ถ้าคุณคิดว่า McLaren F1 คือผู้เปลี่ยนเกมของ Le Mans ปี 1995 คุณคิดถูกครึ่งเดียว—อีกครึ่งคือผลสะเทือนที่กระตุ้น Porsche ให้ตื่นจากการหลับไหล พอ McLaren ขึ้นโพเดียม 1-2-3 ทั้งในคลาสและอันดับรวม Porsche ก็ประกาศลั่นว่า “พอแล้วกับการฝากรถแข่งไว้กับ Dauer ถึงเวลาสร้างรถของตัวเองอีกครั้ง” พวกเขาจึงสั่งให้ Norbert Singer วิศวกรตำนานของแบรนด์ สร้างรถใหม่จากศูนย์ โดยตั้งเงื่อนไขเดียวว่า ต้องยังเป็น 911 อยู่ในทางเทคนิค เขาจึงใช้ด้านหน้าของ 993 ผสมกับด้านท้ายของ 962 สร้างเฟรมใหม่แบบ mid-engine และวางเครื่องยนต์ flat-six twin-turbo 3.2 ลิตร 600 แรงม้า ไว้กลางลำใต้ฝา carbon fiber ที่โคตรล้ำ นี่คือกำเนิดของ 911 GT1 ตัวแข่ง GT1 เปิดตัว Le Mans
แล้ววัฒนธรรม Street Culture ก็ต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อ Jameson แบรนด์ไอริชวิสกี้ระดับโลก จับมือกับ Awake NY สตรีทแวร์ตัวแทนจิตวิญญาณของมหานครนิวยอร์ก ร่วมกันสร้างสรรค์ Limited-Edition Streetwear Collection ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Jameson X Awake NY Exclusive Preview Party ที่จัดขึ้นในประเทศไทย เมื่อวันพุธที่ 2 เมษายน 2568 การคอลแลบครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Distilled Sounds แพลตฟอร์มดนตรีของ Jameson ที่นำโดย Anderson .Paak ซึ่งเป็นผู้นำในการ Connect กับศิลปินทั่วโลก ผ่านการสร้าง Community & Family ที่มีเสียงเพลงเป็นตัวกลาง และในครั้งนี้ Jameson ก็จับมือกับ Awake NY เพื่อเปิดตัว 5-Piece Streetwear Collection ที่มาพร้อมกับไอเทม Limited
ในโลกของ Panerai ทุกครั้งที่แบรนด์นี้ขยับ มักไม่ใช่แค่เรื่อง “เวลา” แต่มันคือการเล่าเรื่องของตัวตนที่ไม่เหมือนใคร — และที่ Watches & Wonders ปีนี้ PAM01575 ก็เดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ แต่เปล่งรัศมีบางอย่างที่ทำให้คนรักกลไกหยุดมอง นี่คือ Panerai Luminor Perpetual Calendar GMT Platinumtech PAM01575 ภาคต่อของ PAM01269 รุ่น Goldtech สุดเอ็กซ์คลูซีฟเมื่อปี 2022 ที่ออกมาเพียง 33 เรือนทั่วโลก — ครั้งนั้นมันเปิดเกมด้วยหน้าปัด smoked sapphire ที่โปร่งใสจนเผยให้เห็นจักรกลใต้ผิวเรือนเวลาได้อย่างเร้าใจ ขณะเดียวกันก็ยังคง DNA ของ Panerai ไว้อย่างครบถ้วน PAM01575 หยิบแนวคิดเดียวกันกลับมาอีกครั้ง แต่แทนที่จะแต่งทอง ก็เปลี่ยนวัสดุหลักมาเป็น Platinumtech — โลหะผสมเฉพาะของ Panerai ที่ถูกพัฒนาให้แข็งแกร่งกว่าแพลตตินั่มปกติถึง 40% ด้วยกระบวนการบ่มพิเศษภายในแบรนด์เอง ส่งผลให้ตัวเรือนขนาด
วันนี้โลกได้สูญเสีย Val Kilmer ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้แค่แสดงบทบาทบนจอภาพยนตร์ แต่เขาคือบทกวีที่มีลมหายใจ เสียงที่ไม่จำเป็นต้องเปล่งออกมาก็ยังคงดังก้องอยู่ในใจของผู้คน เขาคือนักแสดงที่เลือกบทไม่ใช่เพราะชื่อเสียง แต่เพราะความจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวละครนั้น ๆ และด้วยการจากไปของเขา เราขอแสดงความคารวะด้วยการย้อนกลับไปมองทุกบทบาท ที่ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องของตัวละคร แต่เล่าความเป็นมนุษย์ของ Val Kilmer เอง “Ice Man” – ผู้ที่รู้จักความเยือกเย็น และความอดทน ใน Top Gun (1986) เขาคือ Iceman นักบินที่เฉียบคม เที่ยงตรง และไม่ประนีประนอม ตัวละครที่ดูเยือกเย็นภายนอก แต่ภายในเต็มไปด้วยความกล้าหาญและภักดีต่อเพื่อนร่วมทีม นี่ไม่ต่างจากตัวจริงของ Val ที่ยืนหยัดในวงการอย่างหนักแน่น แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปกี่ครั้ง เสียงของเขาที่หายไปก็ไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีในใจเขาหายตามไปด้วย “Jim Morrison” – ศิลปินผู้ลุกเป็นไฟแม้ข้างในจะว่างเปล่า ใน The Doors (1991) เขาสวมบท Jim Morrison ด้วยจิตวิญญาณศิลปินที่แท้จริง เขาร้องเพลงเอง เขาศึกษาชีวิตจริงของ Morrison อย่างลึกซึ้ง และถ่ายทอดความเจ็บปวด ความงาม
ถ้า Porsche 911 คือรากฐานของความสปอร์ตเยอรมันที่คลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง RUF CTR3 ก็คือรถที่ฉีกทุกกรอบนั้นทิ้ง แล้วสร้างคำตอบใหม่ขึ้นมาด้วยความเชื่อว่า “ของแท้ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร” CTR3 คือรถรุ่นแรกของ RUF ที่ไม่ได้ใช้โครงสร้างของ Porsche แบบเดิมอีกต่อไป แต่วางพื้นฐานใหม่ร่วมกับบริษัท Multimatic จากแคนาดา ทีมเดียวกับที่ผลิต Ford GT รุ่นใหม่ผู้ชนะ Le Mans เส้นสายของ CTR3 ยังคงกลิ่น Porsche แต่กล้ามชัดขึ้น ฐานล้อยาวขึ้น 11 นิ้ว กว้างขึ้นอีก 5 นิ้วเพื่อรองรับเครื่องยนต์วางกลางลำ มันดูใกล้เคียงกับ Carrera GT และ 918 Spyder มากกว่า 911 ที่เราคุ้นตา และมันก็ไม่ได้พยายามจะเป็นอะไรที่คุ้นเคยด้วย เครื่องยนต์ที่อยู่กลางลำคือบล็อก 3.8 ลิตร flat-six พื้นฐาน Porsche แต่ผ่านการอัปเกรดแบบจัดเต็มด้วยเทอร์โบคู่จาก KKK ให้แรงม้าสูงสุด 682
หากโลกนี้ความบางคือความสง่างาม ความแม่นยำคือบทกวี และ Tourbillon คือบทสุดท้ายของตำนาน… Bulgari ได้เขียนบทนี้ใหม่อีกครั้ง ด้วย Bulgari Octo Finissimo Ultra Tourbillon – ผู้สร้างสถิตินาฬิกาบางที่สุดในโลกถึง 10 ครั้งในทศวรรษเดียว ย้ำสถานะราชาแห่งความบางของวงการ haute horlogerie อย่างแท้จริง Octo Finissimo Ultra Tourbillon มาพร้อมตัวเรือนไทเทเนียมขนาด 40mm x 1.85mm ที่หล่อขึ้นพร้อมกับฐานกลไกเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง ด้วยวัสดุ ultra-hard tungsten carbide mainplate/caseback แข็งแรงและบางในเวลาเดียวกัน กลไก BVF 900 ที่จาก BVL 180 ของ Octo Finissimo Ultra COSC 2024 พัฒนาร่วมกับ movement specialist Concepto ทำลายขีดจำกัดของคำว่า ultra-thin ทุกฟังก์ชันต้องอยู่บนระนาบเดียวกัน
ย้อนกลับไปแค่สองปีก่อน Rolex เคยทำให้โลกต้องตั้งคำถามกับ “Destro” หรือ GMT-Master II ที่ถูกออกแบบให้คนถนัดซ้ายใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการย้ายเม็ดมะยม วันที่ และ Cyclops ไปอยู่ฝั่งซ้ายทั้งหมด ในตอนนั้นหลายคนว่าแปลก บางคนว่าท้าทาย วันนี้ Rolex กลับมาเล่าเรื่องนั้นอีกครั้ง — แต่ในโทนที่หรูหรากว่า หนักแน่นกว่า และเขียวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย นี่คือ GMT-Master II Ref. 126729VTNR ในเวอร์ชั่น ทองคำขาว พร้อมหน้าปัด “เซรามิกเขียว” Cerachrom รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ถ้าคุณเป็นคนที่คุ้นชินกับ Rolex แบบเดิม คุณอาจคิดว่ามันแค่เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุ แล้วขายใหม่ในราคาที่แพงขึ้น แต่ในความจริง มันมีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะ “เนื้อของหน้าปัด” ที่ไม่ได้ใช้การพ่นสีแบบ lacquer เหมือนที่ผ่านมา แต่ใช้วัสดุ Cerachrom (เซรามิกชนิดพิเศษที่แบรนด์พัฒนาขึ้นเอง) ที่ต้องใช้ฝีมือและการควบคุมเฉดสีอย่างแม่นยำ และในรุ่นนี้ Rolex จงใจเลือกสีเขียวให้แมตช์กับขอบหน้าปัดครึ่งล่างได้อย่างแนบเนียน ซึ่งถือว่า rare
ลองจินตนาการดูว่า Yamaha แบรนด์ที่คุณน่าจะคุ้นจากมอเตอร์ไซค์ R-Series หรือเปียโนข้างบ้าน จู่ ๆ ประกาศว่าจะสร้าง ซูเปอร์คาร์กลางเครื่อง วางเครื่อง V12 แบบเดียวกับใน F1 ที่วิ่งได้บนถนนจริง ๆ — ใช่ครับ มันเกิดขึ้นจริง ในช่วงปี 1992 และชื่อของมันคือ OX99-11 ก่อนจะพูดถึง OX99-11 เราต้องเล่าก่อนว่า Yamaha คือ “เบื้องหลังความแรง” ของรถดังหลายรุ่น เช่น Toyota 2000GT (1967) รวมถึงสุดยอดแห่งความภาคภูมิใจ Lexus LFA กับเครื่อง V10 1LR-GUE – ผลงานที่ Yamaha มีส่วนร่วมทั้งเสียงและความบ้าคลั่ง พร้อมซาวด์ระดับเทพที่ใครได้ยินจะไม่มีวันลืม – คราวนี้ลองนึกภาพดูว่า ถ้าพวกเขาไม่แค่ “ช่วยออกแบบ” แต่ “สร้างทั้งคัน” จะเกิดอะไรขึ้น? ในช่วงปี 89’s Yamaha กระโจนเข้าสู่สนาม
ย้อนกลับไปปี 1967 โลกทั้งใบหันมามองรถญี่ปุ่นคันนี้ เพราะมันเป็นรถญี่ปุ่นคันแรกและคันเดียวที่ได้รับเลือกให้เป็น “Bond Car” ในภาพยนตร์เรื่อง You Only Live Twice ซึ่งถ่ายทำในประเทศญี่ปุ่น เดิมที ผู้กำกับ Lewis Gilbert มีแผนจะใช้ Chevrolet Camaro ในฉากไล่ล่า แต่ Sachio Fukuzawa นักแข่งรถของ Toyota ได้แนะนำให้ใช้รถยนต์ญี่ปุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ถ่ายทำ ทำให้ Toyota 2000GT เครื่องยนต์ 2.0L inline-6 DOHC 150 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับหลัง 0-100 km/h ภายใน 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 km/h ได้รับบทบาทนี้ไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม ห้องโดยสารของ 2000GT ค่อนข้างเตี้ยและแคบ Sean Connery ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ไม่สามารถนั่งได้อย่างสบาย