ประสบการณ์ที่เลวร้ายมักทำให้หลายคนเกิดอาการคิดมากจนเกินไปอยู่เสมอ เช่น บางคนไม่กล้าเปลี่ยนงานใหม่ เพราะกลัวว่าตัวเองจะหางานไม่ได้ หรือ ไม่เจองานที่ดีกว่า หรือ บางคนอาจเครียดเรื่องการเรียน เพราะกลัวว่าผลการศึกษาที่ไม่ดีจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแรงงานที่ไร้คุณค่า เป็นต้น เรามักเรียกความกังวลที่เกิดขึ้นว่าเป็น Catastrophizing และถ้าเราไม่รู้จักวิธีการป้องกัน อาจทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้ ความหมายของ Catastrophizing Catastrophizing คือ การจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เลวร้าย และเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน โดยคนที่มีอาการนี้มักมองโลกในแง่ลบ และมองเห็นปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั่นหนักหนาสาหัสเกินความเป็นจริง จนพวกเขารู้สึกสิ้นหวังและตกอยู่ในความเครียดตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขากังวลกับการสอบตก พวกเขาจะคิดว่า การสอบตกทำให้ตัวเองกลายเป็นนักศึกษาที่ไม่ดี เรียนไม่จบ หรือ ไม่ได้รับใบปริญญา และไม่มีใครรับเข้าทำงาน สุดท้ายพวกเขาจึงด่วนสรุปไปเองว่า การสอบตกจะทำให้พวกเขาไม่มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งในเป็นความจริง คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากก็เรียนหนังสือไม่จบ หรือ เคยสอบตกมาก่อน แต่คนที่ Catastrophizing มักไม่คิดถึงเรื่องนี้ และหมกหมุ่นกับความคิดอันเลวร้ายของตัวเองเป็นตุเป็นตะ จนได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างแสนสาหัส ยังไม่มีใครตอบได้ว่า Catastrophizing เกิดขึ้นได้อะไร แต่หลายคนคาดว่ามันเกิดขึ้นได้หลากสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ได้รับข้อความที่มีความหมายกำกวมจนเราเกิดอาการคิดไปไกล เราให้ความสำคัญกับอะไรมากเกินไปจนคิดมาก หรือ เรากลัวอะไรบางอย่างมาเกินไป จนเรายิ่งคิดถึงผลลัพธ์แย่ ๆ ที่จะได้รับจากมัน
ตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา หลายคนอาจเคนรู้สึกงัวเงีย หรือ สับสน แต่ยังสามารถขยับร่างกายได้ตามปกติ คล้ายกับคนเมาสุรา เราเรียกอาการนี้ว่าเป็น Sleep Drunkness ซึ่งผลของมันสามารถอยู่ได้นานหลายนาที หรือ หลายชั่วโมง และขัดขวางการทำงานและการใช้ชีวิตของเราไม่น้อยเหมือนกัน UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับอาการนี้มากขึ้น และเรียนรู้วิธีการป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นกัน Sleep Drunkenness คือ อะไร Sleep Drunkness คือ อาการสับสนมึนงงที่เกิดขึ้นในช่วงที่เราตื่นนอน โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นเมื่อสมองของเราไม่สามารถเปลี่ยนผ่านจากโหมดนอนหลับไปยังโหมดตื่นได้แบบ 100% จนร่างกายอยู่ในสภาพคล้ายสลึมสลือเหมือนคนเมา แต่ก็ยังเคลื่อนไหวร่างกาย เดิน และพูดได้ตามปกติ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้อาการนี้เกิดขึ้นมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น พักผ่อนไม่เพียงพอ ความผิดปกติเรื่องการนอนหลับ (เช่น restless legs syndrome, sleep apnea, หรือ Insomnia) เสพติดการดื่มสุรา ใช้ยาต้านซึมเศร้าบางชนิด ไปจนถึง การนอนไม่เป็นเวลาเนื่องจากมีเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน อ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่สัมภาษณ์คนอายุกว่า 18 ปีขึ้นไป จำนวนกว่า 19,000 คน เกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมการนอน การเจอกับ ภาวะสับสนระหว่างการตื่นนอน
ทุกวันนี้โลกอินเทอร์เน็ตกลายเป็นชีวิตที่ขาดไม่ได้ของหลายคนไปแล้ว บางคนเสพติดการเล่นโทรศัพท์จนต้องพกมือถือติดตัวตลอดเวลา หรือ บางคนอัพเดทโซเชียลมีเดียทุกวัน เพราะกลัวว่าจะพลาดข่าวสารอะไรบางอย่างไป แม้โลกออนไลน์จะช่วยให้เราสามารถรับข้อมูลข่าวสารทั่งโลกได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็ทำให้คนเกิดพฤติกรรมแย่ ๆ เหมือนกัน เช่น การเสพติด หรือ พฤติกรรมการอ่านข่าวร้ายแบบไม่หยุด หรือ Doomscrolling ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเราอย่างมาก อะไร คือ Doomscrolling Droomscrlloing หมายถึง การไถ่หน้าจอเพื่อเสพข่าวและโพสโซเชียลที่มีเนื้อหาเชิงลบอย่างต่อเนื่อง แบบอ่านข่าวร้ายจบหนึ่งเรื่องก็ไม่รอช้าที่จะอ่านข่าวต่อไปทันที คำนี้ได้รับการพูดถึงในโลก Twitter ตั้งแต่ปี 2018 แต่ปัจจุบันก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากเกิดโรคระบาด บางคนอาจเรียกอาการนี้ในชื่ออื่นด้วย เช่น Doomsurfing หรือ ‘Social Media Panic’ อาการนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ไม่อยากพลาดข่าวสารที่สำคัญ อยากหาข้อมูลที่มายืนยันความเชื่อของตัวเอง การรู้ข้อมูลจะทำให้ควบคุมชีวิตตัวเองได้ง่ายขึ้น ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร Doomscrolling ก็บั่นทอนจิตใจเราอย่างแสนสาหัสอยู่เหมือนกัน เพราะ Doomscrolling ส่งเสริมให้เรามองโลกในแง่ลบ และยังทำให้เราอ่อนแอต่อความกลัว ความเครียด วิตกกังวล และโศกเศร้ามากกว่าปกติอีกด้วย ถ้าเรามีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับอาการวิตกกังวลเช่น Obsessive-Compulsive
ไม่ต้องบอก พวกเราก็รู้ถึงประโยชน์และคุณค่าของการออกกำลังกายอย่างลึกซึ้งขึ้นใจ แต่ชีวิตบางทีก็เลือกไม่ได้ แม้จะอยากออกกำลังกายแค่ไหน แต่งานหนัก รถติด ฝนตก จนไม่เหลือความอยากออกกำลังกายอีกเลย อยากจะพักผ่อนนิ่ง ๆ กินไก่ กินเบียร์ ดูทีวีให้จิตใจและร่างกายหายเหนื่อย สิ่งที่เราอยากบอกคือ “อย่าทิ้งช่วงห่างหายจากการออกกำลังกายนานเกินไป เพราะสุขภาพดี ๆ ความฟิตที่คุณสั่งสมมา จะมลายหายไปได้ภายในไม่กี่สัปดาห์” และนี่คือ timeline ที่เราสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า VO2 Max ในร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เมื่อเราหยุดออกกำลังกายอย่างสิ้นเชิง *VO2 Max คือค่าปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เปลี่ยนเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเลขยิ่งมาก หมายความว่าร่างกายยิ่งฟิตนั่นเอง 1 week แค่สัปดาห์แรกที่หยุดออกกำลังกาย ก็ทำให้ค่า VO2 Max ในร่างกายลดลงไปได้ถึง 5% ถ้าเคยใช้เวลาวิ่งรอบสวนลุมพินี 1 รอบ ใช้เวลา 20 นาทีสบาย ๆ อาจจะเหนื่อยมากกว่าเดิม แถมใช้เวลามากกว่าเดิมอีกด้วย และยังมีงานวิจัยว่ามีผลกับการทำงานของสมอง ด้วยการดูผล MRIs scan พบเลือดไหวเวียนไปส่วน
ช่วงนี้เทรนด์การกินมังสวิรัติกำลังได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพที่ต้องการหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง เห็นได้ว่าแบรนด์ร้านอาหารหลายแห่งต่างพยายามผลิตสิ่งที่เรียกว่า อาหารที่ทำจากพืช หรือ ‘Plant-Based Food’ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนในยุคปัจจุบันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การทานอาหารแบบผักผลไม้ล้วนโดยที่ไม่มีเนื้อสัตว์เจือปนอยู่เลย อาจนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพจิต อ้างอิงจากงานวิจัยล่าสุดที่เผยแพร่ในวารสาร Food Science and Nutrition คนที่กินเนื้อมีสุขภาพจิตที่ดีกว่าคนที่กินแต่ผัก ทีมวิจัย (นำโดย Urska Dobersek ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจาก University of Southern Indiana) ได้นำงานวิจัยเรื่องการบริโภคเนื้อและสุขภาพจิตทั้งหมด 20 ชิ้น มาวิเคราะห์เพื่อหาว่าการทานหรือไม่ทานเนื้อสัตว์จะส่งผลต่อการเกิดโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมากแค่ไหน โดยการศึกษาชิ้นนี้ ประกอบไปด้วย กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 171,802 คน (แบ่งเป็น กลุ่มที่บริโภคเนื้อ 157,778 คน และ กลุ่มที่ไม่บริโภคเนื้อ 13,259 คน) และใช้สูตรคำนวณค่า Hedges’s g ในการวิเคราะห์ความแตกต่างทางด้านสุขภาพจิตระหว่างคนที่กินเนื้อและไม่กินเนื้อ จนได้ผลลัพธ์ออกมาว่า คนที่ไม่บริโภคเนื้อจะมีสุขภาพจิตที่แย่กว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ คือ เกิดอาการซึมเศร้ามากกว่า สำหรับสาเหตุที่ทำให้คนกินเนื้อมีสุขภาพจิตที่ดีกว่าคนอื่น Dobersek ได้แสดงความคิดเห็นว่าเป็นเพราะ การกินอาหารแบบควบคุม
แค่เป็นคนเหงามันก็โคตรเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งพออยู่แล้ว ยิ่งเราเหงามากเราก็ยิ่งมักจะตั้งคำถามล้อกับความว้าเหว่ตัวเองมากขึ้นว่า เฮ้ย นี่กูจะเหงาจนตายจากโลกนี้ไปเลยได้หรือเปล่าวะ? แม้จะเป็นคำถามที่ถามตัวเองระหว่างสูบบุหรี่เล่น ๆ มวน สองมวน ไว้ตลกร้ายกับตัวเองเบา ๆ แต่ใครจะรู้ว่าคำถามนี้มันจริงจังขึ้นมา “เฮ้ย นี่กูเหงาจนตายจากโลกนี้ไปเลยได้หรือเปล่าวะ?” คำตอบคือ ใช่ เรามีความเสี่ยงทางสุขภาพได้จริง ๆ จากความเหงา เพราะความเหงาทำร้ายสุขภาพได้เท่า ๆ กับการสูบบุหรี่วันละ 15 มวน! บอกเลยว่าประเด็นเรื่องความเหงาทำร้ายมนุษย์ได้ ไม่ได้เป็นแค่ประเด็นทางจิตวิทยาอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นประเด็นปัญหาทางการแพทย์ที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยทศวรรษที่ผ่านมาทั้งบรรดานักวิจัยทั้งหลายก็แห่กันมาศึกษาเรื่องความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมที่มีผลกระทบเชิงลึกต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และการตายของมนุษย์ อย่าเพิ่งช็อคจนหมดลมหายใจไปตอนนี้ เพราะนอกจากเราจะเป็นคนเหงาแล้วเรายังเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ไวกว่าคนไม่เหงาอีกด้วย (บอกแล้วอย่าเพิ่งช็อคตาย เดี๋ยวก็ได้ไปไวกว่าคนไม่เหงาแล้ว ) งานวิจัยเกี่ยวกับความเหงาที่ UNLOCKMEN จะเอามาพูดถึงวันนี้คืองานวิจัยจาก Brigham Young University ที่เขาไม่ได้ศึกษาแบบไก่กา แต่ศึกษายาวนานกว่าอายุคนเหงาบางคนเสียอีก เพราะเขาศึกษาเป็นเวลากว่า 34 ปี โดยศึกษาตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 1980 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 ผลการศึกษาก็ออกมาว่าความเหงานี่แม่งอันตรายกว่าที่คิดเพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงสุดถึง 60% แถมความเหงายังอาจเป็นปัจจัยทางสุขภาพที่สำคัญยิ่งกว่าการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
ผู้ชายที่ชอบกรนเสียงดัง มักสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้าง เพราะเสียงกรนที่แสนดังและถี่มักทำให้เพื่อนร่วมห้องหนวกหูอยู่เสมอ บางคนอาจจะทนเสียงกรนได้ในช่วงแรก แต่ความอดทนขอคนก็มีจำกัด พอผ่านไปสักระยะหนึ่ง การกรนอย่างต่อเนื่องจะสร้างปัญหาการอยู่ร่วมห้องกับคนอื่นได้ หากเราต้องการอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุข การหยุดกรนจึงเป็นเรื่องที่เราควรทำกันโดยเร่งด่วน นอกจากนี้การกรนยังสามารถทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ อาทิ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac Arrhythmia) เราเลยอยากมาแนะนำวิธีการป้องกันการกรนเวลานอน เพื่อให้ทุกคนสามารถนอนหลับสนิทอย่างฟินตลอดคืนได้ ทำไมคนเราถึง ‘กรน’ ก่อนจะเข้าช่วงแนะนำวิธีการป้องกัน เราอยากพาทุกคนไปทำความเข้าใจกลไกที่ทำให้เกิดการกรนก่อน เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของเราล้วน ๆ เริ่มจากเวลาเราหลับ และกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากการหลับตื้น (light sleep) ไปยัง การหลับลึก (deep sleep) ส่วนของกล้ามเนื้อเพดานปากที่ชื่อว่า เพดานอ่อน (soft palate) ลิ้น และคอ จะอยู่ในภาวะผ่อนคลายมากกว่าปกติ เมื่อเนื้อเยื่อที่อยู่ในช่องปาก และลำคออยู่ในภาวะผ่อนคลายมาก มันจะไปปิดกั้นทางเดินของอากาศหายใจที่อยู่ในลำคอ ส่งผลให้อากาศเดินทางผ่านช่องทางนั้นได้ยากขึ้น และทำให้เนื้อเยื่อที่อยู่ในลำคอเกิดการสั่นไหวด้วย และพอทางเดินอากาศในช่องคอแคบลงมากเท่าไหร่ การไหลผ่านของอากาศก็จะยิ่งยากขึ้น และทำให้เนื้อเยื่อเกิดการสั่นไหวมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งการสั่นไหวของเนื้อเยื่อในช่องคอ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเกิดเสียงกรนที่ดังหรือเบา ปัญหาที่ทำให้ช่องอากาศของเรเวลานอนมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะของ soft palate ที่ต่ำและหนาเกินไป จนทำให้ทางเดินอากาศแคบ
อาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย มักสร้างความรำคาญและทำให้หลายคนรู้สึกท้อแท้ในการออกกำลังกายฟิตหุ่น UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำวิธีการป้องกันและฟื้นฟูจากความเจ็บปวดให้ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทุกคนสามารถแฮปปี้กับการฟิตหุ่นได้ยาวนานกว่าเดิม อาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อเกิดขึ้นได้อย่างไร ? โดยปกติแล้ว เราสามารถแบ่งอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ acute muscle soreness (AMS) และ delayed onset muscle soreness (DOMS) acute muscle soreness (AMS) คือ อาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นโดยทันที ในระหว่างหรือหลังจากการออกกำลังกาย ซึ่งอาการปวดประเภทนี้มักเกิดขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายอย่างหนักจนทำให้หน่วยปฏิบัติการย่อยของเส้นใยกล้ามเนื้อที่ชื่อว่า ‘sarcomere’ หดและขยายตัวผิดปกติ จนเกิดการเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการอักเสบ และกระตุ้นความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อตามมา AMS เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น การผลิตสารเคมีในเซลล์กล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกาย เช่น กรดแลคติด การล้าของกล้ามเนื้อ รวมถึง ภาวะขาดน้ำจนทำให้กล้ามเนื้อหดตัวแบบผิดปกติ แต่อาการนี้มักหายไปภายใน 2 – 3 นาที หรือ หลังจากที่เราผ่อนคลายตัวเองจนกล้ามเนื้อฟื้นฟูเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราเลยไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลกับมันมากนัก delayed onset muscle
ผู้ชายมักต้องแบกรับภาระมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ค่าเช่าบ้าน ค่าเลี้ยงดูครอบครัว ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ฯลฯ ถ้าวันใดซวยป่วยไข้แล้วต้องเจอกับค่ารักษาพยาบาลอีก เราคงจะเหนื่อยกันมากเกินไป UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำวิธีการป้องกันปัญหาด้านสุขภาพที่มักเจอบ่อยในหมู่ผู้ชาย เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างแฮปปี้ยาวนานกันร่างกายและการเงิน โรคหลอดเลือดและหัวใจ (Cardiovascular Disease) โรคหลอดเลือดและหัวใจ ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปเป็นจำนวนมาก องค์การอนามัยโลกพบว่าในปี 2019 คนจำนวนกว่า 17.9 ล้านคน เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจ (CVDs) เช่น โรคหัวใจวาย หรือ โรคหลอดเลือดสมอง คิดเป็น 32% ของการตายทั่วโลกเลยทีเดียว โรคนี้มักถูกเรียกว่าเป็นนักฆ่าเงียบ (Silent Killer) อีกด้วย เพราะผู้ป่วยที่คอเลสเตอรอลอุดตันในเส้นเลือด มักไม่แสดงอาการในช่วงแรก แถมยังมีการศึกษาและพบว่าผู้ชายเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้หญิงอีกด้วย มันจึงเป็นโรคที่อันตรายสำหรับชาวเรามาก และจะดีที่สุดถ้ารู้จักป้องกันมันตั้งแต่ต้น วิธีป้องกันโรค: ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายให้เพียงพอ (2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายปานกลาง หรือ 75 นาทีต่อสัปดาห์สำหรับการออกกำลังกายหนัก) และถ้าคุณเป็นสิงห์อมควันหรือผู้ชื่นชอบแอลกอฮอล์ตัวยง ควรลดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง หรือถ้าเลิกได้จะดีมาก โรคเบาหวาน (Diabetes)
ในช่วงที่สถานการณ์ COVID-19 กำลังรุนแรง โรงพยาบาลหลายแห่งต่างประสบปัญหาเรื่องการรองรับผู้ป่วยติดเชื้อที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายพันคนทุกวัน เครื่องมือตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น จึงได้รับความสนใจมากขึ้น และตอนนี้รัฐบาลได้อนุญาตให้อุปกรณ์ตรวจที่น่าสนใจตัวหนึ่งชื่อว่า ‘Rapid Antigen Test’ เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในการตรวจหาเชื้อไวรัสแล้ว UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปรู้จักเจ้าอุปกรณ์ตรวจนี้ให้มากขึ้น Rapid Antigen Test คือ อะไร ? ‘Rapid Antigen Test’ เป็นหนึ่งในวิธีการตรวจหาเชื้อ COVID-19 อย่างรวดเร็ว (Rapid Test) ที่มีลักษณะเป็น swab test หรือ การตรวจหาสารพันธุกรรรมของเชื้อในระบบทางเดินทางหายใจ โดย Rapid Test ประกอบไปด้วย 2 ประเภท ได้แก่ ‘Rapid Antigen Test’ และ ‘Rapid Antibody Test’ โดยทั้ง 2 ประเภทนี้มีความแตกต่างกัน Rapid Antigen Test จะตรวจโดยการค้นหาโปรตีนของไวรัส