

MUSIC
Next Cover, Same Mood 17 : ดูหนังเรื่องไหนต่อดี เมื่ออินกับเพลงในอัลบั้ม ‘Manchild’ ของ Phum Viphurit
By: GEESUCH March 19, 2025 234373
เผลอแปปเดียวอัลบั้ม Man Child ของ Phum Viphurit ผ่านไป 8 ปีแล้ว ยังจำภาพวันที่เอา CD ไปเซ็นที่ Cat Expo ได้อยู่เลย ไม่เคยลืมความรู้สึกไม่เคยเบื่อของการฟังเพลงในยุค Adore & Long Gone Era. และยังคงตกหลุมรักโชว์ของภูมิแบบ Folk Session เสมอมา
เราเอาอัลบั้ม Manchild มา Re Listening อีกครั้ง เพราะว่าภูมิกำลังจะมีคอนเสิร์ต Phum Viphurit ‘Manchild Reimagined’ Concert ในวันที่ 29 นี้ ที่เอาทุกเพลงในอัลบั้มแรกมาอะเรนจ์ใหม่ น่าสนใจมากว่าจะเป็นยังไง คนที่โตมากับภูมิและ Rats Record ตั้งแต่วันแรก ๆ ไม่ควรพลาดคอนเสิร์ตนี้
หลาย ๆ เพลงในอัลบั้ม Manchild ได้บันทึกช่วงเวลาวัยรุ่นที่ทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ หลาย ๆ เพลงช่วยให้เราผ่านความเศร้าของการเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เข้าใจโลกมาได้ และเพิ่งมาค้นพบหลังผ่าน 8 ปีหลังจากที่ตั้งใจฟังทั้ง 9 เพลงอีกครั้ง ว่าเพลงส่วนใหญ่ของอัลบั้มมักจะพูดถึง ‘ความสัมพันธ์’ ที่มี ‘ระยะเวลาจำกัด’ เข้ามาคั่นกลางทั้งคู่ เราเชื่อว่ามันทำให้ทุกความสัมพันธ์ในธีมของ Manchild ที่ไม่ใช่รักแบบตลอดไป เป็นการ Coming Of Age Song ตามหาความหมายของความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่ม ก่อนที่เขาจะเติบโตในเพลงสุดท้าย
NEXT COVER, SAME MOOD ตอนที่ 17 เป็นการจับตัวละครที่มีความสัมพันธ์ร่วมกัน จากหนังและซีรีส์ ที่เหมาะเหลือเกินกับการมีเพลงในอัลบั้มนี้มาเป็นซาวด์แทร็คประกอบสถานการณ์ของพวกเขา เปิดฟังอัลบั้มนี้อีกครั้ง แล้วเติบโตไปด้วยกันครับ : )
ซาวด์แทร็คประกอบโลเคชั่นในโลกของความฝัน ความรักเพียงชั่วคราว และความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าความสัมพันธ์นี้จะเป็นเรื่องจริงตลอดไป อาจจะพิมพ์ดู Negative ไปบ้าง แต่เรารู้สึกว่าเพลงที่มีความฟุ้งฝันอยู่ในดนตรี Pop ของภูมิเพลงนี้ เชื้อเชิญเปิดกว้างให้คนที่ตีความได้หลากหลาย (จะคิดว่าเป็นเพลงของความสัมพันธ์ของคนสองคนที่จีบกัน และกำลังจะรักกันสุด ๆ ก็ได้เหมือนกัน) ซึ่งสำหรับเรา ถึงดนตรีเพลงนี้จะอินเลิฟ แต่เนื้อในคือการได้พบกันเพียงชั่วคราวของสองคนที่เศร้าเหลือเกิน “We’re Strangers In a Dream.”
พาร์ทดนตรี-เพลงนี้เป็นเหมือนหนึ่งในสารตั้งต้นของการอะเรนจ์ Sweet Melody จากกีตาร์เพลงต่อ ๆ มาของภูมิที่เรารักกันในปัจจุบัน เออ ! จริง ๆ Lover Boy เองก็มีเอกลักษณ์กีตาร์แบบนี้เหมือนกันเนาะ แต่ที่เราชอบมากกก คือ Solo Part ของเพลง ทำงานกับอารมณ์ที่มันผลักคนฟังเข้าสู่ความฝันจริง ๆ อะ ก่อนจะจบเพลงอย่างน่าใจหายตอนเพลงจบที่ปล่อย Reverb ของกีตาร์ไลน์หวานนั้น เป๋นการทำให้เราฝันค้างในขณะที่กำลังตื่นสู่ความจริง
เชื่อว่ามีแฟนคลับของซีรีส์เทคโนโลยีโคตรดาร์ก BLACK MIRROR จำนวนไม่น้อย ที่ชอบเอพิโสดโรแมนติกชุบชูใจของซีรีส์ (ซึ่งมาไม่บ่อยเลย) ตอนที่ 4 ของซีซั่น 3 ที่ชื่อ ‘San Junipero’ มีเซ็ทติ้งอยู่ในโลกอนาคตที่ช่วงเวลานั้นมนุษย์ได้ประดิษฐ์ Thumb Drive ซึ่งต่อเข้ากับสมองพาเราสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘San Junipero’ มันคือรีสอร์ทติดริมทะเลที่อยู่บน Cloud ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตอยู่ข้างในนั้นได้ตลอดไป แม้ว่าร่างกายจะสิ้นอายุขัยไปแล้ว
ในโลกแห่งความฝันนั้น Yorkie & Kelly ได้พบกัน ตกหลุมรักกัน และตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่สมกันตลอดไป ถึงแม้จะได้รู้ความจริงว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ใช่ใครที่เราหวังไว้แต่แรก ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงนิด ๆ ของเอพิโสดนี้ ถึงแม้จุดจบจะต่างกัน แต่มันคือการใช้ชีวิตแบบ Stranger In a Dream เป็นภาพวาดความฝันแสนงดงามไม่ต่างจากเพลงเศร้าเพลงนี้ของภูมิเลย See less
โอยยย การตีคอร์ดกีตาร์โปร่งแบบค่อมห้องที มาหลังห้องที แบบเอาแต่ใจตัวเองสุด ๆ แบบนี้ล่ะ ที่ทำให้เราหลงรัก Folk Style ของภูมิ Run คือเพลงที่อะเรนจ์ Acoustic Part ได้เพอร์เฟกต์ที่สุดเพลงนึงของอัลบั้ .. ไม่สิ ๆ ถ้าจะบอกว่าของภูมิสำหรับเราเลยก็ได้
เพลงนี้ยังคงอะเรนจ์ให้ภาพรวมทั้งหมดออกมาเป็น Minimal Music ใช้กลองดำเนินด้วยกระเดื่องย่ำเบา ๆ พร้อมกับตีสแนร์ที่มี Bell ส่งพลังแห่งความ Festive ซาวด์เบสนุ่ม ๆ คอยโอบอุ้มไปด้วยกันอย่างลงตัว และแน่นอน ใช้กีตาร์ไฟฟ้าไลน์ Sweet Melody ขับกล่อมอีกครั้ง
RUN คือเพลงตบบ่าเบา ๆ เพื่อทุกคนที่เจอวันแย่ ๆ ให้ภูมิได้เป็น Suport Guy แคมป์ปิ้งผิงไฟเล่าเรื่องเจ็บปวดของตัวเองให้ภูมิฟัง ไม่ว่าจะการรอคอยความรักที่ไม่สมหวัง หรือจะความเจ็บปวดที่ถูกวางไว้บนบ่าแบบไหน เปิดเพลงนี้แล้ววิ่งหนีจากโลกเหล่านั้นไปด้วยกัน
ในซีรีส์ Next Cover, Same Mood เรายกซีรีส์ Euphoria ขึ้นมาบ่อยเนาะ แต่ยังไม่เคยพูดถึงวัยรุ่น 2 คนอย่าง Fezco พ่อค้ายาผู้ดรอปจากไฮสคูลกลางคัน กับ Lexi หญิงสาวที่เป็นตัวประกอบทั้งชีวิตไฮสคูลที่อยากให้ใครสักคนส่องสปอตไลต์เล็ก ๆ มาที่เธอบ้าง และในซีซั่นที่ 2 ตอนที่ 1 นี่เอง Fezco ก็เข้ามา สำหรับเราเขาคือภูมิในเพลงนี้ ที่มองเห็นทุกข้อดีในตัว Lexi เกินกว่าใคร รับฟังปัญหาของเธอ และพาเธอวิ่งออกจากความคิดลบของตัวเองด้วยคำว่า “You’re Like The Coolest Person In Here” แค่นี้รอยยิ้มก็เผยออกมาแล้วล่ะ : )
ลืมคุณ Jenny & The Scallywags ไปซะนานเลย แต่ก่อนเคยชอบเขามาก เป็นผู้หญิงที่มีเสียงร้อง Low Tone ชวนฝันอีกคนหนึ่ง การประกบเข้ากับเพลงที่อะเรนจ์อคูสติกที่มีเสียงสไลด์เฟรตชัด ๆ การ Picking ที่ชวนล่องลอย มันทำงานได้ดีกับเสียงของเธอเหลือเกิน
โอ้โห ตายได้ตายไปแล้ว The Art of Detaching One’s Heart คือเพลงของคนรัก ที่ความสัมพันธ์เริ่มมีเสียงเปราะดังขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งคู่ค่อย ๆ สะกดคำว่ารักได้ไม่ถูกต้องเหมือนเคย ความรู้สึกที่เคยส่งและโอบรับเริ่มเลือนรางพร้อมจางหาย แต่ทั้งคู่ก็พยายามที่จะปรับเข้าหากัน โดยที่มีคำถามในหัวว่า “แล้วความรักครั้งนี้จะทำลายพวกเรารึเปล่านะ ?” ท่อนบริดจ์ที่ร้องซ้ำ ๆ ทอนให้เหลือเพียงกีตาร์โปร่งตีคอร์ดบอด ๆ ย้ำ ๆ และไล่ไดนามิกมากขึ้นเรื่อง ๆ เหมือนเป็นการถามย้ำในคำตอบที่เรารู้กันดีอยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่มันทำใจไม่ได้ไง : (
ซีรีส์เรื่อง That’ 70s Show ที่เล่าเรื่องของกลุ่มเพื่อนสนิทวัยไฮสคูล รวมตัวกันทำอะไรเพี้ยน ๆ ในห้องใต้ดินของเพื่อนชื่อ Eric Forman ในความไม่เคยจะจริงจังของซีรีส์เรื่องนี้ มันจะมีอยู่ช่วงนึงที่ตัวละครในกลุ่มสองคนชื่อ Jackie และ Hyde ได้คบกัน (แบบที่ทำเอาดูเหวอ) ความรักของทั้งคู่คือแบบที่พร้อมจะไม่ไหวตั้งแต่ต้น ไม่มีอะไรเข้ากันเลยสักอย่าง ไลฟ์สไตล์ ฐานะทางสังคม แต่มีความรู้สึกบางอย่างที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่จะคลิกเข้าหากัน สถานการณ์ตรงนั้นไม่ต่างกันกับความรู้สึกฝืนในเพลงนี้ของภูมิเลยสักนิด
เสียงเครื่องสายในเพลงนี้ดีจัง ทำให้โหยหาความรู้สึกของ Folk Rock Band ช่วงก่อนปี 2020s ขึ้นมาเลย ไม่ว่าจะ Fleet Foxes หรือ Iron & Wine
ชอบอะเรนจ์กลองเพลงนี้เป็นพิเศษ มีความตีเนือย ๆ อ่อนแรง ๆ แบบ Lofi Music ที่จะฮิตในเวลาต่อมา ในขณะที่เรคคอร์ดมาแบบซาวด์ติดกลิ่นย้อนยุคเหมือนเพลงโบราณอย่าง The Beatles ช่วง 60s แล้วไฮไลต์นึงของเพลงนี้อยู่ตรงที่เสียงของ ‘แพท-Part Time Musicians’ ซึ่งเข้ามามาเติมเต็มตั้งแต่ท่อนบริดจ์เป็นต้นไป ที่มันตอกย้ำความพังของเพลงรักที่เราอยากกอดใครคนนั้นมาก ๆ เหลือเกิน แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยเขาไป
“Where did you go? My love, where did you go?”
ไม่รู้ว่าทุกคนจำ Kill Bill กันด้วยภาพแบบไหน ฉากฟันหัวของ O-Ren ขาดไปครึ่งนึง หรือจำ Gogo ที่มีแรงบันดาลใจมาจาก Battle Royale แต่ภาพจำของเราคือความรักระหว่าง Bill & The Bride ที่ยื้อให้ตายสุดท้ายก็ต้องปล่อยเธอไปจาก Terror House แบบเดียวกับในเพลงอยู่ดี
เพลงฮิตที่ที่สุดในช่วงแรกของ Phum Viphurit (ก่อน Lover Boy Era.) ยังคงเป็นเพลง Folk Rock ที่การอะเรนจ์ได้อร่อยเหมือนเดิม บาลานซ์ทุกเครื่องทุกไลน์ได้กลมสุด ๆ ไม่ว่าจะพาร์ทกีตาร์โปร่งตีคอร์ดชัด ๆ ไม่ตามขนบของภูมิ กลองเล่นน้อย ๆ กีตาร์ไฟฟ้าเปิด Distrotion อ่อน ๆ คอยเล่น Sweet Melody หวาน ๆ ไปจนถึงไลน์เบสสุด Funky ดิ้น ๆ แต่พอดี
Adore คือเพลงของทุกคนที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ตกหลุมรัก แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าพายุจะพัดให้เราพลัดจากกันในอีกไม่นานแล้วนะ เพราะว่ากลัวทุกอย่างจะหายไป ก็เลยอยากจะถามย้ำ ๆ ถึงความรู้สึกรักว่าเป็นของจริงรึเปล่า และขอให้จำความทรงจำนี้ได้ตลอดไป
Monster คือหนังญี่ปุ่นของ Hirokazu Koreeda อยู่ในลิสต์อันดับ 1 ที่เรารักที่สุดในบรรดาผลงานทั้งหมดของเขา และไม่ต้องการสปอยล์ให้คนที่ยังไม่ได้ดูฟังเลนแม้แต่นิดเดียว เอาเป็นว่า ซีนสุดท้ายในหนังระหว่างตัวละครหลักสองคน Mugino กับ Hoshikawa ไม่ต่างกันเลยกับเพลงนี้ ไม่ว่าจะสถานการณ์พายุหรือแม้แต่ความรู้สึกก็ตาม
No I don’t need your paper throne
No I don’t need your paper crown
Even the fools know nothing is forever
โห ! ไม่รู้ว่าเพลงนี้ทำงานกับคนอื่นยังไงนะ แต่สำหรับเรามันคือการอย่าเอาชีวิตไปแลกกับทุกอย่าง เพื่อชื่อเสียง เงินทอง จนลืมใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการ แล้วเพลงที่มีจังหวะสนุกแบบสุด ๆ ไปเลย แต่เนื้อในกลับ Minor Vibe หม่นเศร้า ทำให้เหมือนว่าภูมิกลายเป็นตัวละคร Edward Bloom ในหนังของ Tim Burton ที่ปลดปล่อยคนฟังจากออกจากความเศร้า ไม่ว่าจะเหตุผลเล็กน้อยหรือใหญ่โตขนาดไหน ทั้งการไม่กล้าลาออกจากงานเพราะเชื่ออว่าตัวเองทำอย่างอื่นได้ไม่ดี หรือการอยู่ในความสัมพันธ์ที่ Toxic เพราะกลัวอะไรบางอย่างก็ตาม
ใช้ชีวิตอย่างช้า ๆ ด้วยการให้ตาเฝ้ามอง หูฟังเสียง จมูกรับกลิ่นของความสุขจากสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ นี่คือสิ่งที่เราได้หลังจากที่ติดตามชีวิตของ Hirayama พนักงานทำความสะอาดห้องน้ำในโตเกียว ทำงาน ผ่อนคลายในโรงอาบน้ำ ปลูกต้นไม้ และอ่านวรรณกรรมก่อนนอน เราไม่ต่างกันเลยกับ Niko หลานสาวตัวน้อยของชายหนุ่มแสนเงียบคนนี้ บางทีชีวิตที่ Perfect Days เกิดจากการใช้ใจมองกับสิ่งเล็กน้อยรอบตัวล่ะมั้งนะ
ยังจำตอนที่ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกสมัย Play Yard ที่ภูมิเล่นเปิดให้แก๊งอีกาขาว The Whitest Crow ในคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มแรก Bangkok Blondie Album Luanch Party ปี 2016 ได้อยู่เลย เป็นเพลงที่อะเรนจ์ด้วยการออกอาวุธที่รุนแรงที่สุดของภูมิ Low Tone Voice / Amazing Chord / Acoustic Guitar แบบเพียว ๆ เท่านั้นเลย แล้วเพราะมันเป็น Unplugged Mode นี่ล่ะ การ Beg ในเพลงนี้จึงสามารถพาเราดิ่งลงสู่ความรู้สึกหม่นหมองได้อย่างลงลึก แต่มันเป็นการร้องขอจากภูมิว่าให้พวกเราทุกคนออกมาจากความสัมพันธ์ Toxic อย่าได้ไป Beg ให้กับความรักที่จะแผดเผาตัวเองทั้งเป็นอีกเลย
เป็นเพลงที่มี Mood & Tone เข้ากันดีเหลือเกินกับความรักระหว่าง Emily กับ Victor Van Dort ใน Corpse Bride อนิเมชั่นโลกมืดของ Tim Burton เล่าเรื่องของ Emily เจ้าสาวที่ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าเหตุเพราะโดนความรักหลอกใช้ กับ Victor Van Dort ชายหนุ่มผู้กำลังจะแต่งงานแต่ไม่มั่นใจว่าจะดูแลเจ้าสาวของตัวเองได้มัั้ย และเขาบังเอิญได้ตกลงไปสู่โลกหลังความตายและพบกับ Emily เธอเชื่อว่าตัวเองได้พบรักที่จะมอบชีวิตใหม่ให้เธออีกครั้ง แต่เขาพูดไม่เข้าใจความรักดีพอไม่เชื่อในสิ่งนั้น สุดท้ายการร้องขอของเธอก็ต้องถูกหยุดเอาไว้ เพราะเข้าใจแล้วว่าการร้องขอความรักที่ไม่ได้เหมาะสมกับเรา ยังไงก็ไม่มีทางไปได้ด้วยดี
ฟังมาถึงเพลงก่อนสุดท้าย มันทำให้เข้าใจคอนเซปต์ที่ภูมิต้องการจะเล่า ที่เราเขียนเอาไว้ตอน Intro ของโพสต์ ว่า Manchild คือการรวมเพลงของการก้าวผ่านวัย Coming Of Age โดยการพูดถึงความสัมพันธ์ที่มีเวลาจำกัดเข้ามากั้นกลางระหว่างกันของคนสองคน บางเพลงทำให้รู้สึกเศร้าจนอยากจะร้องไห้กับการจากลา แต่ ! มันก็จะมีเพลงพิเศษแบบเพลงนี้ ที่เป็น Good Vibe, Goodbye Song มาสนุกให้โลกแตกก่อนจะจากกันไกลดีกว่า !!
ฟังครั้งแรก ภาพของตัวละคร Margo ที่มองเมืองที่เกิดและเติบโตมาว่าเป็นดั่ง Paper Towns ของค่ำคืนเปลี่ยนชีวิตเด็กหนุ่ม Quentin ก็ผุดขึ้นมาเลย แต่การฟังเพลงนี้ในปี 2025 (เป็นครั้งที่หนึ่งร้อยเท่าไหร่ก็นับไม่ได้แล้ว) มันกลับเป็นภาพในค่ำคืนของหนังเรื่อง Booksmart ซึ่งเล่าเรื่องในพิธีก่อนจบคืนการศึกษาไฮสคูลของ Amy กับ Molly ทั้งคู่ทุ่มเทอ่านหนังสือตลอด 3 ปี เพื่อที่จะสอบติดมหาวิทยาลัยที่ตัวเองฝัน แล้วทำได้จริงด้วยนะ แถมได้เป็นคนกล่าว Speech ในพิธีจบอีก แต่ ! ก่อนที่จะมาค้นพบในวันก่อนจบว่ามีเพื่อนของเธอหลายคนไม่ต้องเอาชีวิตไฮสคูลที่เกิดขึ้นครั้งเดียวไปแลกขนาดนั้นเพื่อที่จะสอบติด เอาล่ะ ! ก่อนที่พวกเธอจะ Long Gone จบจากที่นี่ ขอใช้ค่ำคืนสุดท้ายปาร์ตี้ทุกบ้านที่เพื่อนจัดอำลา ให้สาสมกับชีวิต 3 ปีที่เสียไป
“เพลงที่เราตกหลุมรักที่สุดของอัลบั้มนี้ มันไม่มีพายุเฮอริเคนครั้งไหนจะอ่อนโยนได้เท่านี้อีกแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่การอะเรนจ์ Acoustic Part ของภูมิทำงานกับหัวใจของคนฟัง การมี Ambient Sound ที่ดีไซน์เป็นชั้นบรรยากาศข้างหลังคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ในทุกครั้งที่กดฟัง เราจะรู้สึกว่าสายลมอ่อน ๆ ได้เริ่มประทะเข้าใบหน้าเบา ๆ ก่อนจะก่อตัวเป็นพายุหมุนซึ่งโอบกอดทุกความรู้สึกแย่ที่เจอมาทั้งหมดให้หายไป
Sweet Hurricane งดงามด้วยการมี Image ชัดเจน-เป็นเพลงเศร้าความหมายงดงาม มันเหมือนเราได้มี Bianca เป็นของตัวเองแบบที่ Lars ชายหนุ่มที่กลัวจะใช้ชีวิตในสังคมได้มีใครสักคนจริง ๆ ที่เขาจะสามารถรักได้หมดใจแม้ใครจะต่อต้านและมองว่าเป็นเรื่องแปลก และแม้จะรู้ว่าสักวันหนึ่งพายุหมุนนี้จะสงบลงและหายไปก็ตาม …