Survival

หมดข้ออ้างของจอมขี้เกียจ! 5 เหตุผลดี ๆ ต่อไปนี้จะทำให้คุณ “ฮึดขึ้นมาออกกำลังกาย”

By: PSYCAT March 21, 2018

กว่าจะขุดตัวเองไปออกกำลังกายได้แต่ละที ขุดแซะยากยิ่งกว่านักโบราณคดีขุดค้นซากไดโนเสาร์จากยุคดึกดำบรรพ์เสียอีก แต่ไม่ต้องตกใจไปเราไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวที่ประสบปัญหา “หลอกตัวเองให้ขี้เกียจ” นี้ ขอแค่อย่ามัวจมไปกับมันแล้วปล่อยให้ร่างกายไหลไปตามวันเวลาและไขมันที่พอกพูนร่างกายขึ้นเรื่อย ๆ หยุดตั้งแต่ตอนนี้! ด้วย 5 เหตุผลจากผู้เชี่ยวชาญที่จะทลายข้ออ้างของจอมขี้เกียจอย่างคุณให้หมดสิ้นไป

“โธ่ ก็ผมไม่มีเวลานี่ครับ”

ข้ออ้างอันดับหนึ่งของจอมขี้เกียจอย่างเราคือ “ไม่มีเวลา” Laura Vanderkam นักเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจพูดเรื่องเวลาไว้อย่างน่าสนใจว่าในแต่ละอาทิตย์เรามีเวลา 168 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน เป็นเวลานอนไป 56 ชั่วโมง และตีเป็นเวลางาน 50 ชั่วโมงไปเลย! เท่ากับว่าเราเหลือเวลา 62 ชั่วโมงเต็ม ๆ ที่เราสามารถจัดสรรปันส่วนเป็นเวลาพักผ่อนหย่อนใจ เวลาเดินทาง เวลาอาบน้ำกินข้าว ปัญหาเรื่องไม่มีเวลาจะหมดไปถ้าเรามองเวลาเป็นล็อตใหญ่ ๆ แล้วแบ่งมันไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ และใส่ “การออกกำลังกายไว้ในตารางเวลาที่เราวางไว้ด้วย” โดยอาจจะเริ่มต้นจาก 1 ชั่วโมงครึ่งจาก 168 ชั่วโมง (อาทิตย์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที) ถ้าคิดได้ว่ามันแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งจาก 168 ชั่วโมง เราก็จะมีเวลาให้กับมันทันที

“ตอนนี้กำลังสบายอ่ะครับ ไว้ค่อยออกกำลังกายอาทิตย์หน้าแล้วกัน”

Dan Goldstein นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมจาก Microsoft Research พูดถึงข้ออ้างแบบนี้ว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างตัวตนของเราในปัจจุบันกับตัวตนของเราในอนาคต มันเป็นเรื่องง่ายที่ตัวตนเราในปัจจุบันจะเอาชนะด้วยการบอกว่า “เอาล่ะ นั่งเฉย ๆ เล่นมือถือส่องสาวในอินสตาแกรมแล้วก็นั่งกินนั่นกินนี่ไปแหละดีแล้ว ไม่เห็นต้องออกกำลังกายเลย” ดังนั้นเราจึงต้องเอาตัวตนในอนาคตเข้าสู้ด้วยการใส่สถานการณ์ในอนาคตที่จะเกิดจาก “การไม่ออกกำลังกาย” ใส่ลงไป เช่น อีก 30 ปีข้างหน้าเราอาจจะถูกรุมล้อมด้วยโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และอีกสารพัดโรค ให้นึกถึงความทรมานและค่าใช้จ่ายนั้นไว้ แล้วถามว่าจะแก้ปัญหาด้วยการหาเงินแทบตายมาเพื่อรักษาโรคเหล่านั้น หรือจะลงมือทำแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งจาก 168 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ตอนนี้แทนดีล่ะ?

“ขอนั่งดู Netflix หล่อ ๆ ดีกว่าครับ”

เรามักถูกผูกติดกับอะไรที่เราชอบ เช่น เวลาไถเฟซบุ๊กไม่รู้จบของเรา ซีรีส์โปรดใน Netflix ที่เรารัก หนังสือเล่มโปรดที่ขาดไม่ได้ สิ่งเหล่านี้มักเป็นข้ออ้างในการใช้เวลา 62 ชั่วโมงที่เหลือจากการนอนและการทำงาน ซึ่ง Katherine Milkman นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรมมีทางออกให้คุณ โดยมีการทดลองหนึ่งที่ผูกการออกกำลังกายในยิมเข้ากับกิจกรรมที่กลุ่มตัวอย่างชอบ โดยผลออกมาว่าการที่เราเอากิจกรรมที่เราชอบไปทำในขณะออกกำลังกายจะช่วยให้เราอยากออกกำลังกายได้มากขึ้น ดังนั้นทางออกก็คือวิ่งบนลู่ไป ดู Netflix ไป หรือฟัง Audio Book เล่มโปรดไป หรือถ้าไม่ถนัด ต้องผูกกับเงื่อนไขที่ว่าถ้าไม่ออกกำลังกายจะไม่ได้ทำสิ่งที่ชอบ เมื่อไหร่ที่พาตัวเองไปออกกำลังกายได้ ก็ให้รางวัลด้วยสิ่งของที่ตัวเองชอบซะ เราจะได้ติดใจการออกกำลังกายให้ได้ใกล้ ๆ กับที่ติดซีรีส์

“หุ่นผมโคตรไม่ดี ไปออกกำลังกายทีพวกหุ่นดี ๆ ก็ชอบจ้องผม”

Kelli Jean Drinkwater นักกิจกรรมและศิลปินกล่าวเอาไว้ว่าสังคมของเราเป็นสังคมเหยียดน้ำหนัก วัฒนธรรมของเรากำลังสอนว่าคนอ้วนเป็นคนขี้เกียจ ตะกละ สุขภาพแย่ ไม่มีความรับผิดชอบ ในขณะที่คนผอมถูกมองด้วยภาพแทนของสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย เธอถามต่อว่าเราเปลี่ยนวิธีคิดหน่อยไหม? แทนที่จะมองว่าการออกกำลังกายเป็นทัณฑ์ทรมานที่จะตีกรอบให้ตัวเองหุ่นดี เรามองมันแค่เป็น “การรักตัวเอง” แบบหนึ่งได้หรือไม่? เหมือนที่เรารักตัวเองในแบบอื่น ๆ เราอยากมีรอยสักสวย ๆ อยากใส่เสื้อผ้าที่บ่งบอกว่าเราใส่ใจตัวเอง อยากไว้ทรงผมแบบที่ตัวเองมีความสุขที่สุด ทำไมเราถึงไม่ทรีตการออกกำลังกายว่าไม่ใช่ความทรมานตัวเองเพื่อแข่งกับคนอื่น แต่มองมันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งแห่งการรักและดูแลตัวเองโดยไม่ต้องสนใจว่าคนรอบข้างในยิมจะมองเราอย่างไรแทนล่ะ?

“คิดถึงการออกกำลังกายทีไร ผมก็คิดแต่ภาพตัวเองหน้าแดง เหงื่อท่วมและเจ็บปวดทรมาน ถ้างั้นทำไมผมต้องทรมานด้วยอ่ะ?”

Martin Hagger นักจิตวิทยาการกีฬา จาก Curtin University เปิดเผยถึงเคล็ดลับของนักกีฬาโอลิมปิคว่า “การจินตนาการคือการฝึกซ้อมจิตใจ การจินตนาการเหมือนการดูวีดีโอเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าล่วงหน้า” โดยเขายกตัวอย่าง Blanka Vlašić แชมป์กระโดดสูงชาวโครเอเชียที่มักจะจินตนาการถึงภาพความสำเร็จของตัวเองก่อนกระโดดจริง เพราะมันขจัดความกลัวและเรียกความเชื่อมั่นให้เธอได้ ดังนั้นเราควรใช้หลักทางจิตวิทยานี้กับตัวเองเช่นกัน อย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับการออกกำลังกาย แต่ให้จินตนาการถึงทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งแวดล้อมที่เราจะวิ่งผ่าน ความรู้สึกดี ๆ เมื่อได้หายใจเต็มปอดและเลือดสูบฉีด ความสำเร็จที่เราจะภูมิใจหลังการออกกำลังกาย เมื่อลืมตาตื่นจากจินตนาการนั้นได้แล้ว ก็ลุยซะอย่ามัวจมอยู่แต่กับความกลัวแย่ ๆ อยู่เลย

UNLOCKMEN เชื่อว่าผู้ชายทุกคนจะสามารถเอาชนะจิตใจตัวเองได้อย่างแข็งแกร่งเมื่อปราศจากข้ออ้างเหล่านี้ ด้วยตัวช่วยและคำแนะนำดี ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ใครที่เอาไปลองมาแล้วได้ผลอย่างไรบ้างก็อย่าลืมมาแชร์กัน!

SOURCE

 

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line