ่มมาก จะหวังให้ผู้คนทั่วไปในโลกเมนสตรีมรู้จักชื่อพวกเขานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ทว่าปี 1989 การมาถึงของดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกเริ่มเข้ามายึดครองอุตสาหกรรมดนตรีโลก ดนตรี Hard Rock หรือแนว Guitar Hero เริ่มเสื่อมถอยความนิยม Trent Reznor ก็ฟอร์มวงดนตรีที่ชื่อว่า Nine Inch Nails ขึ้นมา ก่อนจะปล่อยอัลบั้มอินดัสเทรียลร็อกดิบเถื่อนที่ชื่อว่า Pretty Hate Machine ออกมาสู่โลกใบนี้

ปรากฏว่าเพลงอัลบั้มแรกในชีวิตเขา ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกล้นหลามจากสื่อ พอย่างเข้าปี 1990 บรรดาศิลปินรุ่นพี่ เช่น วง The Jesus and Mary Chain ก็เริ่มดึงตัวพวกเขาไปทัวร์เพื่อเป็นการโปรโมตเพลงตัวเองไปในตัว จนในที่สุดในปี 1994 สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 2 The Downward Spiral ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ขายได้ถล่มทลายใน Rank สูงระดับ Platinum แถมยังติด Billboard Hot 100 ในตอนนั้นเองที่โลกเมนสตรีมยอมฉายสปอตไลต์ไปยังดนตรีแนวอินดัสเทรียลร็อก จนวงดนตรีอื่น ๆ เช่น KMFDM, Fear Factory, Gravity Kills หรือ Sister Machine Gun ก็เริ่มมีชื่อเสียงและเข้ามามีบทบาทเช่นกัน

จนกระทั่งในปี 1996 หนึ่งในเด็กปั้นของ Nine Inch Nails อย่าง Marilyn Manson ก็ปล่อยอัลบั้มที่ชื่อว่า Antichrist Superstar ออกมา และเจริญรอยความสำเร็จตามศิลปินรุ่นพี่อย่างรวดเร็ว เขาคือศิลปินคนแรกที่เซ็นสัญญากับค่าย Nothing Records ของ Nine Inch Nails นอกจากแนวเพลงต่อต้านศาสนาและดนตรีเดือด ๆ ของเขาจะไปกระแทกใจวัยรุ่นหลายคนที่ยังไม่หายเห่อดนตรีกรันจ์ร็อกแล้ว เสื้อผ้าการแต่งหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ บวกกับการแสดงโชว์ที่โคตรจะสุดโต่งยังทำให้คนทั้งโลกจดจำเขาได้ ไม่แปลกที่หลายคนจะไม่เคยฟังเพลงของ Marilyn Manson แต่กลับจำหน้าค่าตาของเขาได้ขึ้นใจ

ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจากดนตรีใต้ดินที่ขึ้นชื่อว่าฟังยากและถูกหมางเมินจากโลกเบื้องบนจะกลายมาเป็นดนตรีร็อกทรงอิทธิพลของโลกได้ในเวลาต่อมา หากเทียบกับดนตรีแนวอื่น อินดัสเทรียลถือว่าใช้เวลาเดินทางค่อนข้างยาวนาน เพราะถือกำเนิดตั้งแต่ยุค 70 แต่ได้รับความสนใจจริง ๆ ในปี 90 ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นราว ๆ 20 ปีเลยทีเดียว

แม้ปัจจุบันทิศทางดนตรีของโลกจะเปลี่ยนไป แต่ชื่อเสียงของ Marilyn Manson ก็ยังคงเป็นที่รู้จัก ยังคงมีผลงานออกมาเรื่อย ๆ ส่วน Nine Inch Nails ก็เริ่มขยายขอบเขตผลงานมาทำดนตรีประกอบภาพยนตร์และซีรีส์ต่าง ๆ จนได้รับการยอมรับมากมายจากคนในวงการเช่นกัน

ไม่แน่นะครับ ดนตรีนอกกระแสที่คุณกำลังสนใจในวันนี้ อาจจะขึ้นไปติดบิลบอร์ดในอีกสิบปีข้างหน้าก็ได้ ยิ่งยุคที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงแบบนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ขอแค่คอเพลงแบบพวกเราให้การสนับสนุนวงดนตรีที่รักอย่างเต็มที่ อย่าเพิ่งไปคิดว่าแมสไปไม่ฟังเลยครับ เพราะบางอย่างถ้าไม่มีใครฟัง ก็อาจจะเลือนหายไปตามกาลเวลาได้เช่นกัน

 

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Nine Inch Nails

บทเพลงบรรเลงฆาตกรรม: “10050 CIELO DRIVE” สตูดิโอแห่งความตายของ NINE INCH NAILS

BOWIE’S LEGACY: เพราะการสนับสนุนศิลปินรุ่นหลังคือมรดกล้ำค่าจากราชาเพลงร็อกในตำนาน

 

Source: 1 / 2 / 3

 

 

 

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line