“Yestesday” บทเพลงบัลลาดโฟล์กของวง The Beatles ผลงานจากอัลบั้ม Help! ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1965 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่ยิ่งใหญ่และเป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลา และยังเป็นเพลงที่มักจะถูกรวมอยู่ใน Greatest Hit ของสี่เต่าทอง รวมไปถึงยังเป็นเพลงช้าที่หลาย ๆ คนคิดถึงเป็นลำดับแรก ๆ หากนึกถึงวงดนตรีระดับตำนานจากเมืองลิเวอร์พูล เพลง “Yestesday” โดดเด่นด้วยซาวด์กีตาร์โปร่งที่ถูกออกแบบเมโดลี้ออกมาได้อย่างไพเราะ เต็มไปด้วยท่วงทำนองของอารมณ์ที่เศร้าหมองที่ถูกบรรเลงไปพร้อมกับเสียงร้องของ Paul McCartney ได้อย่างลงตัว นอกจากนั้นยังมีเสียงเครื่องสายที่ถูกใช้ขับกล่อมคนฟังและยังช่วยเสริมบรรยากาศของเพลงให้ดูดำดิ่งลงไปได้อีกหลายเท่าตัว และมันยังสามารถส่งอารมณ์ไปสู่เนื้อหาของเพลงได้ยอดเยี่ยม ซึ่งมันเป็นเรื่องราวของคน ๆ หนึ่งที่ถูกคนรักบอกลาไป แต่เขายังคงจมปลักอยู่ในวันวานของความรักครั้งเก่าอยู่ แต่เบื้องหลังความไพเราะที่เกิดขึ้นมันไม่ได้มาจากการนั่งทำเพลงในสตูดิโอตามปกติ แต่มันมาจากความฝันของ Paul McCartney ต่างหาก ท่านเซอร์ได้เคยเปิดเผยเรื่องดังกล่าวผ่านทางหนังสือชีวประวัติของตัวเองเอาไว้ดังนี้ คืนหนึ่งทาง Paul McCartney ได้พักอยู่ในย่านถนนวิมโพล สตรีท กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (เป็นบ้านของ Jane Asher อดีตแฟนสาวของท่านเซอร์) พร้อมกับเปียโนที่วางอยู่ข้าง ๆ เตียง ในขณะที่เขานอนหลับเข้าสู่ห้วงนิทราแห่งความฝันมันก็มีเมโลดี้บางอย่างล่องลอยอยู่ในนั้น และเขาก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากอาการลุ้นเรื่องราวที่ยังค้างคา รอให้ติดตามบทสรุปใน Stranger Things SS4 Vol.2 ซึ่งกำลังจะลงสตรีมมิ่งในวันที่ 1 กรกฎาคม นี้ เราเชื่อว่าสาวก Stranger Things หลายท่าน คงกำลังอินกับแฟชั่นยุค 80s จากพร็อพและคอสตูมต่าง ๆ ของเหล่าตัวละครในซีรีส์ ที่ทีมงานทำการบ้านมาอย่างดี หาไอเทมมากมายมาให้แต่ละคาแรกเตอร์สวมใส่กันแบบตรงยุค และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในไอเทมที่โดดเด้งสะดุดตาออกมาคือนาฬิกาสวย ๆ หลากรุ่นหลายแบรนด์ ที่บอกไปเป็นต้องรู้อายุ เพราะเพียงแค่เห็นโผล่มาในจอแค่ไม่กี่วิ เป็นต้องอุทานด้วยภาษากึ่งไม่ทางการว่า “เชี่ยย นี่มันรุ่นที่เคยอยากได้” หรือ “เฮ้ย เรือนนี้เราเคยมีใส่ไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนนี่นา” งานนี้ใครที่รู้สึกว่านาฬิกาของเหล่าตัวละครใน Stranger Things นั้นมันทัชใจ แต่จำได้แค่คลับคล้ายคลับคลา ไม่ได้รู้ลึกถึงขนาดว่ามันชื่อรุ่นอะไร บอกเลยว่าไม่ต้องไปเหนื่อยค้นหาให้ตาแตก เพราะเราได้รวบรวมลายแทงชื่อรุ่นเด่นจากตัวละครดังเกือบทุกคาแรคเตอร์เท่าที่เราสามารถหาได้ มาให้ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายนำชื่อรุ่นลากเข้า Google เพื่อสะกดรอยไปตามสอยกลับมาครอบครองให้หายคิดถึง ข่าวดีคือมีหลายเรือนที่วางขายมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยได้กลายเป็นงานวินเทจเข้าขั้น Rare Item ที่อาจต้องใช้กำลังกาย บวกกำลังใจ เสริมด้วยกำลังภายในกระเป๋าตังค์ในการตามล่าของดีมาประดับข้อมือ เอาเป็นว่าก่อนจะเวิ่นเว้อไปมากกว่านี้ เชิญไปดูกันเลยดีกว่าว่าตัวละครไหนใส่นาฬิกาอะไรเข้าฉากกันบ้าง เอ้า…
ป๊อปพังก์เป็นอีกหนึ่งแนวดนตรีที่เคยได้รับความนิยมอย่างสุดขีดในช่วงยุค 2000’s ด้วยสไตล์ดนตรีที่ฟังง่าย สนุก และไม่หนักจนเกินไป รวมไปถึงยังมีเนื้อหาที่ตรงใจเหล่าบรรดาวัยรุ่น มันก็ทำให้ดนตรีแนวนี้สามารถสื่อสารกับคนกลุ่มใหญ่ได้อย่างสบาย ๆ ดังนั้นเรามานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปกับเพลย์ลิสต์ของเพลงป๊อปพังก์ยุค 2000’s เพื่อดึงความรู้สึกแห่งความสนุกในช่วงนั้นกลับมากันดีกว่าครับ “FIRST DATE” – BLINK 182 วงป๊อปพังก์ 3 ชิ้นที่ครองโลกด้วยดนตรี 3 คอร์ดง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากจากเพลง “All The Small Things” ส่วนเพลง “First Date” คือผลงานจากอัลบั้ม “Take Off Your Pants and Jacket” ปล่อยให้ฟังครั้งแรกในวันที่ 8 ตุลาคม ปี 2001 มันเต็มไปด้วยจังหวะแห่งการปลุกอะดรีนาลีนของเราให้พุ่งพล่านได้อย่างดีเยี่ยม ส่วน MV ก็สนุกไม่แพ้ดนตรี เพราะทั้ง 3 สมาชิกพาทุกคนย้อนไปเกรียนในแบบยุค 70’s เรียกเสียงฮาจากแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี “AMERICAN IDIOT” –
ผ่านพ้นไปแล้วสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากับกิจกรรม UNLOCKMEN x VESPA: TELL YOUR STORY WITH COLOURS งาน Workshop ดี ๆ เปิดพื้นที่รวมพลคน VESPA พันธุ์แท้จากหลากหลายวงการทั้งศิลปิน, นักแสดง, ช่างภาพ, กลุ่มก๊วนคนรัก VESPA ตัวจริง รวมถึง Influencers ชื่อดังมากมาย ให้มาถ่ายทอดตัวตนที่แตกต่างผ่านสไตล์, สีสัน และ VESPA คันโปรด กิจกรรมภายในงานเริ่มต้นด้วยการเผยโฉมอวดความเฟี้ยวของ VESPA ทั้ง 4 รุ่น 8 เฉดสีใหม่ ที่พร้อมเซอไพรส์สาวก VESPA ตลอดปี 2022 นี้ ด้วยสีสันแห่งอิสระสไตล์อิตาลีภายใต้คอนเซ็ปต์ “TELL YOUR STORY WITH COLOURS” ก่อนที่จะลงลึกถึงการปลดล็อกตัวตน และถ่ายทอดเรื่องราวในแบบที่เป็นตัวเองผ่าน Workshop Session
ออรัม แกลเลอรี แกลเลอรีศิลปะร่วมสมัย ศิลปะเมือง และสตรีทอาร์ตที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ก่อตั้งโดยดีเจ นักดนตรี นักแสดง และศิลปินชาวอังกฤษชื่อดังระดับโลก คลิฟฟอร์ด ไพรซ์ (Clifford Price, MBE) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “Goldie” แกลเลอรีตั้งอยู่ใน Warehouse 30 พื้นที่โครงการที่นำโกดังเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาบูรณะให้กลายเป็น Creative District ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งถนนเจริญกรุง ภายในพื้นที่โถงขนาด 500 ตรม. มีการจัดแสดงงานจากศิลปินแนวหน้าในวงการ contemporary, urban and street art จากทั่วโลก อาทิเช่น Belin, Ben Eine, Bio, Bisco Smith, Ces, Crash, Goldie, Helio Bray, James Bullough, Mad C, Mikael B, Mr Cenz,
อุรุกวัยคือหนึ่งในประเทศที่ผลิตนักเตะฝีเท้าดีระดับโลกมาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็น Diego Forlan, Luis Suarez, Edinson Cavani, Alvaro Recoba, Diego Godin เป็นต้น พวกเขาส่งออกนักเตะเหล่านี้ไปลุยลีกใหญ่ในยุโรปและมีส่วนช่วยให้ทีมเหล่านั้นกวาดแชมป์มาเป็นว่าเล่น แม้นักเตะที่กล่าวมาบางคนจะเลยจุดพีคมาแล้ว หรือบางคนก็รีไทร์ไปแล้ว แต่ประเทศอุรุกวัยก็สามารถผลิตนักเตะฝีเท้าดีขึ้นมาทดแทนได้โดยตลอด ตัวอย่างเช่น Darwin Gabriel Núñez Ribeiro หรือที่ใครรู้จักกันในชื่อสั้น ๆ ว่า “Darwin Núñez” กองหน้าฟอร์มร้อนแรงวัย 23 ปีที่จรดปากกาเซ็นสัญญากับทีม Liverpool ไปเป็นที่เรียบร้อยด้วยค่าตัวรวมกับแอดออนสูงถึง 85 ล้านปอนด์ เส้นทางการก้าวกระโดดขึ้นมาสู่ทีมยักษ์ใหญ่ของ Núñez เรียกได้ว่ารวดเร็วมาก ๆ เพราะถ้าย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2017 เขาเพิ่งจะขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ของ Peñarol สโมสรในบ้านเกิดของตัวเองไปหมาด ๆ เข้าสู่ฟุตบอลอาชีพในวัย 14 ปี Darwin Núñez ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1999 ณ เมืองอาร์ติกาส ประเทศอุรุกวัย
หากจะให้พูดถึงวงคลาสสิคร็อกระดับต้น ๆ ของโลก ชื่อของ Led Zeppelin จะต้องติดมาด้วยอย่างแน่นอน คณะไซคีเดลิกร็อก ที่สร้างซาวด์ดนตรีไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์ จัดจ้านในทุกตัวโน๊ตที่บรรเลงออกมา พวกเขาฝากสุดยอดเพลงระดับมาสเตอร์พีซเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Stairway to Heaven”, “Whole Lotta Love“ หรือ “Immigrant Song” เป็นต้น Led Zeppelin สามารถสร้างชื่อได้ทันทีนับตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวงเมื่อวันที่ 12 มกราคม 1969 ซึ่งโปรดิวซ์โดย Jimmy Page มือกีตาร์ของวง โดยสามารถทำยอดขายได้ในอเมริกาได้มากถึง 8,000,000 ก็อปปี้ (แม้จะเป็นวงจากอังกฤษก็ตาม) รวมไปถึงได้รับการยกย่องจากบรรดาสื่อดนตรีชั้นนำไม่ว่าจะเป็น Rolling Stone, Allmusic, Grammy Awards และอีกมากมาย นอกจากความสำเร็จทางดนตรีของอัลบั้มนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดีคืออาร์ตเวิร์กบนหน้าปกที่เป็นรูปเรือเหาะที่ดูผ่าน ๆ แบบไม่เข้าใจความหมายก็คงดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริง ๆ แล้วรูปดังกล่าวมันคือเรือเหาะ “Hindenburg” ที่เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้จนล่วงลงสู่พื้นปฐพีในปี 1937 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย จนได้รับขนานนามเหตุการณ์นั้นว่า
ไม่ต้องตั้งตารอคอยหรือเดินทางไปเสาะแสวงหาชมกันตามมิวเซียมหรืองานแฟชั่นทั่วทุกมุมโลก วันนี้ แสนสิริ ผู้พัฒนาอสังหาฯลักซ์ชัวรี่ระดับประเทศ ได้รวบรวม Trunk วินเทจสุดหายากจากทั่วทุกมุมโลก รังสรรค์ขึ้นโดยแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton และ Goyard ที่ยังคงสร้างปรากฏการณ์มูลค่าพุ่งแรงไม่หยุดทุกวินาที ชนิดที่ว่าประเมินมูลค่าไม่ได้ มานำเสนอให้ทุกคนได้ร่วมชมความงามแบบเอ็กซ์คลูซีฟกันถึงที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยงานนี้ถือเป็นโชว์เคส Collectible pieces ทรังก์ของรักของสะสมอันคลาสสิก Rare Item จากการเดินทางทั่วโลกของผู้บริหารแสนสิริอย่าง ‘คุณเศรษฐา ทวีสิน’ ที่ได้รับเกียรติให้นำมาจัดแสดงแบบเอ็กซ์คลูซีฟอย่างสง่างาม ตกแต่งในแต่ละมุมพื้นที่ของโครงการ DEMI Sathu 49 แบรนด์ใหม่ล่าสุดจากแสนสิริ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินไพร์มโลเคชั่นใจกลางเมืองเชื่อมต่อ CBD สาทร ตั้งแต่บ้านตัวอย่างทั้ง 2 หลัง รวมถึงคลับเฮาส์ส่วนกลาง เพื่อส่งมอบสุนทรียะประสบการณ์ในการชมโครงการอย่างเหนือระดับ ซึ่ง Trunk แต่ละใบนั้นจะมีเรื่องราว มีความพิเศษ และความสวยงามมากน้อยแค่ไหน เราได้เก็บภาพมาให้ชาว UNLOCKMEN ดูเรียกน้ำย่อย ก่อนที่จะหาโอกาสไปชมด้วยตาของคุณเอง เพราะต้องบอกเลยว่าเห็นในภาพว่างามแล้ว แต่ของจริงนั้นเป็นอะไรที่งามยิ่งกว่า Louis Vuitton x Supreme Malle Courrier Trunk
Bring Me The Horizon นี่คือชื่อวงร็อกแห่งยุคปัจจุบันที่จะให้บอกว่าพวกเขาคือวงระดับโลกก็กล้าเรียกได้เต็มปากอย่างแน่นอน พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่และขวัญใจของผู้นิยมชมชอบดนตรีอันหนักหน่วงได้ทั่วโลก ทุกเพลง ทุกอัลบั้มต่างได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ แต่เส้นทางการไต่ระดับไขว้คว้าความสำเร็จใช่ว่าจะมาจากโชคช่วย แต่มันมาจากการวางแผนของสมาชิกวงรวมไปถึงค่ายเพลงที่มีส่วนช่วยผลักดันให้อดีตวงเล็ก ๆ ในเมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เติบโตขึ้นมากลายเป็นวงระดับโลกได้ตามที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งมันก็มาพร้อมความท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเลือกที่ปรับเปลี่ยนแนวดนตรีมาแทบจะทุกอัลบั้ม ถือเป็นโจทย์ที่โคตรเสี่ยงตายแบบหาตัวแสดงแทนไม่ได้ของจริง แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Bring Me The Horizon ฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ ทาง Unlockmen จัดการถอดรหัสมาให้ดังนี้ ความเป็น ICONIC ของ OLIVER SYKES คำว่า “Iconic” ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ แต่ Oliver Sykes นักร้องนำของวงสามารถทำได้สำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ และมันมาจากความพยายามของตัวเขาเองแทบจะ 100% เริ่มแรกเลยความได้เปรียบของวง Bring Me The Horizon คือการมีฟรอนต์แมน (หรือนักร้องนำ) หน้าตาดี, มีความสามารถในการร้องเพลง, มีรอยสักที่โคตรเท่ถูกใจชาวร็อก, มีการแต่งตัวเข้ากับแฟชั่นทุกยุคทุกสมัย แถมยังรู้จักวิธีโปรโมตตัวเองด้วยแบรนด์สินค้าที่เขาสร้างมันขึ้นมาเอง ด้วยองค์ประกอบที่ครบแบบนี้มันจึงกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนเลือกที่จะเข้ามาติดกับด้วยภาพลักษณ์ก่อนที่จะเข้ามารู้จักตัวเพลง